

CARS
UNLOCKER CLUB EP.4 ‘เช่-Darren Thompson’ การทำ Car Detailing ที่อยากให้คนรักรถมองเห็นความพิถีพิถันของแรงงาน
By: GEESUCH April 26, 2025 234675
“สวัสดีครับ ผมชื่อ เช่-อัคราวิชญ์ พิริโยดม งานหลักของผมเป็นหัวหน้าสาขาอยู่ที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล สาขาดนตรีสมัยนิยม อีกอาชีพหนึ่ง เราทำวงดนตรีชื่อ The Richman Toy ตำแหน่งมือเบส และอีกพาร์ทหนึ่ง เป็นงานกึ่งอดิเรกกึ่งจริงจังหรือเปล่าไม่รู้เหมือนกัน คือ ร้าน Home Detailing ชื่อร้าน Darren Thompson”
ก่อนจะเริ่มสัมภาษณ์ เราขอให้พี่เช่ช่วยพูดแนะนำตัวเองเพราะว่า Video Creator ของทีมกำชับว่าจะต้องมีซีนนี้ให้ได้ นั่นล่ะ คือที่มาของโปรไฟล์ยาวเหยียดของพี่เช่ในบรรทัดบนสุดของบทสัมภาษณ์นี้ และอ่านครั้งเดียวทุกคนก็จะเห็นเลยว่า Darren Thompson Home Detailing เป็นสิ่งที่ไม่เข้าพวกที่สุดในตำแหน่งทั้งหมด แต่เป็นงานอดิเรกกึ่งจริงจังที่เราได้รู้ภายหลังสัมภาษณ์จบว่า การทำ Car Detailing สะท้อนความเป็นตัวตนของเขาในพาร์ทสำคัญอย่างมากเลย
UNLOCKER CLUB ตอนล่าสุด เรามุ่งหน้าสู่ศาลายา ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อเอารถไปจอดที่ Darren Thompson Home Detailing ร้านล้างรถอย่างพิถีพิถัน ที่ปัจจุบันมีพนักงาน 2 คน คือ ‘เช่’ และ ‘นิล’ (อดีตลูกศิษย์ดนตรีของเขา) เพื่อคุยถึงความหลงใหลที่ผู้ชายคนนี้มีให้กับการดูแลรถของผู้คน
ในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้คุณจะได้ยินพี่เช่พูดคำว่า ‘ขี้ข้า’ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบปกติผ่านตัวอักษรอยู่หลายครั้ง เพราะเขาตั้งใจจะสื่อสารว่าหน้าตาของงาน Car Detailing ที่แท้จริงคือสิ่งนี้ ซึ่งถึงคำจะดูรุนแรงไปบ้างสำหรับหลายคน แต่พี่เช่บอกว่าเป็นคำที่ไม่ได้ตั้งใจสื่อไปในทางลบ กลับกันเลย แต่เป็นกระบวนการที่เขาหลงใหลและอยากให้คนเข้าใจมาก ๆ ว่า รถคันงามเงาทุกคันที่ถูกทำเสร็จแล้ว ล้วนมี ‘แรงงาน’ ซึ่งมีความตั้งใจทำงานของนักทำความสะอาดมืออาชีพซ่อนอยู่ในทุกจุด .. ดีเทลมันเยอะ เอาเป็นว่าให้พี่เช่เล่าเองในบรรทัดถัดไปเลยละกัน
UNLOCKMEN : Darren Thompson คือใคร ?
คือที่ทำความสะอาดรถยนต์แบบพิถีพิถัน รู้จักประเภทของรถยนต์ และประเภทของน้ำยาที่จะเอามาแมทช์กัน ด้วยการทำความสะอาด, การเคลือบ (Coat) ให้มีความคงทนขึ้นหรือใสขึ้น ซึ่งคำว่า “Home Detailing” คือการทำงาน Car Detailing ที่บ้านนั่นแหละ
UNLOCKMEN : Darren Thompson ตอบโจทย์กับลูกค้าที่ขับรถแบบไหน
รถทุกประเภทเหมาะกับเรา คนที่เข้ามาจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ (1) ส่วนใหญ่ 80% จะเป็นคนรักรถ (2) คนรักความสะอาด Darren Thompson ตอบโจทย์คนรักความสะอาด และตอบโจทย์คนที่รักรถมาก ๆ ลูกค้าจะมีตั้งแต่ ECO CAR คันละ 2-3 แสน จนไปถึงรถคันเป็น 10 ล้านก็มี เพราะฉะนั้นร้านเราไม่ได้เลือกรถ จริง ๆ เลือก ‘คน’ มากกว่า-เลือกคนที่ต้องการดูแลรถมากกว่าการล้างเองที่บ้าน หรือมากกว่าการล้างรถ Car Care ทั่วไป
UNLOCKMEN : ก่อนจะเข้าเรื่อง Car Detailing เรื่องของ Darren Thompson ผมอยากรู้เรื่องของพี่เช่ก่อน “เป็นคนชอบรถตั้งแต่ตอนไหน ?”
เป็นคนชอบรถมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แต่ว่าเรามีความเชื่อแบบนี้นะ ทุกคนที่มีความเชื่ออะไรสักอย่าง มันต้องเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ผ่านวิถีชีวิตของคนในครอบครัวที่เขาส่งต่อมา แต่มันจะต้องอยู่ในภาวะที่ว่า สิ่งที่เราชอบมันไม่ได้ให้ความกดดันกับเราในช่วงวัยเด็กด้วย
เราชอบรถเพราะว่าที่บ้านมีความผูกพันกับรถ จะมีหนังสือรถ โมเดลรถ อยู่ในบ้านค่อนข้างเยอะ ทั้งที่โต๊ะกินข้าว ห้องนั่งเล่น หรือแม้กระทั่งห้องบริเวณในตึกแถวบ้านเรายุคนั้นมันมีแต่อะไรที่เป็นรถเต็มไปหมด แล้วที่บ้านเขาก็มีพาไปมหกรรมใหญ่อย่าง Motor Show ตลอด เพราะฉะนั้น ความชอบของเรามันจะเกิดขึ้นมากับสิ่งที่เป็น Ambient ของบ้าน แล้วมันดันเป็น Ambient ที่ไม่ได้มีแรงกดดันอะไรในการที่จะทำให้มันสำเร็จ ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องอ่านสเปกข้อมูลของรถเพื่อจะต้องเอาไปสอบนะ มันอยู่ในช่วงของการผ่อนคลายทั้งหมด ตั้งแต่จำความได้ก็คือชอบรถเลย
แล้วที่นี้มันมาสะท้อนว่าเราชอบรถมาก ๆ ในตอนที่เราได้ ‘จักรยาน’ ยานพาหนะที่เอาไว้ใช้สำหรับการผ่อนคลาย จากนั้นเราก็เริ่มลอกสติ๊กเกอร์ออก เอาสีมาพ่นบ้าง หรือปรับแต่งทำอะไรเท่าที่เด็ก ๆ จะทำได้ แล้วก็เปลี่ยนฟังก์ชันมันจนมันกลายเป็นรถที่เบาขึ้นมา เป็นรถที่มันดูไม่เหมือนรถที่ออกมาจากโรงงานจักรยาน
แล้วคราวนี้มันเริ่มรู้สึกว่าเราชอบขึ้นมาอีก – เพราะเราก็เริ่มวาดรูปสเกตช์ภาพของรถ ด้วยที่พ่อของเราเขาทำร้านออกแบบเสื้อผ้าเคยประสบความสำเร็จ ได้ไปเรียนออกแบบที่ฝรั่งเศสในยุคตอนที่เรายังไม่เกิด เขาก็จะมีทักษะในการวาด เขาก็สอนจนพี่ชายเราไปเรียนไทยวิจิตรศิลป์ออกแบบผลิตภัณฑ์ เราก็นั่งวาดรูปกับพี่ แต่ถ้าจะวาดรูปเราจะไม่วาดการ์ตูนเลย เราจะวาดเป็นรูปกล่องสี่เหลี่ยมหรือรถ
แต่ถามว่ารถเป็นแพชชั่นของเรามั้ย เกิดจากความตั้งใจรึเปล่า “มันไม่ใช่นะ” เหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาเอง เพราะแวดล้อม ทุกวันนี้เรามาลองพิสูจน์กับตัวเองว่า “จริง ๆ แล้วเราชอบอะไรในรถกันแน่” ก็พบว่าเราเป็นคนชอบรูปทรงกับชอบวัตถุที่มีความแข็ง ชอบอะไรที่มันเป็น Hardware ที่มีกลไกข้างใน แล้วก็ชอบงานดีไซน์ เราไม่ได้เป็นคนที่ขับรถเร็ว แต่ชอบรถที่มีสมรรถนะดีเพราะว่ารถที่มีสมรรถนะดีส่วนใหญ่มันจะให้ความเป็นกีฬา พอมันเพิ่มความเป็นกีฬาเข้ามาในรถมันก็ทำให้รถมันมี Performance มีรูปทรงที่มีความเฉพาะตัวมากขึ้น
UNLOCKMEN : จากความทรงจำในวัยเด็ก ในวันที่เติบโตขึ้น พี่เช่กลับเลือกเปิด Darren Thompson Home Detailing ธุรกิจที่เกี่ยวกับการล้างรถ เหมือนความชอบมันสวิตช์จากความหลงใหลตอนเด็กรึเปล่านะ จากที่ชอบดีไซน์ ชอบการแต่งรถ ชอบสมรรถนะรถ ทำไมถึงเลือกมาทำธุรกิจเกี่ยวกับการล้างรถ
“เอาจริง ๆ นะ เรากล้าพูดเลยว่าตัวเองสามารถทำอาชีพอะไรก็ได้ที่มันเกี่ยวกับรถ”
จะทำช่วงล่าง อุปกรณ์ตกแต่ง ติดฟิล์ม ติดตั้งเครื่องเสียง แต่เพียงแค่ว่าการล้างรถมันเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เด็ก เราล้างรถเองกับที่บ้าน มีความชอบในอุปกรณ์ แต่ถามว่าทำไมเริ่มมาทำ Car Detailing ก็ต้องตอบว่าการล้างรถเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเราด้วย และเราเชื่อว่าการล้างรถมันใช้ปัญญาในการหาข้อมูลเพื่อลงมือทำไม่เยอะ ไม่ต้องไปเรียนเรื่องช่วงล่าง กลไก หรือเทคนิคของการซ่อมเครื่อง เราก็เลยมีความรู้สึกว่ามันเป็นธุรกิจที่เข้าไปจับได้ไม่ยากกับความรู้ที่เรามีอยู่ “ตอนแรกเชื่อว่าอย่างนั้น”
UNLOCKMEN : แต่ความจริงคือ ?
ความจริงมันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นนะ ไม่ได้ยากถึงขั้นว่าจะต้องไปเรียน 4-5 ปีเพื่อต้องการ Knowledge ถ้าตั้งใจก็สามารถโปรกับสิ่งนี้ได้ในเวลาประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี
ความยากของ Car Detailing ก็เลยอยู่ที่เราต้องอยู่กับความสกปรกและการใช้แรงงาน ถ้าคิดว่าการทำธุรกิจล้างรถคือการเป็นหนุ่มสมาร์ทมาก ๆ มีหัวครีเอทเพื่อใช้สมองในการสั่งการทุกอย่างเพื่อให้ระบบของร้านรันไปเอง ก็เหมือนจะไม่ใช่เท่าไหร่ เพราะมันจะต้องมีส่วนหนึ่งที่เข้าใจการทำงานจริงด้วย ถ้าเกิดว่าเป็นคนรักสำอางมาก ๆ ก็จะไม่ได้เข้าไปหมกมุ่นกับเรื่องทำให้รถสะอาด แต่ Car Detailling มันไม่ได้ ต้องเข้าไปเรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรให้คราบสิ่งสกปรกออกมาโดยที่ไม่ไปทำร้ายพื้นผิวต่าง ๆ ของรถยนต์ ถ้าพูดในภาษาเราเองก็คือ “มันต้องเป็นขี้ข้าคนน่ะ”
สกิลแบบแม่บ้านหรือกรรมกร คนที่ทำอาชีพนี้มันต้องมีสกิลซึ่งมีความไปได้กับเรื่องเหล่านี้ ในภาพที่เราดูตามสื่อ การทำงาน Car Detailing จะอยู่ในห้องแอร์ แต่จริง ๆ แล้ว Step ก่อนหน้านั้นมันมีแต่เรื่องพวกนี้เต็มไปหมดเลย เหมือนการทำความงามเลย กว่าผู้หญิงจะสวยมาได้ขนาดนี้ต้องผ่าจนเห็นเลือดมาก่อน
UNLOCKMEN : อะไรคือความต่างระหว่าง Car Detailing กับ ล้างรถ Car Care
ให้นึกสภาพว่าการล้างรถ Car Care คือการเปลี่ยนจากการหยอดเหรียญล้างรถด้วยตัวเองมาใช้แรงงานในการล้าง เป็นเรื่องของการเอาฝุ่นและคราบสกปรกออก แล้วก็เช็ดแห้ง แต่ Car Detail เข้าใจง่าย ๆ คือต้องทำความสะอาดพื้นผิวตั้งแต่จุดที่เรารู้สึกว่ามันเล็กที่สุด ความห่างของวัตถุอยู่ที่ประมาณ 1-2 มม. ส่วนที่มากกว่านั้นก็ต้องเก็บรายละเอียดทั้งหมด เพื่อให้รถกลับมามีสภาพไม่ต่างไปจากวันแรกที่ขับออกมาจากศูนย์
คราวนี้ สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือไม่ทำให้พื้นผิวรถเกิดการสูญเสียด้วย สีหลุดออกไปเป็นรอยแค่ 1 มม. ก็ถือเป็นความเสียหายแล้ว รถแต่ละคันมีสเปกที่แตกต่างกัน มีการใช้สีรักษ์โลกในบางส่วนบ้าง รถมีช่องแอร์ที่เล็กผิดปกติบ้าง มีวัสดุที่ต้องเข้าใจเยอะแยะ ทั้งไวนิล พลาสติก ไฟเบอร์ คาร์บอรไฟเบอร์ อลูมิเนียม เหล็ก สเตนเลส โครเมียม กระจก หนังเทียม หนังแท้ ผ้า พรม ก็เลยต้องใช้ประสบการณ์และข้อมูลบางอย่างที่ต่างกันออกไป แต่โดยหลัก ๆ แล้วส่วนที่จะเป็นงานบ่งบอกความเป็น Car Detail ได้มากคืองานภายนอก เพราะมันมีคำว่า ‘ฟื้นฟู’ ด้วย คำว่าฟื้นฟูคือทำให้รถกลับขึ้นมาดีใหม่จากที่แย่ ๆ ในหนังสือบางเล่มของเมืองนอกเขาก็จะบอกว่ามันคือการซ่อมตัวชั้นผิว Clear Coat ให้แลกเกอร์กลับมาสวยขึ้น
UNLOCKMEN : ในการไฟนอลงานของ Car Detailing รถที่ออกมาจะต้องหน้าตาเป็นยังไง
ไฟนอลของการทำงาน Car Detailing มีหลากหลาย ถ้าพูดถึง ‘รถที่ออกมาจากศูนย์’ แล้วขับเข้ามาหาเราเลย รถจะต้องออกไปด้วยการมีภาพสะท้อน (Reflect) ของสีรถยนต์ที่ดีขึ้น ต้อง Reflect วัตถุอื่น ๆ เหมือนเรากำลังมองกระจก ชัดขึ้น ใสขึ้น มองไปสีรถเห็นแววตาของเราชัด ซึ่งพวกเรามีหน้าที่ไปทำให้มันชัดขึ้นโดยการเจียรมันนั่นแหละ แล้วใช้ความร้อนปั่นให้มันมีความเงาขึ้นมา แล้วก็เพิ่มสารปกป้องบางอย่างเข้าไป
ส่วน ‘รถที่ผ่านการใช้งานแล้ว’ ผลลัพธ์ออกมาต้องทำให้ใกล้เคียงกับรถในวันแรกที่ออกจากโรงงาน สมมติจาก 100% คนขับทำพังไปเหลือ 50% เราเอากลับขึ้นมาสัก 70% หรือ 80% ได้ก็แฮปปี้แล้ว สีกลับมาเงาขึ้น รอยขีดข่วนอาจมีตกค้างบ้างที่กินไปถึงเนื้อเหล็ก กระจกที่เป็นคราบหายไป เบาะสีครีม,สีเบจกลับมาขาวสะอาด ช่องแอร์กลับมาดูสดชื่นขึ้น คราบบนพวงมาลัยหายไป พวกพลาสติกทั้งหลายก็ดูเข้มขึ้น เป็นต้น
UNLOCKMEN : เมื่อกี้บอกว่า Car Detailing เป็นงานที่ใช้แรงงานมาก ๆ พี่เช่เปรียบกับสกิลของกรรมกร แต่มันก็เป็นงานที่มี Value สุด ๆ แสดงว่าการลงแรงงานของสิ่งนี้มีอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น
ใช่ สมมติถ้าเราเปรียบเทียบการทำความสะอาด ‘พรมปูพื้น’ ของบ้านหลังละ 5 ล้าน กับการทำความสะอาดพรมของบ้านหลังละ 25 ล้าน มันอาจไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่กับรถที่เรนจ์ 2 ราคานี้ จะมี Material ที่แตกต่างกันเยอะเลย รถบางคันต้องระวังมาก ๆ ในการจะทำความสะอาดบางส่วนของรถ เพราะว่าสีที่ Coating จากโรงงานไม่เหมือนกัน แต่ละทวีปที่ผลิตรถออกมาก็มีจุดประสงค์ในการพ่นแตกต่างกัน บางประเทศก็พ่นมาเพื่อให้แข็งแรง บางประเทศก็พ่นเพื่อต้องตอบโจทย์กฎหมายบางอย่าง เช่น สีบางสีบางประเทศต้องเป็นสีที่สามารถรีไซเคิลได้ ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศ เลยทำให้สีจะลอกง่าย
ในการทำความสะอาดรถเราทำเหมือนกัน เอาสิ่งสกปรกออกเหมือนกัน จับขยะออกเหมือนกัน เช็ดอ้วกเหมือนกัน ใช้ผ้าเหมือนกัน ใช้น้ำยาทำความสะอาดเหมือนกัน แต่จะมีความเข้มข้นของกระบวนการแตกต่างกันไป กลับมาที่บ้าน สมมติถ้าเราทำให้พื้นปาร์เก้สวย ๆ เป็นรอยไปนิดหนึ่ง บางทีมันอาจไม่เท่ากับการทำรถเป็นรอย เพราะบ้านมันมีสเปซค่อนข้างใหญ่ ฟังก์ชันการใช้งานแตกต่างกัน รถมันเคลื่อนที่ไปข้างหน้าดูเหมือนบุกก็จริง แต่ส่วนที่บอบบางที่เจ้าของรถอยากจะรักษามันไว้มีอยู่ทุกที่เลย
มีแค่อย่างเดียวที่เจ้าของรถไม่รักคือ “ยางรถยนต์” ใช้คำว่าไม่รักมากเท่าไรละกัน หมายความว่ามันต้องลุยอยู่แล้ว พอหมดอายุก็ต้องเปลี่ยน แต่ส่วนอื่น ๆ ไม่ใช่ ตั้งแต่สเกิร์ต ใต้ท้อง ท่อไอเสีย บางคนเขาก็ซีเรียสมาก ๆ ที่อยากจะให้สิ่งที่เขาอัปเกรดเพื่อให้รถสวยขึ้นไม่เกิดความเสียหายเลย มันยากตรงนี้ เราทำงานแรงงานเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ความคาดหวังของมนุษย์ที่มาจ้างเรามันแตกต่างกัน รถดูเป็นของที่มีมูลค่าเพราะว่าคนให้ค่าเป็น Value ที่สูงมาก เพราะมันเล่นกับตัวตนของคนด้วยไง คิดสภาพเป็นคนปกติ แต่พอมี Harley หรือ Ferrari มันเป็นอีกคนเลยนะ เพราะฉะนั้น เขาก็เลยคาดหวังกับความสมบูรณ์ของวัตถุที่เขาครอบครองมาก
อย่างเราเองน่ะสวนทาง แต่ก่อนเราเป็นคนแบบนั้น แต่พอเรามาทำ Car Detaling เราเกิดความรู้สึกปล่อยวางรถประมาณหนึ่ง รถเราเองเราจะใส่ใจกับมันน้อยมาก แค่ทำความสะอาดเท่าที่ความสามารถจะทำได้ แล้วเอาพลังไปทำให้รถลูกค้ามากกว่า
UNLOCKMEN : ถ้างั้นการทำ Car Detailing ตอบโจทย์อะไรในชีวิตของพี่เช่
ตอนแรกมันตอบโจทย์เพราะเราได้ทำในสิ่งที่รัก แต่พอเราเปิดร้าน มีพนักงาน พูดตรง ๆ ว่ามีช่วงหนึ่งที่มันไม่ตอบโจทย์อะไรสักอย่าง-เป็นช่วงหนึ่งที่ทำให้เราไม่ชอบรถไปเลย เพราะเจอปัญหากับการเปิดร้าน ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาก่อนจะมาเป็น Darren Thompson
UNLOCKMEN : ช่วยเล่าประวัติ Darren Thompson ให้ฟังหน่อย
ก่อนเป็น Darren Thompson เรามีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ไปล้างรถตามบ้านก่อน เคยขนาดว่าไปล้างรถโบราณที่ประมูลมาจากในวัง ชื่อเก่าเป็นชื่อของในหลวง ร.9 พอทำไปสักพักก็เริ่มไปเรียน พอเริ่มไปเรียนก็หุ้นกับเพื่อนมาเปิดร้านชื่อ MR. JOHNSON Auto Detailing เป็นเหมือนร้าน Car Care ที่มีงาน Detailing ซึ่งงาน Car Care เอาแบบที่พูดแล้วคนไทยเข้าใจก็คือร้านล้างรถและทำความสะอาดรถ ดูดฝุ่น เคลือบสี ที่มีงาน Car Detailing เข้าไปเพิ่ม ทำความสะอาดภายในทั้งการฟอกเบาะ ขัดสี รวมไปถึงงาน Coat ที่เป็นพรีเมียมมากขึ้น เราเปิดมา 2 ร้าน ร้านแรกมีเหตุจำเป็นที่จะต้องย้ายเพราะเรื่องการเช่าที่
UNLOCKMEN : เกิดอะไรขึ้นกับ MR. JOHNSON Auto Detailing สาขาแรก
ประสบการณ์ของคนอยากทำธุรกิจ Car Detailing เลยนะ ถ้ามี ‘ที่’ เป็นของตัวเองคือสวรรค์ แต่ถ้าไม่มีที่เป็นของตัวเอง ก็ขอให้ที่อยู่ในทำเลที่ดี และค่าเช่าถูกที่สุด แล้วต้องเป็นการเช่าโดยตรงกับบริษัท ห้าง ร้าน หรือเจ้าของที่โดยตรงเท่านั้น MR. JOHNSON Auto Detailing สาขาแรก เป็นการไป ‘เช่าช่วง’ มันคือการที่เจ้าของที่ให้บุคคล นาย ก. เช่า แล้วเราคือนาย ข. ไปเช่านาย ก. แล้วเราก็จ่ายเงินให้นาย ก. ร้านอื่น ๆ ก็จ่ายเงินให้ นาย ก. นาย ก. ก็เอาเงินตรงนี้ไปจ่ายให้เจ้าของที่ แล้วจัดสรรแปลงตรงนี้ในการเช่า
ซึ่งด้วยข้อกฎหมายจริง ๆ สิ่งนี้ทำไม่ได้ แต่ เหตุการณ์ของเราก็คือ นาย ก. เอาเงินของเราไปแล้วไม่ไปจ่ายต่อ เจ้าของที่ก็ถามเลยว่าทำอะไรกันถึงไม่เอามาจ่าย ทั้ง ๆ ที่เรามีสลิปจ่ายครบทุกเดือน เจ้าของที่เลยบอกงั้นมาเช่ากับเจ้าของที่เอง เช่าได้ถูกกว่าด้วย แต่พอเจ้าของที่รับทำสัญญาใหม่ปุ๊บ อีกหนึ่งปีก็ขายที่ปั๊ป ร้านเราก็ถูกทุบทิ้งเละเทะ เศร้า เครียด เราร้องไห้เลย
เพราะในตอนเริ่มต้นเปิด MR. JOHNSON อะ เราต้องจัดการเอกสารเยอะมาก ต้องไปขอทั้งกรมที่ดิน กรมทางทำที่ ทำประปา ติดต่อเรื่องการไฟฟ้า เหนื่อยมาก เพราะว่าเราเช่าช่วงต้องทำสองต่อ เอาง่าย ๆ คือมันไม่ได้ทำในสิ่งที่รักสักทีน่ะ เพราะฉะนั้นการเปิดร้าน MR. JOHNSON ในด่านแรก 80-90% ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่เรารักเลย มันเสียเวลากับการทำเรื่องพวกนี้เยอะมาก แล้วพอเจ๊งไป ต้องปิดไป ก็ต้องย้ายไปอีกทีหนึ่ง ก็ย้ายไปกับเจ้าของที่นี่แหละ
UNLOCKMEN : แสดงว่าร้านที่ 2 กำลังไปได้ดีเหรอถ้าไม่เจอโควิด
ร้านแรกดีที่สุดแล้ว เราไม่ต้องเข้าร้านเลย ทุกอย่างเข้าสู่ fixed cost อยู่ที่จะเพิ่มเติมอะไร พอย้ายร้านที่ 2 ฐานลูกค้าเปลี่ยน ค่าเช่าแพงขึ้น ทำเลไม่ค่อยดี แต่ว่า Facility ดี ตึกสวย ก็กลายเป็นว่าควักบ้างเข้าเนื้อบ้าง ดีบ้าง โควิดมาเจ๊งเลย แล้วเราพอมีเงินก้อนอยู่นิดหน่อยก็เปิด Darren Thompson Home Detailing
UNLOCKMEN : ทำไมถึงเลือกทำ Car Detailing ต่อ ทั้ง ๆ ที่ล้มมา 2 ครั้งในธุรกิจเดิม
มันไม่มีอะไรจะเสีย เพราะว่าเราก็ชอบสิ่งนี้อยู่แล้วด้วย และมันก็เป็นบ้านของเราเอง จะบอกว่าลูกค้าเก่านี่สำคัญนะ เพราะลูกค้าเก่าที่เรายังต้องรับผิดชอบเขาก็ยังเหลืออยู่ คนที่ซื้อประกันกับเราไปและยังไม่หมด เราก็เป็นคนเดียวที่รับผิดชอบตรงนี้กับเขาต่อ ก็มา maintenance ฟรี เสียค่านู่นนี่นิดหน่อย
ถึงบอกว่า Car Detailing มันไม่ได้ตอบโจทย์ความสุขของเราขนาดนั้นเพราะมันเป็นธุรกิจน่ะ มันมีเรื่องหลายเรื่องมากเลยที่ต้องจัดการ ทั้งเรื่องบุคคล หรือ Business Plan ทั้งหลายแหล่ ไปจนถึงเรื่องการจัดการการบริหารซึ่งมันมีความเครียดอยู่ประมาณหนึ่ง
UNLOCKMEN : ถ้างั้นขอถามคำถามสำคัญต่อเลย ถ้าเกิดอยากเอาความชอบมาทำเป็นธุรกิจแบบ Darren Thompson ต้องทำยังไงเพื่อให้อยู่รอดอย่างที่พี่เช่อยู่ได้ในทุกวันนี้
ถ้าเอาความชอบมาทำธุรกิจ เราจะบอกว่ามันต้องเข้าใจเรื่องตัวเลขซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก อันที่สองต้องเริ่มฝึกทำงานที่มันมีระบบ จะเป็นเรื่อง Business Plan / Marketing / PR ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่พูดไปก็มีความเลี่ยน ๆ นะว่าถ้าจะทำธุรกิจก็ต้องมาพูดเรื่องนี้ แต่เรามองว่ามันเป็น default ไปแล้วของการทำทุกอย่างในยุคนี้
เอาจริง ๆ ไม่ว่าจะยุคไหนก็ต้องทำเรื่องนี้เหมือนกัน ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ก่อนแล้วเรามีแพชชั่นมันก็ไปประกบกันได้ แต่ถ้ามีแพชชั่นอย่างเดียวแล้วจะทำธุรกิจที่ตัวเองชอบ ที่มันอาศัยบางอย่างที่ต้องแลกมาด้วยเงิน มันก็ต้องมีเงิน เช่น ทำ Home Detailing อย่างเราจะใช้แพชชั่นอย่างเดียวก็ได้นะ มีเงินทำห้องแล้วก็ซื้ออุปกรณ์ ไปเรียน ทำให้เก่ง แล้วก็ค่อย ๆ โปรโมทตัวเองไป ก็เหมือนที่เราทำอยู่ แต่ถามว่ามันจะรวยเร็วไหม มันอาจจะไม่ใช่ ยังไงก็ต้องเข้าใจเรื่องการตลาด เข้าใจเรื่องธุรกิจ อย่างตัวเราทำเรื่องพวกนั้นไม่ได้เลย ต้องอาศัยคนอื่น ๆ มาคอยช่วย
UNLOCKMEN : แล้วถ้าคนที่อยากเปิด Car Detailing ในประเทศไทย เหมือน Darren Thompson ความยากคืออะไร
ความยากอย่างแรกคือการทำงาน Car Detailing จริง ๆ มันคือการทำความสะอาดและการฟื้นฟูสภาพพื้นผิวในส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ ครอบคลุมไปถึงห้องเครื่อง ภายในห้องโดยสาย ภายนอก ช่วงล่างในบางส่วน ทั้งหมดนี้มันให้ความหมายหนึ่งคือเป็น ‘นักทำความสะอาด’ มันเทียบเท่ากับสิ่งที่เป็นแรงงาน ทีนี้พอพูดถึงแรงงาน อยากให้เข้าใจก่อนอย่างที่เกริ่นไปเมื่อกี้ว่างานนี้มันไม่ใช่งานสบาย มันเป็นงานที่ต้องใช้แรง ใช้ความอดทน มันคืองานแรงงานเลยจริง ๆ แล้วกว่าจะมาเป็นผลลัพธ์ มันต้องใช้แรงงานเยอะ แล้ว Value มันอยู่ตรงแรงงานด้วยนะ ไอช่วงท้ายสุดของกระบวนการ ที่เป็นการเคลือบแก้ว/เคลือบเซรามิก เช็ดสวย ๆ แล้วถ่ายรูปส่งลูกค้า ก็เลยเป็นช่วงที่สนุกสุด ๆ แล้ว
ขั้นตอนที่ใช้แรงงานเป็นสิ่งที่ยืดยาวมากของกระบวนการ Car Detailing และมันคือสิ่งที่ลูกค้าจะไม่มีวันเห็น ตราบใดที่งานนี้ยังไม่มีถูกบรรจุในหลักสูตรปริญญาตรีที่มีคนหลาย ๆ คนให้ความสนใจ และมีสื่อสนใจมัน มีรายการในการแข่งขันทำเหมือนรายการเชฟ คนก็จะไม่เห็น Process นี้เลย เพราะฉะนั้น คนเลยให้ค่า Value ไปถูกขายตอนช่วงท้ายอย่างเดียว ใครถ่ายรูปรถได้สวย ใครโชว์นวัตกรรมการเคลือบหรืออื่น ๆ ได้ดีกว่ากัน
UNLOCKMEN : ส่วนไหนในการทำ Car Detailing ที่มีความสำคัญมากที่สุด
คราวนี้เรามาพูดถึงกระบวนการที่คนมักมองไม่เห็น สมมติว่าเราแบ่งการทำงาน Car Detailing ออกเป็นทั้งหมด 3 พาร์ท (1) ความสวยงาม (การล้างและการขัดสี) / (2) นวัตกรรม (การเคลือบ) / (3) โปรโมท (การถ่ายรูปรถ) แต่ Process ที่คนมักจะมองไม่ค่อยเห็นและไม่ได้ค่อยได้ให้ค่าเท่าไหร่คือตรงช่วงที่ (1)
ช่วงที่ (1) คือการที่รถขับเข้ามา สภาพเป็นอย่างไร ต้องฝึก ‘ประเมิน’ ก่อน คำว่าประเมินก็คือความรู้ที่เรามีให้กับรถ จากการทำรถมาหลากแบรนด์หลายรุ่น เราก็จะสามารถประเมินได้ว่ารถรุ่นนี้มีลักษณะพิเศษ ข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร มีเนื้อสีนิ่ม สีกลาง หรือว่าสีแข็ง วัสดุภายในเป็นอย่างไร รักษ์โลกไหม วัสดุเป็นผ้าหรือหนัง
พอประเมินเสร็จก็ล้างทำความสะอาด การล้างทำความสะอาดตอนนี้ล่ะเหนื่อย เพราะมันต้องอยู่กับสิ่งสกปรก อยู่กับรถที่มี Solution ทำงานแตกต่างกัน มีคราบที่อยู่บนฝากระโปรงแตกต่างกัน สีที่แตกต่างกัน ต้องทำความสะอาด ล้างด้วยความระมัดระวัง ใช้อุปกรณ์บางตัวในการดึงความสกปรกออก เช่น ใช้ดินน้ำมันในการเคลียออกมา ทำให้คราบมันออกมาโดยไม่ทำลายพื้นผิว แล้วค่อย ๆ เช็ดทำความสะอาด ถ้าไม่หมดก็ล้างใหม่ ใช้น้ำยาสลายคราบ กว่าจะล้างเสร็จล่อไป 1-2 ชั่วโมง
พอล้างเสร็จแล้ว เป่าแห้ง ก็ประเมินต่ออีกว่าเราจะฟื้นฟูสภาพสีของรถคันนี้ด้วย Solution อะไร และใช้อุปกรณ์อะไร ต้องเลือกละเอียดถึงขั้นว่า จะต้องเลือกฟองน้ำชนิดไหนกับสีรถยนต์ และใช้น้ำยาประเภทไหนให้ถูกต้องกับสีรถ ขั้นตอนการดูแลสีแต่ละแบบก็แตกต่างกัน พอจัดสรรอุปกรณ์แล้ว ก็เริ่มจากภายนอกก่อน ทำภายนอกเสร็จกินไปแล้ว 4 – 5 ชั่วโมง ทำภายในต่อ เลือกน้ำยาเสร็จ ทำไปอีก 3 ชั่วโมง มาเช็ดล้อ ล้างล้อ ทำทุกอย่างเสร็จคลีนน้ำยาทุกอย่างที่เราทำความสะอาดไปอีก 1 ชั่วโมง ก่อนที่จะมาทำหล่อกันตอนถ่ายรูปโปรโมทช่วงที่ (3)
ทีนี้เรามีเคสที่อยากเล่าให้ฟังว่าทำไมพาร์ทที่ (1) การล้างเตรียมรถและการขัดสี ถึงได้ยุ่งยากและสำคัญมากที่สุด เราเคยเกิดปัญหาขนาดที่ว่าเจอรถที่หา Solution ในการขัดสีให้เคลียร์ไม่ได้ โทรถามเพื่อนจนเพื่อนแต่ละร้านเข้ามารุมเอาน้ำยามาช่วยเรื่องขัดสีกันเพราะว่าเอาไม่ลง
อย่างที่รู้กันว่า ตัวชั้นบนสุดของสีรถยนต์ที่เราเรียกว่า Clear Coat หรือถ้าเข้าใจง่าย ๆ คือ แลกเกอร์ เป็นชั้นที่แข็งและขัดยาก แข็งคือดีแหละ สิ่งที่ตามมาคือพอขัดลงจนเจอชั้นน้ำยาแล้ว ก็ใช้น้ำยาหยาบ ๆ เอาฟองน้ำหยาบขัดลงแล้ว ใสแล้ว แต่ทิ้งรอยฟองน้ำที่เป็นเสี้ยน ๆ เบา ๆ ปกติเราก็จะใช้ฟองน้ำที่ดรอปลงมานิดหนึ่งขัดปุ๊บก็จะหาย แต่รถคันนี้ขัดไม่ออก จนสุดท้ายไปจบที่น้ำยาตัวหนึ่ง จบ
เพราะฉะนั้นกระบวนการตรงนี้คือสิ่งที่เราเชื่อว่า หัวอกคนทำ Car Detailing ทั่วประเทศทุกคนมีความอัดอั้นตันใจอยู่ เพราะว่าไม่สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร มันยังไม่ใช่สิ่งที่คนเข้าใจและให้คุณค่า มันก็เลยยังยากอยู่กับ ณ เวลานี้ที่ Car Detailing ไม่ได้เป็นอาชีพ
เพราะฉะนั้นแต่ละร้านมันก็ต้องไปแข่งกันหล่อตรงช่วงท้ายที่ถ่ายรูปโปรโมทลูกค้า ห้องต้องสวย ไฟต้องมา นวัตกรรมไปเอาแบรนด์จากโน่นนี่นั่นมาโชว์ว่าฉันเป็น Dealer ได้ เราเข้าใจเขานะ ถ้าเป็นเราเองก็ทำนะ เพราะว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่เราจะบอกลูกค้าได้ว่าเรามีของดี ซึ่งลูกค้าจะไม่เห็นกระบวนการที่ (1) ก็ไม่เป็นไร แต่ในขณะเดียวกันถ้าเกิดว่าลูกค้าได้เห็นกระบวนการตรงนี้ พวกเราคนทำ Car Detailing ก็จะง่ายขึ้นเยอะเลย เพราะว่าเขาเริ่มให้เกียรติเราแล้ว เขาเริ่มรู้สึกว่าจ่ายแค่ 5 พันมันยังน้อยไปเลยในสิ่งที่เราทำให้กับรถของเขา
จำได้เลย ตอนเปิดร้าน Mr. Johnson สาขาแรก มีฝรั่งขับ Ford Ranger เข้ามา “ทำไมมันถูกจัง” เขาถามแบบนี้ ที่บ้านเราเคลือบสี 450 แต่ที่เมืองนอก 4,000-5,000 พอทำรถเสร็จรอส่งลูกค้า เขาก็เดินดูรอบรถแล้ว Appreciate ไปกับมัน พร้อมกับบอกชมแล้วก็ขึ้นรถไป ซึ่งสิ่งนี้มันเป็นวัฒนธรรมของเขา ถ้าคนไทยมีจะดี แต่ไม่มีไม่เป็นไรหรอก เพราะมันคือการที่ให้ค่ากับสิ่งที่มันเป็นแรงงานไง เขารู้ว่าเขาทำไม่ได้ ถ้าเขาทำเนี่ยเหนื่อยแน่ และไม่มีใครอยากสต็อกน้ำยาขวดละประมาณพันกว่าบาทที่ใช้ได้หนึ่งปีน้ำยาก็เริ่มมีกลิ่นแล้ว หรือกระทั่งสต็อกอุปกรณ์เพื่อล้างรถเดือนละครั้งด้วย
เพราะฉะนั้น เราเชื่อว่ามันคือความยากของงาน Car Detailing ทุก ๆ คน เราอาจจะพูดแทนความรู้สึกของคนทั่วประเทศด้วยว่า มันเป็นสิ่งที่เราทำงานกันเหนื่อย แต่วิถีการทำงานของเรามันไม่สามารถสื่อสารเรื่องพวกนี้ไปถึงลูกค้าได้ การได้รับเกียรติมันเลยค่อนข้างได้รับน้อยนิดนึง
UNLOCKMEN : แล้วถ้าพูดกันแบบอุดมคติเลย Solution อะไรที่จะทำให้ลูกค้าสามารถมองเห็นตรงนี้ได้
เราท้อถอยกับเรื่องนี้ประมาณนึงแต่ก็ยังพยายามทำอยู่ เพราะว่าด้วยความเป็นจริงตอนนี้ทุกคนมันต้องหาเงินเลี้ยงชีพ จะให้มานั่ง Meeting กลุ่มทั้งประเทศมาช่วยกัน มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ถ้ามันไม่ใช่มหาวิทยาลัยอย่างที่บอกไป แต่ถ้าทุกคนโฟกัสกันเรื่องนี้ ทำงานแบบให้เกียรติกับความเป็นแรงงานของเรา แล้วก็ช่วยกันผลักดันทั้งประเทศ เราว่าอันนี้เป็นไปได้อยู่
UNLOCKMEN : พูดกันมาถึงตรงนี้ สำหรับพี่เช่ความยากของ Car Detailing กว่าจะไปถึงไฟนอลได้ มีปัญหาอะไรบ้างที่ต้องเจอ
ความยากอย่างอันดับแรกคือ ‘ดีไซน์’ ของรถยนต์ บางคันสันคิ้วน้อย ช่องรูน้อยก็ง่าย แต่ดีไซน์บางคัน ช่องเยอะ ล้อเป็นซี่ รายละเอียดที่เป็นรูเยอะ ๆ ก็นับเป็นความยากชนิดหนึ่งของรถยนต์ บางทีเทรนด์มันมาอวกาศหน่อยจะอะไรก็ว่ากันไป ทำให้เราต้องเข้าร่อง บางทีคนดีไซน์เขาไม่ได้คำนึงถึงการทำความสะอาด ร่องบางร่องไม่สามารถใช้อุปกรณ์ปกติของร้าน Car Care ได้ ก็ต้องใช้อุปกรณ์เล็กมาก ๆ เข้าไปเคลียร์มัน ถือเป็นบั๊กในการดีไซน์ของรถบางรุ่นเหมือนกันนะ
UNLOCKMEN : งั้นพี่เช่ช่วยจัดอันดับ TOP 3 รถรุ่นที่ทำ Car Detailing ยากที่สุด ของ Darren Thompson หน่อย
No.1 สำหรับเรา BYD ATTO 3 ช่องแอร์คือทำความสะอาดยากมาก ช่องมันจะถี่หมดเลย เล่นกับงานดีไซน์เยอะแยะเต็มไปหมด ช่องเว้าโน่นนี่ แล้วภายในข้าง ๆ รถ จะเป็นด้ายที่ขึงเหมือนสายดนตรีก็ยากเพราะวัสดุเป็นเชือกอีก
รถที่เราใช้อยู่ BMW Alpina ก็ยาก เพราะตัวล้อมันจะเป็นซี่ ๆ แล้วเราไม่สามารถล้วงเข้าไปล้างทำความสะอาดได้ ถ้าจะเข้าไปทำความสะอาดภายในวงล้อ จะต้องถอดล้อออกมาถึงจะเคลียร์ได้หมด เป็นชุดแต่งล้อแมกซ์ลายดีไซน์อุดมคติในยุค 70s นั่นล่ะ
รถที่ยากเป็นอันดับที่ 3 ของเราคือ HONDA สีดำ Gen ประมาณปี 2015 เพราะว่าชั้นสี Clear Coat เขานิ่ม ต้องอธิบายอย่างนี้ว่า รถยนต์ก่อนจะเป็นสีที่เราเห็น จากชั้นเหล็ก (Body Panel) เขาจะมีสีรองพื้น (Primer) แล้วก็จะมี Color Coat สีขาว สีดำ สีซิลเวอร์ ฯลฯ และชั้นบนสุดคือ (Clear Coat) เป็นใส ๆ ซึ่งการทำสีแบบนี้เขาเรียกว่า 2 Step Paint คือสีที่เป็นสีของรถ สีดำสีขาวคือ Step แรก ส่วน Step ที่ 2 คือ Clear Coat จะเป็นสีใส ๆ ที่ให้ความเงางาม คราวนี้ HONDA สีดำชั้น Clear Coat พอมันนิ่มก็ทำให้เกิดรอยได้ง่าย เวลาเราขัดสีมันขัดง่ายก็จริง แต่มันจะมี After Effect จากการขัด เป็นรอยต่าง ๆ ที่เกิดจากแผ่นขัด พอมันเกิดรอยแล้วเราจะต้องหา Step ที่เบาที่สุดเพื่อให้รอยตรงนั้นหายไป
UNLOCKMEN : ปัญหาต่อจากดีไซน์รถยนต์ในการทำ Car Detailing คืออะไร
ปัญหาที่ต่อมาก็คือ ‘คราบ’ ที่เป็นคราบฝังแน่น คราบขี้ไคลที่เราขับไปตามท้องถนนต่าง ๆ แล้วไม่เคยล้างเลย เหมือนผิวเราน่ะ ใช้แชมพูขัดก็ไม่ออกต้องมีสครับมาขยี้
ส่วนรถที่มีการใช้ ‘อุปกรณ์ตกแต่ง’ พวกคิ้วโครเมียม อุปกรณ์เสริมที่มันมีความไม่ได้มาตรฐาน พอเช็ดไปเกิดความเสียหาย อันนี้ก็เป็นปัญหาเหมือนกัน
สิ่งที่เราบอกตลอดการคุยกัน ชั้นสี Clear Coat ที่ค่อนข้างนิ่มเกินไปและแข็งเกินไป แข็งเกินไปก็เป็นปัญหา ขัดเท่าไรก็ไม่ลง รถที่มันมีความแข็งของตัวแลกเกอร์สูงมากส่วนมากจะเจอในรถยุโรปและรถญี่ปุ่นไฮเอนด์บางรุ่น
อันนี้ก็เคลียยาก รถที่มันมี ‘สิ่งปฏิกูล’ ต่าง ๆ ที่ติดอยู่บนรถนาน ๆ เช่น ขี้นก ยางไม้ ยางมะตอย ที่มันฝังนาน ๆ แล้วพอล้างออกก็จะเห็นว่ามันกินแลกเกอร์ไปแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาล้างรถเสร็จแล้วมันก็จะเกิดรอยด่าง ด้วยคราบกรดที่มันไปกัดแลกเกอร์ ล้างเท่าไรก็ไม่สะอาด ต้องมาทำการขัดเป็นจุด ๆ ไป
อีกสิ่งที่เราเจอแล้วบอกได้เลยว่ายากมาก คือรถที่มี ‘สัตว์หรือแมลงตายอยู่ในรถ’ แล้วหาไม่เจอ มันจะมีกลิ่นที่เหม็นมาก ๆ นาน ๆ จะเจอสักที เช่น มีหนูเข้าไปอยู่ในช่องแอร์ตายตรงกรอง พอเอาออกไปปุ๊บลูกค้ารักเราเลย
UNLOCKMEN : เวลาที่พี่เช่ทำ Car Detailing แล้วเกิดพลาดทำสีลอก สีหลุด หรือทำรถลูกค้าเป็นรอย มีวิธีแก้ไขยังไงบ้าง
“ผมขอโทษนะครับ” (ยกมือไหว้)
บางทีก็ขอโทษลูกค้าตรง ๆ เพราะมันแก้ไม่ได้ เพราะเราเป็นคนทำ Car Detailing เราไม่ได้ทำงาน Coat พ่นสีเก็บดีเทลพวกนั้น เคยเจอที่บางทีโลโก้ของ BMW มันสีพ่นมาเป่าไปปุ๊บหลุดไปเลยก็มีเหมือนกัน
ช่วงแรก ๆ มีลูกค้าที่ดี ๆ กับเราเยอะมาก ที่เขาไม่เอาเรื่อง ให้เราได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้ไป จนวันนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถก็น้อยมากแล้ว เพราะมันเคยเจอมาทุกมิติ ในตอนแรกที่ทำงานเราคิดว่าสิ่งที่เรียนมาก็ทำเหมือนกันหมด แต่มันไม่ใช่ รถแต่ละคันมันมีความแข็งแรงทนทานแตกต่างกัน จากข้อจำกัดในการผลิตจากโรงงานเขามา
แต่จากที่เล่ามา สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดของการทำ Car Detailing เลย คือการล้างรถให้ ‘มนุษย์ที่เอาแต่ได้’ ชอบเอาเปรียบ ลูกค้าเป็นพระเจ้าเราคิดอย่างนั้นจริง ๆ ลูกค้าเขาเอาเงินมาให้เราจริง ๆ แต่ลูกค้าบางคนเขาอยากจะได้อย่างเดียว อยากจะเอาทุกอย่างกับการที่เขารู้สึกว่าเขาจ่ายเงินค่าบริการเข้ามาแล้ว เขาต้องได้ทุกอย่าง
ทีนี้คำว่าเขาต้องได้ทุกอย่าง มันคือการขับรถที่ทำไปแล้วกลับมาขอนู่น ขอนี่เพิ่ม Complain ในสิ่งที่เล็กมาก ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อันนี้ยากมาก การทำงาน Car Detailing คือการทำความความสะอาดที่ทำให้มนุษย์มีความสุข รถมันกลับมามีคุณค่ากับเรามากขึ้น แต่ความสุขของคนมันมีหลากหลาย พอได้แล้วก็จะเอาอีก เราจะบอกว่าบางทีมันก็ทำจนเข้าเนื้อเรามาก ๆ อยู่เหมือนกัน แต่เราโชคดีเพราะเจอมนุษย์อย่างนั้นน้อยตั้งแต่ทำงานมา
UNLOCKMEN : ส่วนใหญ่ลูกค้าเลือกใช้บริการกับ Darren Thompson เพราะว่าอะไร
เราว่าคล้าย ๆ กับหลายร้าน Car Detailing ที่ลูกค้ากลับไปหาซ้ำ ๆ มันคือเรื่อง Service แต่เรายอมรับว่าตัวเองยังบริการได้ไม่ดีนะ ถ้าเราบริการดีกว่านี้ ลูกค้าจะมาได้เยอะกว่านี้ ที่ยังทำได้ไม่ดีส่วนหนึ่งเพราะเราไม่มีกำลังพอในการโทรหาลูกค้า ให้ข้อมูลลูกค้า เพราะว่าตัวเราเองก็ต้องทำงานอื่นเยอะด้วย ก็จะมีน้องนิลคอยช่วยที่ Darren Thompson ช่วงนี้เรากำลัง Build Up ร้านขึ้นมา และกำลังจะทำแบรนด์ของกลุ่มของเราขึ้นมาด้วย
UNLOCKMEN : เป็นแบรนด์โปรดักส์สำหรับทำ Car Detailing
ใช่ กำลังปลุกปั้นกันอยู่ จริง ๆ เราอยากทำแบรนด์คนไทย และอยากนำเสนอความเป็นไทยมาก ๆ ซึ่งตัวเราเองก็ใช้น้ำยาของคนไทยหลายตัว ซึ่งเราว่าแบรนด์อเมริกาสู้ไม่ได้เลย เพราะคนไทยสามารถปรับปรุงสูตรได้ตลอดเวลา เราอยากทำสิ่งนี้เพราะเราเป็นคนทำงานจริง ๆ และเรารู้ว่าอะไรดีต่อคนทำงาน กลุ่มเราแต่ละคนที่มาร่วมกันทำตรงนี้ผ่านประสบการณ์มาสิบกว่าปี เราจะทำโปรดักส์ที่ Car Detailing ระดับ Beginner ใช้งานกันสนุกสนานในอนาคต รวมไปถึงระดับ Pro ก็สามารถใช้ของเราได้หมดเลย
UNLOCKMEN : จากที่เราคุยกันมาในเรื่องของความเหนื่อยในการใช้แรงงาน ปัญหาจากคน และความสุขที่ได้อยู่กับรถ อยากรู้ว่า Darren Thompson และการทำ Car Detailing สะท้อนตัวตนในด้านไหนของพี่เช่บ้าง
จริง ๆ เราไม่ค่อยอยากตอบประโยคนี้นะ เพราะว่าถ้าตอบไม่ดีมันจะมีขนลุกทันที แต่เราคิดว่าเราสามารถตอบได้ทันทีเลย
ด้วยความที่เราเป็นคนเติบโตมาด้วยการเรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไร ทั้งทักษะการใช้ภาษา การอ่าน และการเขียนเราไม่ดี เพราะเราจะเน้นไปทางศิลปะ เพราะฉะนั้นเวลาเราทำงานเราก็เลยเหมาะกับการเป็น ‘ขี้ข้า’ คนเป็นคนช่วยซัพพอร์ต คอยอยู่เบื้องหลัง ตอนทำงานที่มหาวิทยาลัยมหิดลก็เหมือนกัน เรารู้สึกถนัดกับการใช้แรงงาน ถนัดในการเสียสละ ไม่ใช่ว่าเราพยายามนะ แต่มันคือสิ่งที่ถนัดมาตั้งแต่เด็กแล้ว เราชอบให้มีผู้นำแล้วเราเป็นขี้ข้าเขาในการทำอะไรสิ่งต่าง ๆ Darren Thompson มันสะท้อนตัวตนของเราในมุมนี้ เราอยู่กับสิ่งสกปรก อยู่กับอะไรที่เป็นความเหนื่อยได้ การใช้คำว่าขี้ข้ามันดูแรงไปนิดนึง แต่ว่ามันก็เป็นคำที่เราใช้แทนตัวเองเลยไม่ค่อยกลัวเท่าไร เพราะเราเป็นอันนั้นไง แล้วเราก็ Appreciate กับมันด้วย
สมัยก่อนเรามีลูกน้องพม่าเราก็รักมันเหมือนพี่เหมือนน้อง ลูกน้องบอกว่าทำงานมาทุกที่ไม่เคยรักเจ้านายเท่าเรามาก่อน เราก็รู้สึกดีเพราะเรารู้สึกว่าตัวเองเข้าใจความเป็นแรงงานประมาณหนึ่ง
คราวนี้ การที่เราลงแรงทำไป 10 แต่คนรู้สึกถึงสิ่งที่เราทำได้แค่ประมาณ 2 แล้วเขาคนนั้นโอเคกับ 2 มันไม่จำเป็นที่จะต้องให้เขามารู้สึกว่าเราลงแรงทำ 1-8 ได้ยังไง เราก็แฮปปี้ได้ เพราะเราไม่ได้มีความเหนื่อยจากการที่ลูกค้าไม่ชื่นชมเรา จะมีความรู้สึกว่าที่ทำมาก็ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น เพราะงาน Car Detailing มันเป็นแบบนี้จริง ๆ
จะเห็นว่าตลอดทั้งการสัมภาษณ์ พวกเราทั้งคู่แทบไม่ได้คุยกันเรื่องของ The Richman Toyเลย (ถึงนอกกล้องจะมีคุยเรื่องดนตรีกันบ้าง) แต่ก่อนที่จะจากกันไป พี่เช่ทิ้งท้ายว่า ในอดีตที่เคยได้ไปแตะจุดที่โด่งดัง มีคนมากมายมาชื่นชมตลอดเวลา ต้องสัมภาษณ์สื่อแทบไม่เว้นแต่ละวัน อยู่กับงานที่เอาตัวตนของตัวเองไปขายตลอดเวลา การทำ Darren Thompson คือการทำให้เขาได้ ‘ละทิ้งตัวตนของตัวเอง’ พูดน้อยลงและคอยฟังคนอื่นมากขึ้นซึ่งเป็นสิ่งที่พี่เช่บอกว่าตอบโจทย์กับตัวเองในตอนนี้เลย