Life

UNLOCKER CLUB EP.2 ‘เต๋า-MEMORIESBRAND’ การทำธุรกิจเสื้อผ้าวินเทจด้วยแพชชั่นแบบที่พร้อมจะรักสิ่งนี้ไปทั้งชีวิต

By: GEESUCH February 23, 2025

“เจอกันกับพี่เต๋าครั้งสุดท้ายน่าจะเกินครึ่งปีได้แล้วเนาะ”

“ผมว่าประมาณนั้นครับ นานมากแล้วเหมือนกัน (หัวเราะ)”

บทสนทนาผ่านโทรศัพท์มือถือก่อนเจอกันจริงที่ ULM SPACE ของผมกับพี่เต๋าที่ได้ร่วมงานกันในงาน ๆ หนึ่งเมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา ตอนนั้น UNLOCKMEN บุกไปถึงร้าน MEMORIESBRAND สาขาแรกในรัชดาซอย 10 ร้านเล็ก ๆ น่ารักซึ่งพี่พลอย (แฟนพี่เต๋า) เล่าให้ฟังว่า นี่คือบ้านของครอบครัวที่ถูกรีโนเวทใหม่ให้กลายเป็นร้านวินเทจไซส์กระทัดรัด ซึ่งรอตอนรับคุณด้วย French Workwear, Ivy Jacket, Vintage LL. Bean Tote และอีกหลากสารพัดไอเทมจากอดีต ที่สะท้อนความหลงใหลของชายหนุ่มเคราสวยสวมแว่นคนนี้ซึ่งทุกคนรู้จักเขาดี และลูกค้าจากหลากประเทศทั่วโลกเองก็รู้จักเขาในชื่อของ ‘เต๋า-MEMORIESBRAND’ ส่วนเหตุผลว่าทำไมไอเทมในร้านถึงหลากหลายไม่เฉพาะทางเดียวไปเลย คนอ่านทุกคนจะได้รู้ทีหลังภายในบทความนี้

UNLOCKER CLUB EP.2 บุกบ้านพี่เต๋าไปแล้ว ก็ถึงเวลา UNLOCKMEN เป็นทีมเยือนต้อนรับพี่เต๋ากันบ้าง แต่หัวข้อบทสนทนาในครั้งนี้ต่างออกไปจากครั้งก่อน เพราะเราขอให้พี่เต๋าช่วยเลกเชอร์ ‘การทำธุรกิจวินเทจ 101’ สำหรับคนที่รู้กันดีอยู่แล้ว ประเทศไทยนับว่าเป็นเบอร์ต้น ๆ ของโลกในธุรกิจเสื้อผ้าวินเทจ แต่คุณอาจจะไม่รู้ว่าในมุมของพ่อค้าพวกเขามีวิธีการทำงานยังไง “EVERYTHING HAS ITS OWN STORY” และนี่คือสตอรี่การทำธุรกิจวินเทจของ ‘เต๋า-MEMORIESBRAND’


UNLOCKMEN : การคุยกันในครั้งนี้อาจจะไม่ได้คุยประวัติของพี่เต๋ามาก เพราะคราวก่อนเราคุยกันไปหมดละ 555 (กดอ่านเรื่องราวของ ‘เต๋า MEMORIESBRAND’ กับความทรงจำถึงแฟชั่นวินเทจญี่ปุ่น ตรงนี้ครับ) ก็เลยอยากจะขอ Continue เหตุการณ์กันไปเลยเนาะ พี่เต๋าน่าจะจำได้ที่เราคุยกันเรื่องรายการ Memory Talk เมื่อปีก่อนตอนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง ตอนนั้นยังไม่มีชื่อด้วยซ้ำ แต่วันนี้ทำมาได้ 6 EP. แล้ว เป็นยังไงบ้างครับ

เต๋า MEMORIESBRAND : สนุกดีครับ Memories Talk เป็นอีก 1 รายการย่อยของช่อง MEMORIESBRAND เป็นรายการนั่งคุย ค้นหาคนทั้งที่ผมรู้จักและไม่รู้จัก ผ่านประสบการณ์ของเขา มีการเดินทางอย่างไรบ้าง ซึ่งความแตกต่างของชุดประสบการณ์นี้มันสามารถแชร์ให้กับคนอื่น ๆ ได้ เผื่อว่าบางทีมันอาจจะไปลิงก์หรืออาจไปแก้ปัญหากับบางคนได้ อย่างผมเองอายุไม่ได้เยอะ บางปัญหาเราอาจมองว่า “ทำไมยากจัง” แต่บางคนเขาเคยผ่านจุดนี้มาแล้ว เราก็อาจได้ชุดความคิดหรืออะไรบางอย่างจากตรงนั้นมาปรับกับตัวเอง

UNLOCKMEN : แต่ก็ยังเป็นเรื่องของเสื้อผ้าวินเทจ 

เต๋า MEMORIESBRAND : อาจจะมีบางส่วน แต่ผมว่าเสื้อผ้าก็อยู่กับเราทุกคนในแต่ละช่วงชีวิตแต่ละคนต่างกัน บางคนสนใจเสื้อผ้าตั้งแต่วัยรุ่น บางคนอาจเพิ่งสนใจตอน 30 ผมคิดว่าเสื้อผ้าเหมือนเป็นอีกหนึ่งพาร์ทของชีวิตแต่ละคน เสื้อผ้ามันก็เป็นประสบการณ์

UNLOCKMEN : มีเหตุผลสำคัญอะไรเป็นพิเศษที่ทำให้พี่เต๋าเปิด Memories Talk ขึ้นมา 

เต๋า MEMORIESBRAND : ผมตั้งใจจะแชร์ประสบการณ์ของคนที่เรากำลังสนใจนั่นแหละ เพราะไหน ๆ เราได้คุยกันแล้ว ถ้าสามารถแชร์ให้กับคนดูได้ฟังด้วยน่าจะเป็นอะไรที่ดี มันเหมือนบางทีเราอาจจะกำลังหาพลังงานใหม่ ๆ ประสบการณ์ใหม่ ๆ การที่เราได้คุยกับใครสักคนอาจจะช่วยหรือส่งเสริมอะไรบางอย่างให้กับตัวเราเองได้


UNLOCKMEN : อยากชวนพี่เต๋าอัปเดตไลน์สินค้าในร้าน MEMORIESBRAND ตอนนี้ Selected อะไรเข้าร้านบ้างครับ  

เต๋า MEMORIESBRAND : จริง ๆ ถ้าจากคนภายนอกมองเข้ามาก็ตีความว่ามันคือเสื้อผ้าวินเทจ แต่สำหรับผมมันคือเสื้อผ้าเก่าที่ไม่ได้ผลิตแล้ว และเสื้อผ้าเหล่านี้มันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เสื้อผ้าปัจจุบันอาจจะให้เรื่องความรู้สึกไม่ได้ แต่ผมไม่ได้มองเรื่องอายุของเสื้อ หรือสตอรี่ของเสื้อขนาดนั้น อันนั้นเป็นเหมือนผลกำไรที่ได้ แต่จริง ๆ แล้วเสื้อผ้าที่ MEMORIESBRAND ขายมันคือเสื้อผ้าที่บ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของคนที่ใส่ เสื้อแต่ละตัวที่เราเลือกมา เราพยายามเลือกที่มีความเฉพาะตัวสูง Unique เรามองข้ามเรื่องปีผลิตไปแล้ว ผมเองค่อนข้างเปิดกว้างเรื่องการเลือกของมาขายที่ร้านมาก ๆ ไม่ได้ตีกรอบให้ตัวเองว่าต้องเป็น Military / Workwear หรือ IVY เท่านั้น มันเป็นอะไรก็ได้ที่น่าสนใจ น่าค้นหา มันอาจจะเป็นแว่น เป็นน้ำหอม กางเกง รองเท้า ตุ้มหู เครื่องประดับ หนังสือ ได้หมด

UNLOCKMEN : วิธีการเลือกของเข้าร้านที่ไม่ปิดกั้นอะไรเลย มันสะท้อนตัวตนของพี่เต๋าเองด้วยมั้ย หรือว่าเกิดจากการดูความต้องการของตลาดเป็นหลัก

เต๋า MEMORIESBRAND : จริง ๆ เราเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันต้องมองภาพรวมหลายอย่าง ตลาดก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน แต่ต่อให้ตลาดจะเป็นอย่างไรก็ตาม สุดท้ายเราก็พยายามเลือกอะไรที่เป็นตัวตนของเรามากที่สุด เพราะการทำธุรกิจจริง ๆ ลำพังแค่แพสชั่นคงไม่พอ มันใช้ทักษะในหลายด้านจริง ๆ

UNLOCKMEN : มีแพลนจะออกคอลเล็กชั่นของ MEMORIESBRAND เองด้วยไหม

เต๋า MEMORIESBRAND : มีครับ จริง ๆ มีคิดมาหลายปีแล้ว แต่ว่าเราอยากทำอะไรที่มันเป็นเราจริง ๆ ไม่อยากรีบ ๆ ทำสินค้าของเราเองเพื่อตอบสนองตลาดอย่างเดียว อย่างน้อยมันต้องสะท้อนถึงความเป็น MEMORIESBRAND แต่ก็ยังอยู่ในช่วงของการตกตะกอน ซึ่งถ้าบอกไปวันนี้ ออกมาจริงมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ มันอาจจะเป็นอะไรที่มัน Unique แต่ว่าลำพังแค่คำว่า Unique อาจยังไม่พอ มันอาจต้องค้นหาความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นด้วย ในการที่จะทำให้สิ่งนี้มันออกมาเป็นรูปร่างขึ้น


UNLOCKMEN : เข้าเนื้อหาหลักที่ชวนพี่เต๋ามาคุยวันนี้ดีกว่า เพราะ UNLOCKMEN เป็นมือใหม่อยากได้ความรู้เรื่องการทำธุรกิจวินเทจเพื่อจะแชร์ให้ทุกคนฟัง แต่อยากย้อนกลับไปก่อนเป็น Memories Brand มันเป็น Memoryman มาก่อน อยากรู้ว่าความยากในตอนเริ่มต้น ของเด็กหนุ่ม Memoryman ที่มีแพสชั่นแต่ยังขาด Knowledge และอะไรหลาย ๆ อย่างในการทำธุรกิจ คืออะไร

เต๋า MEMORIESBRAND : ผมว่ามันยากในหลายมิติ เรื่องของต้นทุนเองก็ดี เรื่องของความรู้เองก็ดี เรื่องของกลุ่มลูกค้าเองก็ดี ช่วงนั้นจริง ๆ ถ้ามองย้อนกลับไปมันก็ยากหมดเลย แต่ว่า ณ อายุเท่านั้น ผมไม่ได้คิดว่ามันยาก เราแค่ทำตามใจเฉย ๆ แค่ทำในสิ่งที่เรารักและสนใจ ก้มหน้าก้มตาทำอย่างเดียว ไม่ได้คิดเลยว่าโจทย์คืออะไร

UNLOCKMEN : พอจะ Bullet ได้ไหมว่าความยากของคนที่เพิ่งเริ่มใหม่ ๆ มันมีอะไรบ้าง Knowledge  การหาลูกค้า หรืออะไรที่พี่เต๋าเจอในช่วงแรกตอนทำ Memoryman สิ่งที่พี่บอกว่าไม่ยากเพราะตั้งใจทำ

เต๋า MEMORIESBRAND : สำหรับผมน่าจะเป็นเรื่องทุน เพราะตอนนั้นเราเองทำงานประจำด้วย เป็นมนุษย์เงินเดือนหมื่นกว่าบาท เริ่มจากการซื้อเสื้อผ้ามาใส่แล้วขาย จากนั้นค่อย ๆ พัฒนามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเราเอาเงินเดือนของเราทั้งหมดไปซื้อของมาขายจนเราไม่มีเงินกินข้าว แต่ด้วยความที่ของพวกนี้บางครั้ง มันเจอมันต้องซื้อ ความแตกต่างของเสื้อผ้าวินเทจ เสื้อผ้ามือสอง กับของใหม่ คือไม่ใช่มีเงินเมื่อไหร่ก็ซื้อได้ ของบางอย่างเราเห็น ถ้าเราทิ้งโอกาสตรงนั้นบางทีอีกคนอื่นอาจจะซื้อไปก็ได้

UNLOCKMEN : และเราอาจไม่เห็นมันอีกเลย

เต๋า MEMORIESBRAND : ใช่ มีหลายตัวมาก ๆ ที่ผมเคยเห็นในอดีตแล้วผมไม่มีเงินซื้อ แล้วก็ไม่เคยเห็นอีกเลย แต่มันก็ยังอยู่ในความทรงจำอยู่ว่าเราเคยเห็นตัวนี้ เคยจับตัวนี้ มีโอกาสที่ได้นัดซื้อของ เขาก็มีของให้เราซื้อ แต่ว่าเรามีเงินเท่านี้ เคยโทรไปยืมรุ่นพี่ที่ทำงาน ซึ่งบางครั้งเราซื้อ 1 ดีลราคาเท่ากับเงินเดือนสามเดือนของตัวเอง ผมว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นอะไรที่ยากตอนแรก 

แต่มองย้อนกลับไปก็ไม่รู้ตัวเองเอาความมั่นใจมากจากไหน ที่เอาเงินมากกว่าที่ตัวเองหาได้ ณ ตอนนั้นมาซื้อของที่คนอื่นอาจมองว่ามันคือเสื้อผ้าเก่า เสื้อผ้ามือสอง แต่ความมั่นใจนั้นแหละ ทำให้เราตั้งใจทำมันอย่างสุดความสามารถของเราจริง ๆ น่าจะเป็นแพสชั่น และผมว่าไม่ต่างจากทุกคนที่มีแพสชั่นในอะไรบางอย่างที่เราทำมันโดยไม่ได้มองถึงเรื่องเงินเป็นหลัก

UNLOCKMEN : พูดได้ไหมว่าเป็นเพราะพี่เต๋าเริ่มจากเสื้อผ้าวินเทจซึ่งเป็นตลาดที่ยากกว่าการเลือกเสื้อผ้ามือสองมาขาย ด้วยราคาและการหาของ

เต๋า MEMORIESBRAND : ผมว่าความยากง่ายมันมีในทุกธุรกิจ ตั้งแต่เสื้อผ้ามือสอง เสื้อผ้าวินเทจ ไปยันแม่ค้าขายหมูปิ้ง มันมีความยากในตัวทั้งหมด แต่ถ้าถามว่าความยากของเสื้อผ้ามือสองกับเสื้อผ้าวินเทจ น่าจะเป็นเรื่องความรู้แหละ พ่อค้าเสื้อผ้ามือสองเขาอาจไม่ได้สนใจเรื่องความเป็นมาของเสื้อแต่ละตัวขนาดนั้น แค่มันเป็นเสื้อผ้าเก่าแล้วเอามาขายตามตลาดนัดเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว แค่นั้น แต่เราแค่สนใจเรื่องราวความเป็นเอกลักษณ์เสื้อผ้าแต่ละแบบเราก็เลยลงลึกกับมัน พอเราลงลึกกับมัน ศึกษาเรื่องราวของมัน เห็นความเป็นมา เราก็เลยยิ่งหลงใหลมันหนักเข้าไปกว่าเดิม

UNLOCKMEN : ซึ่งความรู้จำเป็นมากกับพ่อค้าวินเทจ

เต๋า MEMORIESBRAND : มาก ๆ ครับ 

UNLOCKMEN : ในมุมมองพี่เต๋าจำเป็นต้องรู้กว้างไหม หรือต้องรู้ลึกอย่างใดอย่างหนึ่ง

เต๋า MEMORIESBRAND : ผมว่าแล้วแต่คนนนะ บางคนอาจรู้ลึกเรื่องใดเรื่องหนึ่งไปเลย เช่น Levi อย่างเดียว เขาอาจเป็นแฟนพันธุ์แท้ Levi ก็ไม่ผิด มันแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน แต่ส่วนตัวผมแค่ไม่มีกรอบให้ตัวเองเท่านั้นเอง ทุกอย่างก็เลยน่าค้นหาไปหมดในทุกแบบ ทุกสไตล์ เราเจออะไร เราก็ศึกษาไป เช่น ผมไปสวนจตุจักร ผมอาจเจอเสื้อทหาร 1 ตัว อาจรู้สึกว่าเสื้อเท่ Unique พอไปค้นต่อ อ๋อ มันคือโมเดลที่ใช้กับกองทัพ อีกวันหนึ่งผมไปที่เดิม ผมอาจได้เสื้อ Workwear มา 1 ตัว Carhartt ตัวนี้ไม่เคยเห็นเลย มันคืออะไร ผลิตเมื่อไร ทำไมหน้าตาดีเทลแบบนี้ ตามไปเรื่อย ๆ เป็นแบบนี้มาตลอดระยะทางที่เดินทางมา พอเราเจออะไรใหม่ ๆ ที่เรารู้สึกว่ามัน Unique มันน่าสนใจ มีเอกลักษณ์ เราก็ศึกษามันไปเรื่อย ๆ พอมันไม่มีกรอบให้ตัวเองมันเลยทำให้เห็นเสน่ห์ การไปหาของมันเลยไม่มีทางจบ แล้วมันก็ค่อย ๆ สะสมประสบการณ์ตัวเอง พอเราเริ่มมีประสบการณ์มากขึ้นมันก็จะไวในการตัดสินใจ

UNLOCKMEN : ซึ่งสิ่งนี้มันก็ตอบเลยว่าทำไมไอเทมใน MEMORIESBRAND หลากหลายเพราะมันสะท้อนตัวตนพี่เต๋า

เต๋า MEMORIESBRAND : เพราะเรามีคอนเซปต์ว่า Everything Has Its Own Story มันคือ Everything จริง ๆ

UNLOCKMEN : แล้วถ้าพูดเรื่อง Connection ในตอนเริ่มทำธุรกิจล่ะ พอเป็นแฟชั่นวินเทจ มันก็ต้องการ Supplier ซึ่งมีของที่ Specific มาก ถ้าช่วงแรกไม่มีเลยมันยากมากแค่ไหน หรือสิ่งนี้คืออุปสรรคมั้ย

เต๋า MEMORIESBRAND : ผมไม่มองมันคืออุปสรรคด้วยซ้ำ อย่างแรก ๆ ถ้ามองว่าคือ Connection มันก็คือพ่อค้าในสวนจตุจักร มันเข้าถึงได้ง่ายมาก ๆ ทุกวันนี้ใครเดินไปสวนก็ไปถามพ่อค้าได้เลย ก็จะเริ่มรู้ว่าพ่อค้าคนนี้มีลักษณะการเลือกของใกล้เคียงกับเรา เราก็จะไปซื้อเขาบ่อย เราไม่มีความรู้เราก็ถามเขา เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากขึ้น

พอเราได้ศึกษาเขามากไปเรื่อย ๆ จนของบางอย่างเขาให้คำตอบเราไม่ได้ เราก็พยายามหาคนอื่นมากขึ้น หาของหลากหลายที่มากขึ้น แล้วมันก็ค่อย ๆ พัฒนาจากพ่อค้าในสวน เป็นพ่อค้าตลาดรถไฟ เป็นพ่อค้ารุ่นเก่าที่เคยอยู่ในสวน ไปตามโกดังหรือกลุ่มพี่ ๆ ชาวมุสลิมที่เคยไปศึกษาศาสนาที่ปากีสถาน พัฒนาไปเรื่อย ๆ เราเริ่มมีเงินมากขึ้นก็เดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น ไปถามกลุ่มคนที่ชอบและสนใจในสิ่งเดียวกันมากขึ้น ไปญี่ปุ่น ไปยุโรป ไปเพื่อนบ้านมาเลย์ มันก็คือการเดินทางเก็บประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ

UNLOCKMEN : แบบนี้พูดได้ไหมว่าเหมือนสกิลฮันเตอร์ก็จำเป็นสำหรับพ่อค้า ก็ต้องหาไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะหาของเองก็ดี หรือหาความรู้จากพ่อค้าคนอื่นเองก็ดี

เต๋า MEMORIESBRAND : จะพูดอย่างนั้นก็ใช่ แต่ว่าผมไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นฮันเตอร์ ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นทักษะของผมหรือทักษะที่ผมต้องเรียนรู้ มันคือสิ่งที่เราทำจากการที่เราอยากทำ มันคือพลังจากข้างในจริง ๆ ไม่ได้พยายามที่จะบังคับตัวเอง เราแค่ชอบมัน เราอยากเดินทางไปหาของพวกนี้ แล้วเราก็ถามเพราะเราอยากรู้จริง ๆ เราไม่ได้ถามเพราะเราอยากมี Knowledge มากขึ้นเพื่อเอามาทำธุรกิจ คือมันเหมือนบิดวัตถุประสงค์นิดเดียวเท่านั้นเอง


UNLOCKMEN : อยากรู้ว่าจนมาถึงตอนนี้มันมีความ Suffer ในอาชีพนี้ไหม แล้วสิ่งที่ทำให้ท้อคืออะไร

เต๋า MEMORIESBRAND : จริง ๆ มันมีแหละ ถ้าของผมมันคือการที่ของที่ผมชอบ บ้านเรายังไม่ใช่ตลาดหลัก ผมอาจสนใจไอเทมนี้มาก อินมาก แต่อีกมุมผู้บริโภคยังไม่ได้อินตามเรา เขายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร บางทีอาจเป็นกางเกงขาด ๆ อาจเป็นกางเกงเปื้อนของช่างสีเก่าตัวหนึ่งแต่เรามองว่ามันสวยมาก เพราะสำหรับเรามันคือการเดินทางของศิลปินคนหนึ่งที่เป็นธรรมชาติของเขาออกมาเป็นกางเกง 1 ตัวที่เขาอาจจะใช้มาตลอดชีวิต เรามองว่าสวยมาก ๆ แต่ในมุมหนึ่งมันก็ต้องตามหากลุ่มลูกค้าที่เข้าใจใน Value ของพวกนี้

ผมว่าสิ่งที่ยากคือเราจะถ่ายทอดสิ่งที่ชอบอย่างไรให้คนอื่นเข้าใจตาม แต่ผมก็มองว่ามันคือโอกาสที่บ้านเรายังไม่มีใครเป็นต้นแบบหรือมีใครที่ทำธุรกิจหรือเลือกของอะไรประมาณนี้มากนัก ก็เลยตกตะกอนมาเป็นช่อง MEMORIESBRAND นี่แหละ ที่พยายามจะถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้คนอื่นได้เข้าใจมากขึ้น

UNLOCKMEN : อยากรู้วิธีเลือกของเข้า MEMORIESBRAND

ต๋า MEMORIESBRAND : เลือกตามเซนส์เลย

UNLOCKMEN : แล้วถ้าเจอชิ้นที่ตัวเองชอบมากแต่ตลาดไม่น่าได้ พี่เต๋ามีวิธีตัดสินใจยังไง

เต๋า MEMORIESBRAND : จริง ๆ ผมเลือกมาก่อน … ในช่วงแรก ๆ อาจจะมีนะ ที่แบบว่าลูกค้าหาอันนี้ เอวเท่านี้ เราก็เลือกเอาไว้เพื่อที่ตัวเองจะได้แม่นมาก ๆ ในการซื้อ เพราะด้วยตอนนั้นเงินทุนที่เรามีเท่านั้นมันอาจมีโอกาสในการขายมากกว่า แต่ทุกวันนี้เราตัดตรงนั้นไปแล้ว เพราะเราเข้าใจอะไรบางอย่าง เช่น กางเกงสวยตัวหนึ่งที่เอว 50 ในแง่ธุรกิจมันอาจขายยาก คิดดูสิคนเอว 50 อะ แต่ผมผ่านประสบการณ์ที่มีคนเอว 50 รอและหากางเกงสวย ๆ ใส่อยู่ หรือกางเกงเอวเล็ก ๆ 24 ผู้หญิง เราเห็นก็คิดว่าสวยแต่จะเอาไปขายใคร จนเราเจอลูกค้าเอว 24 ที่รอของสวย ๆ จากเราอยู่ ทุกอย่างเป็นไปได้หมดเลย แต่มันก็ต้องค่อย ๆ เก็บ ไม่ใช่แค่เราจะเก็บประสบการณ์เรื่องของ เราต้องเก็บกลุ่มลูกค้าที่เรามีด้วยเช่นกัน ถ้าเราไม่กล้าตัดสินใจในวันที่เราเจอตัวนั้นเราอาจไม่ได้ลูกค้าคนนี้ก็ได้

UNLOCKMEN : การใช้เซนส์ในการเลือกของนี้ พอจะ Crack ออกได้ไหมว่ามีวิธีคิดอย่างไรในการเลือกหรือว่าเป็น Feeling มาก

เต๋า MEMORIESBRAND : ถ้าจากวันนี้มันคืออะไรที่เราไม่เคยเห็น มันคือประสบการณ์จริง ๆ วันนี้เรามีประสบการณ์แล้วว่าถ้าเป็นกระดุมการทอผ้าที่มาในลักษณะการตัดเย็บแบบนี้ มันคือของเก่าในยุคไหน เรามีประสบการณ์ชุดพื้นฐานมาค่อนข้างแน่น เวลาเราเจออะไรที่เข้าใจแล้วว่ามันคือของเก่าแน่นอน เดี๋ยวเรามาศึกษาต่อ มันก็เลือกจะแบบนั้น รวมถึงของที่เราเคยเจอซ้ำ ๆ บ่อย ๆ แล้วจนเราดูขาดแล้ว มันดูขาดขนาดที่ผมมองไกล ๆ เห็นแค่ผ้าผมรู้เลย บางทีเราไปหาของมันอาจจะเป็นกองผ้า 1 กองที่เห็นแค่ปลายแขนออกมา เราเห็นแค่ปลายแขนรู้เลยว่ามันคือแท้ มันอาจจะฟังดูเวอร์แต่มันคือเรื่องจริง มันคล้ายคนชอบดนตรีพอเปิดอินโทรนิดเดียวแล้วรู้เลยว่าเพลงอะไร


UNLOCKMEN : ต่อจากพาร์ทแรก Memoryman อยากให้พี่เต๋าพูดถึงตอนทำธุรกิจในชื่อของ MEMORIESBRAND บ้าง วันที่พี่เต๋ามี Knowledge ได้จับของมามากมาย ตอนทำธุรกิจช่วงนี้อะไรคือความยาก

เต๋า MEMORIESBRAND : จริง ๆ ต้องบอกก่อนว่า Memoryman มันคืองานอดิเรก เพราะเราทำงานประจำด้วย จุดเริ่มต้นคือการซื้อมาขายไปไม่ต่างจากเพื่อน ๆ ทุกคนที่ชอบเสื้อผ้า แต่ตอนที่มา Re-Branding เป็น MEMORIESBRAND คือตอนตัดสินใจออกจากงานประจำ ตอนนั้นเหมือนเราเจอทางแยกแล้วว่าสิ่งที่เราทำ 2 อย่างนี้ควบคู่ไปพร้อมกัน มันน่าจะไม่สุดทั้งสองทาง ถ้าเราทำงานประจำก็คงสู้คนอื่นไม่ได้เพราะเราไม่ได้ทุ่มเทกับงานประจำ 100% ขนาดนั้น ถ้าเราจะทำร้านเสื้อผ้ามือสอง ร้านเสื้อผ้าวินเทจขณะที่ทำงานประจำอยู่ เราก็ไม่สามารถทุ่มเทกับมันได้มาก ก็เลยตัดสินใจเลือกออกจากงานประจำ 

ตอนนั้นเป็นอะไรที่ยากมาก ๆ ในความรู้สึก ผมยังจำวันที่ผมออกได้อยู่เลย ผมยังคุยกับแฟนว่าเรานึกถึง Worst Case เลยว่าถ้าเราขายไม่ได้ล่ะ เพราะมันยืนบนความเสี่ยงของตัวเอง ถ้าเราเลือกว่าเราจะออกมาทำของตัวเอง 100% แล้วถ้าไม่มีเงิน เราก็จะยอมรับมัน พี่ที่ทำงานด้วยความเป็นห่วง เขาก็เข้าใจ เขาเห็นเราทำเป็นงานอดิเรกมา 5 ปี เขาชวนไปไหนก็แบบ “พี่พรุ่งนี้ผมต้องไปหาของที่สวน” เราก็ปฏิเสธเขามาตลอด เขาก็เห็นความตั้งใจของเรา เขาก็เป็นกำลังใจให้ บอก “ออกไปแล้วก็ตั้งใจทำให้มันดี” 

มันก็เลยจริงจังไปอีกขั้นด้วยการที่เราเอาความรู้ที่เราศึกษามา ประสบการณ์ต่าง ๆ มาทำเป็น Branding ขึ้นมา ซึ่งตอนนั้น ร้านเสื้อผ้ามือสองที่เริ่มทำ Branding จริงจังมีน้อยมาก ส่วนมากมีชื่อร้าน มี Stand Alone บ้าง ไปเปิดตามตลาดบ้าง

UNLOCKMEN : เราพูดถึงปีอะไรตอนนั้น

เต๋า MEMORIESBRAND : ผมจำแม่น ๆ ไม่ได้ ประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว”

UNLOCKMEN : แล้วทำไมพี่เต๋าถึงเลือกทำ Branding ให้กับ MEMORIESBRAND

เต๋า MEMORIESBRAND : มันเหมือนเด็กคนหนึ่งที่อยากทำอะไรเป็นของตัวเองจริงจังขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง ตอนนั้นที่เราคิดคือมันไม่ใช่แค่ร้านเสื้อผ้ามือสองอีกต่อไป แต่มันคือสิ่งที่สามารถต่อยอดไปได้อีกไกลมาก ๆ 

ตอนผมทำงานประจำ ผมเคยตัดสินใจไปเรียนต่อที่เกี่ยวข้องกับการทำ Branding ด้วยนะ เล่าย้อนกลับไปหน่อย ผมเป็นเด็กวัยรุ่นที่จบอาชีวะ ตอนเด็ก ๆ เกเรจนซิ่ว พอจบอาชีวะก็ทำงานด้วยและส่งตัวเองเรียน มันก็เหมือนสเตปคนอื่น เรียนจบก็ไปต่อมหาวิทยาลัย แต่ตอนไปต่อมหาวิทยาลัย ผมไปถึงวันแรก ขณะที่คนอื่นนั่งเรียนผมนั่งคำนวณว่าเราต้องใช้เงินอีก 2 ปีเพื่อให้จบปริญญา ต้องใช้เงินเท่าไร ปรากฏดีดตัวเลขมาใช้เงินเยอะเหมือนกันนะ สิ่งที่เราจะได้กับการที่เราได้ปริญญามา 1 ใบ เพื่อได้ฐานเงินเดือนเพิ่มขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง มันต้องทำงานอีกกี่เดือนกี่ปีถึงจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายเหล่านี้ จนได้ข้อสรุปว่า “ถ้างั้นไม่เรียนแล้วกันทำงานเลย” 

ก็เลยไปทำงานที่บริษัทเยอรมัน โชคดี ตอนนั้นได้เงินเดือนเริ่มประมาณ 17,000 ถือว่าเยอะมากสำหรับอาชีวะ ตอนที่ทำงานก็เลยทำงานอดิเรก Memoryman มาด้วย พอทำมาสักพักผมรู้สึกว่าอยากเรียนต่อ ตอนนั้นที่อยากเรียนเพราะเรารู้แล้วว่าถ้าเราอยากได้รับการโปรโมทในที่ทำงานเพื่อเลื่อนขั้น เพื่ออัปเงินเดือน ปฏิเสธไม่ได้ว่าวุฒิในสังคมมันสำคัญ เขาเลือกที่จะผลักดันหรือเลือกที่จะโปรโมทคนที่มีโปรไฟล์ที่ดี มีความรู้หรือความสามารถที่ดีกว่าเรา ก็เลยตัดสินใจไปเรียนต่ออีกครั้งหนึ่ง

แต่การกลับไปเรียนครั้งนี้ไม่ใช่การกลับไปเรียนเพื่อได้วุฒิแล้ว มันกลับไปเรียนเพราะเราอยากได้ความรู้จริง ๆ ผมก็เลยเลือกเรียน Marketing ที่มหาสิทยาลัยหอการค้า พอเราเข้าไปเรียน เคสตัวอย่างที่อาจารย์ให้ในคลาส เราเอาธุรกิจ Memoryman มาทำเป็นโปรเจกต์ในการจบ ดังนั้นแล้วเรื่องข้อมูลต่าง ๆ มัน Insight มาก ๆ อาจารย์ก็จะให้คำแนะนำว่าควรจะทำ Branding นะ ทำนู่นนี่นั่นนะ มันเลยยิ่งต่อยอดความรู้ของเรา ตอนตัดสินใจออกจากหอการค้าก็เลยเอาความรู้ชุดนี้มาทำแบรนด์ตัวเองด้วย


UNLOCKMEN : เหมือนทุกเส้นทางที่พี่เต๋าเลือกเป็นการปูทางให้ MEMORIESBRAND เลย ถ้างั้นช่วยแชร์ How To Branding 101 ของ MEMORIESBRAND หน่อยครับ 

เต๋า MEMORIESBRAND : ต้องบอกก่อนผมไม่ใช่คนเฉพาะทางด้านการทำ Branding ดังนั้นสิ่งที่ผมพูดเป็นประสบการณ์ของผมคนเดียว Branding มันคือตัวตนของเจ้าของ ตัวตนของแบรนด์ ที่ไม่ใช่แค่โลโก้ ไม่ใช่แค่ชื่อแบรนด์ แต่มันคือมวลรวมทั้งหมด สมาชิกในองค์กร กลิ่น ร้านที่เลือก โทนสีที่ใช้ Experience ของลูกค้า มันคือทั้งหมดที่สะท้อนความเป็นเราได้มากที่สุดผ่านเครื่องมือต่าง ๆ ที่เรามี

ดังนั้น มันก็แล้วแต่ว่าใครมีเครื่องมืออะไร เช่น บางคนอาจมีร้านออนไลน์อย่างเดียว เขาอาจจะเซ็ตแค่หน้า IG ของตัวเอง หรืออาจเป็นมุมถ่ายรูปของตัวเองที่สะท้อนถึงความเป็นเขา บางคนอาจมีหน้าร้านด้วย อาจเลือกโลเคชั่น สีไฟ กลิ่น เลือกไม้แขวนเสื้อที่ทุกอย่างมันคือตัวตนของเขา อย่างผมเองทุกวันนี้เรามีช่อง MEMORIESBRAND บน Youtube ก็ถือเป็นอีก 1 เครื่องมือของเราที่สะท้อนความเป็นตัวเองได้มากที่สุด ถ้าถามผม มันคงเป็น ‘ตัวตน’ คือการแสดงออกความเป็นตัวตนของแบรนด์ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ


UNLOCKMEN : พี่เต๋าเกริ่นมาเรื่องธุรกิจออนไลน์กับออฟไลน์ อยากรู้ว่าทั้ง 2 สิ่งนี้จำเป็นกับธุรกิจวินเทจมั้ย

เต๋า MEMORIESBRAND : ผมว่าจำเป็นทั้งคู่ จำเป็นมากด้วย ทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เลย ออนไลน์ก็เป็นอีก 1 ช่องทางการจัดจำหน่ายที่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่ายที่สุดและเข้าถึงได้ทุกกลุ่มด้วย เราสามารถเข้าถึงได้ตั้งแต่เด็กประถมที่เพิ่งเริ่มชอบ ยันดีไซเนอร์ระดับโลก คนต่าง ๆ แต่ความยากของมันก็เป็นเรื่องการปิดกั้นที่ทุกคนเจอ เรื่องการทำคอนเทนต์ที่น่าสนใจ การถ่ายรูปภาพ ทุกอย่างท้าทายหมด ส่วนออฟไลน์ก็จะเป็นสิ่งที่ออนไลน์ให้ไม่ได้คือเรื่อง ‘ประสบการณ์’ เพราะกับเสื้อผ้าวินเทจบางทีต้องอาศัย Feeling เยอะ การได้สวมใส่ การพูดคุยกับพ่อค้า ผมว่าสิ่งนี้ออนไลน์ยังยาก

UNLOCKMEN : การได้จับของจริงจำเป็นสำหรับพ่อค้ามากเลย

เต๋า MEMORIESBRAND : มาก ๆ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบออฟไลน์มากกว่า เพราะในฐานะของพ่อค้ามันได้คุยกับลูกค้า เราได้บอกประสบการณ์และดีเทลของไอเทม มันมีเสน่ห์กว่า บางทีการซื้อขายออนไลน์มันแค่ลูกค้า “F ครับ” จบเลย มันตัดทอนทุกอย่างไป

UNLOCKMEN : แล้วถ้าฝั่งพี่เต๋าเป็นลูกค้าเองล่ะ ชอบออฟไลน์หรือออนไลน์มากกว่า

เต๋า MEMORIESBRAND : ผมชอบทั้งคู่เลยนะ บางทีออนไลน์มันก็ให้ความสะดวกที่ปฏิเสธไม่ได้ เราเห็นของ เรารู้ของ เราสามารถซื้อได้เลยโดยไม่ต้องเดินทางไป แต่ออฟไลน์อย่างที่บอก ผมไปซื้อของต่างประเทศ การที่เราได้เดินทาง ได้คุยกับผู้คน เสน่ห์ของการได้เจอของที่เราไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เจอ ผมว่าอันนั้นออนไลน์ให้ไม่ได้

สมมติเราเจอของหลุด ในออนไลน์กับออฟไลน์มันต่างกันเยอะนะ ถ้าเราเจอคนขายของหลุดมูลค่าสูงในราคาถูก เราเจอในออนไลน์มันอาจจะรีบ F แต่ออฟไลน์มันคือการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ต่อรถไฟ มารถเมล์ มาคุ้ย มาเจอกอง แล้วเจอตัวละ 10 บาท มันรู้สึกว่าว้าวกว่าเยอะ

UNLOCKMEN : เห็นล่าสุดไปงาน Inspiration Tokyo 2024 อยากรู้ว่าการไปต่างประเทศเพื่อจับของจำเป็นสำหรับพี่เต๋ามากน้อยแค่ไหน

เต๋า MEMORIESBRAND : ส่วนตัวการเดินทางไปต่างประเทศของผมไม่ได้ไปเพื่อจับของอย่างเดียว ในหลายครั้งที่ผมเดินทางมันไม่ใช่แค่เราได้ของ มันคือประสบการณ์ บางสถานที่เราอาจไม่ได้ของเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าประสบการณ์ที่เราได้เจอพ่อค้า ได้พูดคุยกับเขา ได้เห็นวัฒนธรรม ผมว่าอันนั้นน่าจะเป็นส่วนสำคัญสำหรับผมมากกว่าในการเดินทางไปต่างประเทศ มีหลายครั้งเราเดินทางไปเพื่อจะซื้อเขา แต่เขากลับอยากซื้อจากเรามากกว่าก็มี บางทีเราได้ Connection ด้วย ผมคิดว่ามันจำเป็นต่อผมที่เราจะได้สั่งสมประสบการณ์ของตัวเองเพิ่มขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ผมมีช่วงหมดไฟด้วย

UNLOCKMEN : ห้ะ เกิดอะไรขึ้นครับ ?

เต๋า MEMORIESBRAND : มันเหมือนเราเบื่อ ด้วยความที่ผมชอบอะไรที่มัน Unique เพราะฉะนั้นอะไรที่เรารู้แล้วมันก็คือรู้แล้ว เราโหยหาความรู้สึกที่เราไม่เคยเจอ โหยหาประสบการณ์ที่ตัวเองไม่เคยเห็น แต่ ตอนนั้นเรายังไม่เคยปลดล็อกตัวเองด้วยการพาตัวเองไปเดินทาง เราแค่ไปในที่เก่า ๆ ที่เดิม ๆ เจอคนเดิม ๆ

จนกระทั่งผมมาทำช่อง MEMORIESBRAND ตอนทำช่องก็คิดว่าอยากมีเครื่องมือในการสื่อสารกับคน แต่พอได้เดินทางจริง ๆ โลกนี้มันยังอีกไกล ก็เลยตั้งความตั้งใจของตัวเองใหม่ว่าเราตั้งใจจะเดินทางไปทั่วโลกหรือเท่าที่เรามีกำลังจะเดินทางไปได้เพื่อตามหาของ และเพื่อตามหาประสบการณ์และได้ถ่ายทอดผ่านช่องด้วย กลายเป็นว่าผมอยากเดินทางไปหลายประเทศ พอยต์มันอาจไปหาของ แต่ความจริงคือเราโหยหาประสบการณ์การได้เจอของใหม่ ๆ ผู้คนใหม่ ๆ วัฒนธรรมใหม่ ๆ มากกว่า มันแล้วแต่คนนะ แต่สำหรับผมคิดว่าการเดินทางสำคัญ มันไม่ใช่แค่การเดินทางข้างนอก มันไม่ใช่เอาตัวเองใส่กระเป๋าแล้วไปซื้อของ แต่บางทีเราเดินทางแล้วเหมือนเราได้เดินทางข้างในด้วย เราได้เรียนรู้ตัวเองว่าจริง ๆ เราเป็นคนแบบไหน MEMORIESBRAND เป็นใคร ผมว่าการเดินทางข้างในสำคัญ

แต่ในแง่ธุรกิจ ในแง่ของ MEMORIESBRAND ตอนนี้ก็เป็นองค์กรที่มันไม่ได้มีแต่ผมเหมือนเมื่อก่อนแล้ว มันมีทีม ซึ่งทีมก็สำคัญมาก ๆ ผมไม่สามารถนั่งตัดต่อคลิป ผมไม่สามารถทำกราฟิก ผมอาจหาของเก่ง แต่ทักษะพวกนี้ก็ต้องหาคนที่เก่งและพร้อมจะเดินทางไปกับเรา


UNLOCKMEN : ถ้างั้นเราคุยเรื่องทีมต่อดีกว่า อยากรู้ว่าทีมสำคัญกับ MEMORIES BRAND ยังไงบ้าง ทั้งกับฝั่งแบรนด์ดิ้ง Youtube เอง และฝั่งธุรกิจ Vintage Shop ด้วย

เต๋า MEMORIESBRAND : อย่างที่บอก ผมไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นแล้วความสำคัญของทีมไม่แพ้กับการไปหาของเลย การจะถ่ายทอดประสบการณ์ของผมออกมาเป็นคลิป 1 คลิปก็ต้องคุยกันกับคนในทีมเยอะ ว่าวันนั้นผมรู้สึกอย่างไร ความรู้สึกของคลิปนี้เป็นอย่างไร มีอารมณ์ไหนบ้างที่เกิดขึ้น เพลงควรเป็นแบบไหน โทนสีเกรดประมาณไหน มันก็ต้องถ่ายทอด ผมโชคดีที่มีทีมที่เข้าใจและพร้อมจะเดินทางไปด้วยกัน ดังนั้นแล้วในทุกตำแหน่งของทีมสำคัญหมด

UNLOCKMEN : แล้วฝั่งที่เป็น Shop ทีมต้องทำงานเข้ากับพี่เต๋ายังไงบ้างครับ

เต๋า MEMORIESBRAND : ผมก็ให้ความสำคัญกับเรื่อง Service ผมพยายามบอกและสอนน้อง ๆ ที่ยืนหน้าร้าน ว่าถ้าเราเข้าไปร้านเสื้อผ้า 1 ร้าน เราอยากได้บริการแบบไหนก็ทำแบบนั้น 

แต่เรื่อง Knowledge ความรู้เรื่องของ สำหรับผมมันเป็นอะไรที่ถ่ายทอดยาก เพราะว่ามันคือประสบการณ์ทั้งหมดของผมที่จะถ่ายทอดให้อีกคนหนึ่ง มันต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งกว่าที่เขาจะรู้เท่าผม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าผมต้องขายของตลอด ผมก็ไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น หมายถึงไปหาของ ทำคอนเทนต์ ดูภาพรวมต่าง ๆ ดังนั้นคนยืนหน้าร้านก็สำคัญไม่แพ้กัน ผมก็พยายามถ่ายทอดความรู้ ค่อย ๆ บอกเขาตามจังหวะ


UNLOCKMEN : วิธีการรักษาลูกค้าประจำกับสร้างลูกค้าใหม่ในธุรกิจ Vintage Shop ของ MEMORIES BRAND มีกลยุทธ์ยังอะไร

เต๋า MEMORIESBRAND : สำหรับผมมันคือความจริงใจ เราไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ เราไม่พยายามจะเอาเงินในกระเป๋าเขาด้วยทุกวิธี ด้วยความที่ของประเภทนี้ไม่ใช่ของที่จะขายใครก็ได้ ดังนั้นแล้ว คนที่เดินเข้ามาที่ร้านเขามีพื้นฐานความชอบหรือความสนใจมาแล้วประมาณหนึ่ง ทีนี้มันก็เป็นหน้าที่ของเราในการให้คำแนะนำหรือความรู้กับเขา แล้วที่เหลือให้ลูกค้าเป็นคนตัดสินใจเอง เราจะไม่พยายามผลักหรือโน้มน้าวมากเกินไป เราแค่เหมือนเป็นเพื่อนที่ให้คำแนะนำเขา

ผมว่าสิ่งนี้แหละมันเลยทำให้ลูกค้ายังชอบเรา เพราะเขารู้สึกสบายใจทุกครั้งที่เขาได้ซื้อของกับเรา ยกตัวอย่างลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน อยากได้ French Workwear 1 ตัว เรามีตั้งแต่ตัวธรรมดามาก ๆ 600 จนถึงตัว 2-3 หมื่น เราให้เขาเปรียบเทียบดูเลย แล้วก็บอกเขาว่าความแตกต่างของตัว 600 กับตัว 2 หมื่นคืออะไร ดีเทลรายละเอียดคืออะไร สุดท้ายให้เขาตัดสินใจเอง


UNLOCKMEN : แล้วแบบนี้ MEMORIESBRAND กำหนดกลุ่มลูกค้าของตัวเองด้วยมั้ย 

เต๋า MEMORIESBRAND : ไม่ได้กำหนดครับ แต่จากประสบการณ์เราเริ่มเห็นกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบของประเภทนี้มากขึ้น หมายถึงเราเริ่มแม่นกับ Target ของตัวเอง แต่จริง ๆ กลุ่มลูกค้าของเราน่าจะประมาณ First Jobber ขึ้นไป อายุประมาณ 20 ต้น ๆ ถึง 45 ไม่ใช่วัยรุ่นจะเป็นวัยกลางคนขึ้นมาแล้ว

ลูกค้า MEMORIESBRAND เป็นคนที่มีความเป็นตัวเองสูง หนีอะไรที่มันซ้ำซากจำเจ มีลูกค้าหลายคนที่ สมมติช่วงนี้เสื้อ FFA Jacket มา ผมจะหนีไปเล่นอย่างอื่นเพราะมันมีหลายปัจจัย เช่น ซื้อของราคาแพงขึ้น หาของยากขึ้น พออะไรเป็นเทรนด์เราจะหนี แล้วเหมือนลูกค้าของเราก็คงมีความรู้สึกเดียวกันเลย

UNLOCKMEN : เป็นที่รู้กันว่า MEMORIESBRAND เป็น Spot ที่ชาวต่างชาติเลือกที่จะมาจับของเยอะ แล้ว ลูกค้าต่างชาติของร้าน Target เป็นคนแบบไหน

เต๋า MEMORIESBRAND : เหมือนต่างชาติส่วนมากตั้งแต่เริ่มเลยคือเขาชอบเทสในการเลือกของของเรา แล้วเขาค่อยติดต่อเข้ามาเพื่อมาหาเรา มันเหมือนเราเดินเกมรับมาตลอด ลูกค้าก็พยายามจะหาอะไรที่มันแตกต่างแหละผมว่า

UNLOCKMEN : โห อยากคุยเรื่องเทสในการเลือกของต่อ เพราะผมทึ่งกับคลิป inspiration Tokyo 2024 ที่มีดีลเลอร์ชาวต่างชาติเรียกว่าโดยของจากร้าน MEMORIESBRAND ชุดใหญ่ มันเกิดอะไรขึ้น

เต๋า MEMORIESBRAND : ถ้าพูดถึงกระแสหลักของของวินเทจในตลาดที่ผมอยู่ ตอนนี้มันคือ American Style จะเป็นเสื้อยีนส์ Lee มีความเป็นหนุ่มอเมริกัน มีความ Western ใส่เสื้อเชิ้ตลาย ๆ กางเกงยีนส์ รองเท้าบูท รองเท้า Converse อันนั้นคือกระแสหลัก ณ ตอนนี้

แต่ MEMORIESBRAND จะเล่นเสื้อผ้าวินเทจจากฝั่งยุโรป แล้วผมน่าจะเป็นร้านยุโรปร้านเดียวใน inspiration Tokyo 2024 เพราะว่ายุโรปเป็นตลาดรอง ไม่ใช่กระแสหลัก ภาพที่เกิดขึ้นด้วยความร้านอื่น ๆ มีของคล้าย ๆ กัน เช่น Rayon Shirt หรือ Rayon Jacket ของที่คนกำลังฮิต นึกภาพถ้าเพื่อนคนไหนเคยเดินงานวินเทจบ้านเราบางงาน ก็จะมีเสื้อวงที่บอกหายากทุกร้านแขวนเหมือนกันหมดเลย มันเป็นแบบนั้น

Vintage Europe Style คือเสื้อผ้าเก่าที่ผลิตที่ยุโรป ความแตกต่างจากอเมริกาสไตล์ Cutting & Design เป็นเรื่อง In Detail ถ้าพูดเห็นภาพก็เหมือนเสื้อไทยสมัยก่อนย้อนกลับไปเมื่อสัก 50-70 ปีที่แล้ว ก็จะมี Fashion และดีเทลที่ต่างจากสมัยปัจจุบัน

ซึ่งสถานการณ์ Inspiration Tokyo 2024  งานนี้เปิดให้ทุกคนเข้าพร้อมกัน ประตูเปิดงานเริ่มบ่าย 15:00 แต่บูธผมติดป้ายไว้เลยว่า ผมขาย 16:00 แต่ดูของก่อนได้เลย เหตุผลคือ ชม.แรก 15:00-16:00 ผมต้องไปถ่ายคอนเทนต์ แล้วผมต้องไปซื้อของด้วย ถ้าผมจะถ่ายคอนเทนต์ด้วยขายของด้วยในเวลาเดียวกันมันไม่ทัน ผมก็เลยคิดว่างั้นผมเปิด 16:00 คนก็เวียนมาดูร้าน เล็ง ๆ กันไว้ว่าอยากได้ตัวไหน พอ 16:00 ผมก็กลับมาที่บูธตัวเอง เขียนไว้ว่าใครสนใจชิ้นไหนก็เข้าไปดูได้แต่ต้องต่อคิว แล้วชาวต่างชาติ 2 คนนี้ก็เหมือนเดินซื้อมาหมดแล้ว เขาก็มาซื้อร้านผมร้านสุดท้าย เขาบอกซื้อของในงานไม่ค่อยได้เลยเพราะราคาสูง แต่ด้วยความที่เราแตกต่างจากร้านอื่น ของสวยและราคาไม่แพงมาก มันก็เลยเป็นภาพที่คนเมกัน 2 คน ซึ่งเขายกให้เป็นดีลเลอร์อันดับ 1 ตอนนี้ กวาดน่าจะประมาณ 20-30 ตัว แล้วเป็นของ Archive ด้วยนะ น่าจะเป็นเรื่องที่เขาชอบ Selection ของผม


UNLOCKMEN : ในคลิปพี่เต๋าใช้คำว่า Fair Price สำหรับการซื้อในครั้งนั้น ผมอยากรู้เรื่องวิธีการตั้งราคาของวินเทจ พอจะแชร์ได้มั้ยครับ

เต๋า MEMORIESBRAND : MEMORIES BRAND เราพยายามเซ็ตราคาให้เข้าถึงคนได้ง่ายที่สุด สมเหตุสมผลที่สุด เพราะเราเข้าใจว่าของหายาก แต่อีกมุมเราเองก็เข้าใจว่าผู้บริโภคก็อยากได้ของที่ไม่ได้ราคาสูงขนาดนั้น มันก็เลยเป็นการใช้ประสบการณ์ของผมเองในการตั้งราคา บวกกับการที่ผมเดินทางไปหลายประเทศเราจะเริ่มเข้าใจว่าราคากลางมันควรอยู่ที่เท่าไร เช่น เสื้อ 1 ตัวราคาบ้านเราอาจจะขาย 200 แต่ญี่ปุ่นอาจจะขาย 250 มาเลเซียอาจจะขาย 150 เราก็คิดว่าแล้วว่าเรทมันควรอยู่ตรงนี้ เพราะในแต่ละประเทศ ของชิ้นเดียวกันมีราคาไม่เหมือนกัน เสื้อวงบางตัวบ้านเราอาจจะเล่นราคานึง ญี่ปุ่นเล่นอีกราคานึง อเมริกาเล่นอีกราคานึง พอเราเดินทางเยอะ ๆ เราจะเริ่มเข้าใจว่าราคาจริง ๆ ควรอยู่ที่เท่าไหร่ อะไรคือ Overprice หลายคนอาจมองว่าร้านผมแพงแต่ในอีกมุมบางคนอาจมองว่าร้านผมถูก

UNLOCKMEN : สิ่งนี้เกิดจากอะไร

เต๋า MEMORIESBRAND : การมีชุดประสบการณ์ไม่เหมือนกัน คนที่มองว่าร้านผมแพง เขาอาจเคยหาถูกได้มากกว่านี้ แต่คนที่มองว่าร้านผมถูกคือเขาเคยเห็นราคาที่สูงกว่านี้มาแล้ว


UNLOCKMEN : จริง ๆ ก่อนสัมภาษณ์เราคุยกันนอกรอบเรื่องวิ่งของพี่เต๋า เพราะไม่เจอกันเกินครึ่งปีพี่เต๋ามีรูปร่างที่เปลี่ยนไปเยอะมาก ก่อนที่พี่จะเล่าให้ผมฟังว่าน้ำหนัก 90 กิโล ลดเหลือ 81 กิโล เพราะการวิ่ง ! โดยมีคนสำคัญที่ทำให้ความทรมานในการออกกำลังกายครั้งนี้สนุกขึ้น กลุ่ม Ugly Running Training Club แต่ที่ผมสนใจมากกว่านั้นคือคำที่พี่เต๋าบอกว่า “การวิ่งเปลี่ยนชีวิตของตัวเองและมีผลถึง MEMORIESBRAND”   

เต๋า MEMORIESBRAND : ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ทำ MEMORIESBRAND ผมว่าในพาร์ทธุรกิจ ในพาร์ทแพสชั่นเสื้อผ้า ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็ประสบความสำเร็จจุดหนึ่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งมันแอบสูญเสียบางอย่างไป ก็คือเรื่องสุขภาพที่แย่มากเพราะทำงานอย่างเดียว หิวก็กิน ง่วงก็นอน ไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง ตอนช่วงวัยรุ่นมันอะไรก็ได้อยู่แล้ว นอนสักตื่นเดี๋ยวก็มีแรง แต่พออายุขึ้นเลข 3 เท่านั้นแหละ เด็ก ๆ ไม่เคยเชื่อเลยที่เขาบอกว่าเดี๋ยว 30 ก็รู้ พออายุ 30 มันก็มาจริง .. 

เมื่อก่อนเราไม่เคยมีสัญญาณจากร่างกายแบบนี้ ของผมมันมาเป็นกรดไหลย้อนก่อน ด้วยความที่รูทีนเราพัง จริง ๆ คือเราไม่มีรูทีนด้วยซ้ำ น้ำหนัก 65 เด้งมาประมาณ 97-98 เราปล่อยแฮนด์จริง ๆ ไม่ได้ดูแลสุขภาพเลย โฟกัสงาน 100% เทหมดหน้าตัก

พอ 30 มีสัญญาณเราก็เริ่มคุยกับตัวเองว่าอาการนี้คืออะไร ทำไมมันไม่หายไปแถมยังหนักขึ้นอีก ถ้าเป็นกรดไหลย้อนใครเป็นจะรู้ดีมันต้องลุกขึ้นมานั่งจะง่วงแค่ไหนต้องลุกขึ้นมานั่ง ก็เลยเริ่มหาเหตุผล คุยกับคนใกล้ตัวมากขึ้น มีพี่คนหนึ่งเขาเล่าให้ฟังว่าเขาก็เริ่มจากกรดไหลย้อนแล้วไม่ยอมรักษาจนเป็นแพนิค ปัจจุบันเขาไม่สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้ เหงื่อออกมือ กลัว เท่ากับว่าการเดินทางเที่ยวต่างประเทศคือไม่มีโอกาส เขาต้องทิ้งการเดินทางเที่ยวต่างประเทศซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเศร้า เขาก็เลยบอกว่าถ้าเพิ่งเป็นให้รีบรักษา และมีอีกหลาย ๆ คนจากกรดไหลย้อนพัฒนาเป็นอย่างอื่น ผมก็เลยหาเหตุผลจนรู้ว่ามันคือพฤติกรรมที่มันเสีย การกิน การนอน การออกกำลังกาย ก็เลยให้ความสำคัญกับร่างกายมากขึ้น

งานยังสำคัญแต่ถอยลงมาหน่อย ให้ร่างกายได้ดูแลมันบ้าง จริง ๆ มันก็เพื่อธุรกิจนะ เพราะถ้าเรายังฝืนต่อแล้วเราเป็นอะไรขึ้นมามันก็พังหมด ผมก็เลยเปลี่ยนรูทีนใหม่ แรก ๆ พยายามตื่นไปออกกำลังกายให้บ่อยขึ้น มีเซ็ทว่าจะออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2 วัน ตอนแรกเริ่มจากเดินที่สวนรถไฟ 2-3 รอบ พอออกกำลังการเองคนเดียวได้ประมาณเดือนนึงมั้ง พี่บู้เห็นเราลงสตอรี่ก็ทักมาว่า “วิ่งเหรอ มาวิ่งด้วยกันสิ”

แรก ๆ วิ่งแล้วก็เดิน Jogging เอา ไม่ได้จับ Pace ไม่ได้มีนาฬิกาอะไรจริงจัง เราแค่อยากออกกำลังกายเฉย ๆ ในช่วงนั้นพี่บู้เองก็เพิ่งเริ่มเหมือนกัน กับกลุ่ม Ugly Running Club พี่บู้ก็พาผมเข้าไปรู้จักกับพี่ ๆ ในกลุ่ม ความสนุกของกลุ่มนี้คือทุกคนมีแพสชั่นคล้าย ๆ กัน ชอบแฟชั่น ชอบดนตรี ใส่เสื้อผ้ามือสอง

สิ่งนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณเดือนตุลาคมปีที่แล้วเอง พอได้เจอคนกลุ่มนี้ที่เขาวิ่งเล่น ๆ แต่จริงจัง พื้นฐานทุกวันคือ 10 กม. สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มมันคือเยอะ เราก็เลยวิ่ง 10 กม. เป็นพื้นฐานตามพวกเขามาตลอด ล่าสุดผมเพิ่งลงแข่งงาน Half Marathon มา กลุ่มเขาไปลงแข่งกันก็เลยเอาด้วย ปรากฏว่าการวิ่งใน Race วิ่งแข่ง Unlock อะไรบางอย่างของผมเหมือนกัน 

กีฬาวิ่งส่วนตัวในมุมมองผมเป็นกีฬาที่แข่งกับตัวเอง ต่อให้ใน Race มีคนเป็นร้อยเป็นพันแต่เมื่อนกหวีดดัง ทุกคนจะวิ่งอยู่กับตัวเองเท่านั้น เป็น Pace ที่ตัวเองฝึกซ้อมมา ระบบการหายใจ ฟอร์มการวิ่ง การลงเท้า ทุกคนจะโฟกัสกับช่วงจังหวะของตัวเอง ใครจะวิ่งเร็วก็ไม่เกี่ยวกับเรา และในจังหวะที่เราข้ามทุกความเหนื่อยล้าจนได้ไปจนถึงเข้าเส้นชัย มันประทับใจตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

แต่ผมว่าสุดท้ายกำไรมันคือสุขภาพ ผมชอบประสบการณ์ตัวเองตอนไปวิ่งในสนาม Race ผมว่ามัน UNLOCK จริง ๆ มันเป็นความรู้สึกที่ท่วมเข้ามาเลย บางคนน้ำตาแตกเลยตอนวิ่งจบ มันเป็นความทรมานที่เกิดขึ้นในการแข่งขัน มันเป็นการสู้กับใจตัวเองตลอดระยะเวลา พอมันทำสำเร็จมันปลดล็อกจริง ๆ แล้วผมคือแอบอยากไป World Major ด้วย

UNLOCKMEN : คืออะไร

เต๋า MEMORIESBRAND : มันคือที่สุดของมาราธอน 42 กิโล แต่มันจะเป็นสนามที่เขาจัดให้เป็น World Major จัดขึ้นหลายที่ เมื่อก่อนน่าจะมี 7 ปัจจุบันน่าจะมี 9 ซึ่งถ้าเก็บครบ 9 ที่ก็จะได้ Pondering เป็นเหรียญที่เป็นสุดยอดของสายวิ่ง ซึ่งมันจะมีความชาเลนจ์บางอย่าง ถ้าจะไปสนามนี้คุณต้องวิ่งให้ได้เท่านี้ก่อน เหมือนสุดสายมาราธอน ซึ่งผมอยากไปทดลองวิ่ง Full Marathon สักครั้งหนึ่ง แล้วจะลองถามตัวเองว่ายังรักและยังชอบกีฬานี้อยู่มั้ย

UNLOCKMEN : ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการวิ่งบ้าง

เต๋า MEMORIESBRAND : ทุกคนมีจังหวะชีวิตของตัวเอง มีสปีดของตัวเอง ต่อให้เราพยายามจะเร่งไปเท่าไร สุดท้ายแล้วการเร่งความเร็วอาจทำให้เราเจ็บ ถ้าย้อนกลับมาในมุมธุรกิจหรือในชีวิตประจำวันก็เหมือนกัน ถ้ามันไม่ใช่จังหวะของเรา แต่เราพยายามดันทุรังไปในสถานที่หรือในความเร็วที่ไม่ใช่ของเรา สุดท้ายมันอาจมาทำร้ายเรา คุณอาจวิ่งตามคนข้างหน้าคุณที่เร็วกว่าคุณได้ แต่ไม่นานคุณจะถอยลงมาเองเพราะร่างกายยังไม่พร้อม ถ้าสมมติคุณฝืนไปคุณอาจจะเจ็บแล้วคุณอาจไม่ได้วิ่งอีกต่อไปก็ได้ ดังนั้นแล้วผมคิดว่ามันต้องพัฒนาจากความเร็วของเราไปเรื่อย ๆ ในจังหวะของเรา

UNLOCKMEN : เอาสิ่งนี้มาปรับใช้กับ MEMORIESBRAND บ้างไหม 

เต๋า MEMORIESBRAND : หลายคนมองว่า MEMORIESBRAND โตเร็วมาก แต่สำหรับผมไม่เคยมองว่า MEMORIESBRAND โตเร็วขนาดนั้น เราก็เข้าใจว่าเราพยายามไปใน Speed ของเรา ที่เรามองว่าตัวเองทำเต็มที่แล้ว ทุกวันนี้ผมคิดว่าผมทำให้ MEMORIESBRAND ช้าลง เรามีเวลาไปออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ ดูแลคนรอบข้าง ดูแลน้องในทีม มีเวลาพาน้องในทีมไป Outing เล่นบอร์ดเกมบ้าง ทำกิจกรรมข้างนอกบ้าง โอเค งานมันจะได้น้อยลงผมยอมรับ แต่ผมคิดว่าถ้าบรรยากาศที่ทำงานมันดีทุกคนก็อยากทำ แล้วสุดท้ายมันจะสะท้อนกลับมาที่องค์กร สุดท้ายพอคุณชาร์จพลังเต็มที่คุณอาจกลับมาทำงานได้ดีกว่าเดิม

ผมเลยคิดว่าปีนี้อยากให้ MEMORIESBRAND ช้าลงกว่านี้ ทำอะไรให้สนุกกว่าเดิม เน้นเรื่องคุณภาพมากกว่าปริมาณ เป็นอะไรที่ต้องบาลานซ์ แต่มันก็แล้วแต่จังหวะชีวิตเพราะมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น อย่างช่วง Made by Legacy ผมก็กลับมารูทีนพังเหมือนเดิมเพราะสถานการณ์บังคับ มีครั้งหนึ่งไปเตรียมบูธที่เซ็นทรัลชิดลม เขาให้เซ็ทอัพแค่คืนเดียว วันนั้นเป็นวันที่ทีมทำงานกัน 24 ชม. ไล่ให้น้องในทีมกลับบ้าน แต่น้องบอก “พี่ไม่กลับผมก็ไม่กลับ” มันก็เป็นอะไรที่พิสูจน์บางอย่างแล้วก็ทำให้เราเห็นอะไรบางอย่าง

แต่ที่พยายามจะบอกคือ บางทีมันก็แล้วแต่จังหวะชีวิตของแต่ละคนด้วย ไม่ใช่จังหวะนี้สามารถทำได้ มันก็เป็นอะไรที่ท้าทาย Work Life Balance แต่มันก็ยากสำหรับผม บางคนอาจบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วผมว่ามันต้องเลือก

UNLOCKMEN : จริง ๆ ก็เหมือนการวิ่งหมดเลย บางช่วงต้องเร็ว บางช่วงต้องช้า

เต๋า MEMORIESBRAND : บางช่วงต้องพัก บางช่วงต้องเร่ง ผมก็เลยคิดว่ากีฬาวิ่งเป็นอะไรที่เหมือนเป็นแพสชั่นใหม่ของผม มันท้าทายเราไปตลอด สมมติครั้งนี้ผมวิ่ง 10 กม. ได้ 59 นาที ครั้งต่อไปเรารู้สึกเราอยากทำให้มันดีกว่าเดิม มันไม่ได้แข่งกับใครเลย กับตัวเองล้วน ๆ ไปวิ่งกันไหมครับ (ยิ้ม) แล้วผมว่ากีฬาวิ่งก็เป็นกีฬาที่เหมือนได้รับความนิยมมากขึ้นในปีนี้ 

UNLOCKMEN : จริงหรอ ๆ พี่เต๋าคิดว่าเทรนด์มากจากอะไรครับ

เต๋า MEMORIESBRAND : ผมว่าเกี่ยวกับแฟชั่นด้วย แต่ถ้าถามผม มันน่าจะเป็นเหมือนสิ่งที่ผมเจอ ผมว่าคนในอายุไล่ ๆ ผม ประมาณ 30 น่าจะมีสถานการณ์คล้าย ๆ กันคือร่างกายมันเริ่มฟ้องอะไรบางอย่างออกมา จนทำให้คนตระหนักมากขึ้นว่าบางทีมันอาจจะต้องกลับมาให้ความสำคัญกับเรื่องไลฟ์สไตล์การดูแลสุขภาพ ซึ่งวิ่งในเมือง City Run นอกจากได้สุขภาพแล้วมันยังได้ความเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ด้วย และเดี๋ยวนี้มันก็อิงกับเรื่องแฟชั่น พวกเสื้อผ้าวิ่ง SATISFY มันก็เท่ เป็นความสนุกใหม่ที่เกิดขึ้น แฟชั่นในเมืองนอกหลาย ๆ แบรนด์ก็ทำออกมาได้ดี

UNLOCKMEN : พูดถึงแฟชั่นในการวิ่งมันก็จะเป็นของยุคสมัยใหม่หมดเลยหรือมีวินเทจแฟชั่นด้วย

เต๋า MEMORIESBRAND : จริง ๆ มันก็มีกลิ่นแรงบันดาลใจความเป็นวินเทจอยู่ อย่างแบรนด์ Satisfy ถ้าไปดูเขาก็จะมีเสื้อวิ่งที่ทำเป็นรู ๆ ซึ่งมัน inspired มาจากเสื้อวินเทจเลย ลายพรินต์ก็มีความคล้าย Harley ปี 1990 นกอินทรีย์ มีภูเขา แมลงป่อง ผมว่าได้แรงบันดาลใจมาจากวินเทจแล้วมาปรับประยุกต์ให้มันเข้าถึงกลุ่มคนได้มากขึ้น ปรับดีไซน์ใหม่ แต่ก็ยังมีกลิ่นอายความเป็นวินเทจอยู่ ซึ่งกลุ่มคนอย่างพี่ ๆ ใน Ugly Club พอคนเล่นของมาก่อนเห็นของมันเก็ตเลย

ตอนนี้ผมอินวิ่งใช่มะ MEMORIESBRAND ก็มีเอาเสื้อวิ่งมาขายที่ร้านเหมือนกันนะ เป็นพวกเสื้อคอกลมผ้าบางรุ่นเก่าที่เขาอาจทำเป็นของที่ระลึกงานวิ่งมาราธอนในยุคก่อน ดังนั้นกราฟิก ฟอนต์ งานอาร์ต ต่าง ๆ  ที่พรินต์มันจะเป็นของยุคนั้นเลย ซึ่งกลุ่มคนที่ชอบเสื้อผ้าวิ่งก็มาคัดลายสวย ๆ กันไปครับ


UNLOCKMEN : กลับมาเรื่องวินเทจ อยากให้ทำ bullet checklist พ่อค้าวินเทจที่ดีควรมีอะไรบ้างสำหรับพี่เต๋า

เต๋า MEMORIESBRAND : ต้องรู้ก่อนว่าตัวเองชอบสิ่งนี้จริง ๆ รึเปล่า รักมันจริงมั้ย สามารถทำมันโดยไม่มีเรื่องเงินมาเกี่ยวได้มั้ย อันนี้สำคัญมาก ๆ ในทุกอุปสรรคที่เจอ ถ้าเราไม่มีสิ่งนี้มันพร้อมจะเลิกเสมอ คล้าย ๆ เรื่องวิ่ง แต่ผมมองว่าจริง ๆ ทุกอย่างมันมีปัญหาอยู่แล้วแหละ ไม่ต่างกันเลยไม่ว่าคุณจะอยู่สายไหนอาชีพไหน ดังนั้นมันต้องคุยกับตัวเองให้รู้เรื่องว่าชอบจริงหรือเปล่า หรือแค่กำลังทดลอง ถ้าอยู่ในช่วงทดลองก็อย่าเพิ่งผลีผลามตัดสินใจอะไรที่มันเสี่ยงมาก ๆ เช่น ออกจากงานประจำมาเปิดร้านแบบผม 

ผมเองก็ทำเพราะผมชอบ กำไรคือส่วนที่เราสามารถขายแล้วได้เงินกลับมา ถึงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเงินก็สำคัญ แต่อย่างน้อยเราต้องมีแก่นคือความที่เรารักมันจริง ๆ ก่อน ถ้าชอบจริง ๆ แล้วควรศึกษาลงลึกเท่าที่เราสามารถลงไปได้ ยิ่งเราลงลึกเท่าไรเรายิ่งเข้าใจมากเท่านั้น เรายิ่งเข้าถึงแก่นของมันมากเท่านั้น

UNLOCKMEN : พอมีความชอบ มีการศึกษาแล้ว ในพาร์ทธุรกิจจำเป็นที่จะต้องมีความรู้เรื่องการตลาดมากน้อยแค่ไหน

เต๋า MEMORIESBRAND : เข้าใจในตัวเอง เข้าใจใน Product เข้าใจในธุรกิจ เข้าใจในผู้บริโภค และจริงใจกับทั้งหมด ตั้งใจทำ ค่อย ๆ พัฒนา ทำตามจังหวะของตัวเองและกำลังที่ตัวเองมี ทำไปเรื่อย ๆ อย่าเพิ่งหวังผล ทำไปเถอะ สิ่งที่เราชอบทำมันไป แล้ววันหนึ่งมันจะค่อย ๆ ออกดอกออกผลให้เราแต่อย่าเพิ่งไปคาดหวัง โพสวันนี้ 10 ตัวต้องขายได้ 5 ตัว ไม่เป็นไร โพสต์ไปก่อน ทำไปก่อน

UNLOCKMEN : เราพูดถึง Knowledge กันแทบจะตลอดการสนทนาเลยเนาะ ก็เลยอยากรู้ว่ามาจนถึงวันนี้พี่เต๋ายังมีเรื่องโดนซื้อของปลอมเข้าร้านอยู่บ้างมั้ย

เต๋า MEMORIESBRAND : มีแน่นอนอยู่แล้ว ผมว่าทุกคนต้องโดน มันเหมือนการโดนโกงคือเรามาถูกทาง การที่เราพลาดบ้าง ล้มบ้าง เราเจอของปลอมบ้าง มันคือสัญญาณว่าเรากำลังเดินทางอยู่ เรากำลังพัฒนาอยู่ ถ้าเราไม่เจอผมว่าแปลก

UNLOCKMEN : มีเหตุการณ์ไหนที่เป็นบทเรียนโดนของปลอมที่สำคัญมากของพี่เต๋า 

เต๋า MEMORIESBRAND : ผมเป็นคนที่ค่อนข้างพิถีพิถันกับการเลือกของประมาณหนึ่ง แต่ถ้ามีเหตุการณ์ที่เคยโดนคือตอนนั้นซื้อเสื้อจากกระสอบ แพทเทิร์นคือสงครามโลกครั้งที่ 2 กลิ่นใช่ สัมผัสใช่ ตอนซื้อคิดแล้วยังไงก็ใช่ กลับบ้านมาซัก ป้าย Made in China เรียบร้อยเลย เพราะเสื้อผ้าในกระสอบมันคลุกกลิ่นบรรยากาศต่าง ๆ จนเราคิดไปแล้วว่าซื้อถูก

แต่ถ้าถามผมทุกวันนี้ เสื้อผ้าก็คือเสื้อผ้า จะเก่าจะใหม่ก็คือเสื้อผ้าที่แสดงออกถึงตัวตนแต่ละคน มันไม่มีผิดมีถูก ไม่มีปีลึกปีใหม่ มันคือสิ่งที่เราเลือกที่จะใส่เพื่อแสดงออกความเป็นตัวเราเท่านั้นเอง เพียงแต่เสื้อผ้าวินเทจมันดันเป็นหนึ่งในประเภทที่ไม่ค่อยซ้ำ ก็เลยแสดงความเป็นตัวตนได้สูงกว่าประเภทอื่น แต่ประเภทอื่นก็ไม่ผิดนะ มันคือฝ้ายเหมือนกัน คือเครื่องแต่งกายเหมือนกัน เราไม่อยากตีกรอบให้ทุกอย่าง มันแค่เป็นประเภทเสื้อที่เสื้อผ้าใหม่ให้ไม่ได้ในบางอย่าง

UNLOCKMEN : ที่โดน Made in China ตัวนั้นมันสอนอะไรเราบ้าง

เต๋า MEMORIESBRAND : สอนว่าแค่กลิ่นและแค่สัมผัสไม่พอ ต้องปลิ้นดูเยอะ ๆ แต่ผมก็มองเป็นเรื่องตลกนะ เป็นเรื่องสนุกว่าเคยโดนแบบนี้มาว่ะ


UNLOCKMEN : สิ่งที่ต้องอัปเดตเทรนด์ของของวินเทจซึ่งเป็นเสื้อผ้าจากอดีตที่ไม่ได้ตามเทรนด์แล้วสำหรับพ่อค้าคืออะไร

เต๋า MEMORIESBRAND : เสื้อผ้าวินเทจถือเป็น 1 ในประเภทเสื้อผ้าที่คนปัจจุบันสามารถเลือกจะใส่ได้ ดังนั้นอาจต้องมองเรื่องแฟชั่นเทรนด์หลักของโลกว่าทิศทางไปทางไหนด้วย เช่น ในโลกแฟชั่นก็จะมีผู้นำแฟชั่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะแบรนด์เนม ประเทศอย่างญี่ปุ่น ฝรั่งเศส มันจะมีกลุ่มคนสไตล์ลิ่งเทรนด์ใหม่ ๆ ให้เราเห็นแล้วรู้สึกว่าเท่

ซึ่งผมก็ศึกษาจากมวลรวมตรงนั้นแล้วก็เข้าใจ Mood & Tone ว่าเสื้อแบบนี้กำลังได้รับความนิยม แล้วสุดท้ายไม่ค่อยหนีจากเสื้อผ้าวินเทจเท่าไร เพราะเสื้อผ้าปัจจุบันก็ได้แรงบันดาลใจจากเสื้อผ้าเก่าเยอะ ยิ่งพอผมอยู่ในวงการเสื้อผ้าวินเทจเราจะเก็ตไวเลยว่าเสื้อผ้าโมเดลใหม่ ๆ บางตัวเขาปรับมาจากวินเทจ เช่น มี Prada คอลเลกชันหนึ่งได้แรงบันดาลใจจากเสื้อทหารอิตาลีที่เดิมสีเขียวเขาเอามาเปลี่ยนเป็นสีฟ้า หรือ Loewe คอลเลกชันที่ได้แรงบันดาลใจจากเสื้อทหารสวีเดนช่วง 1940 แล้วถอดกระเป๋าออก

UNLOCKMEN : เทรนด์แฟชั่น Main Stream ปัจจุบันก็มีผลต่อการทำให้เสื้อผ้าวินเทจฮิตด้วยไหม

เต๋า MEMORIESBRAND : ใช่ มันก็ต้องคอยอัปเดตตัวเองตลอด เสื้อผ้าวินเทจเหมือนเป็นพื้นฐานของการออกแบบเสื้อผ้าในปัจจุบัน


UNLOCKMEN : คุยกันมาถึงตรงนี้ อยากให้พี่เต๋าช่วยแชร์หน่อยครับ มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้พี่เต๋ารู้ตัวแล้วว่าอยากทำ Memories Brand ไปทั้งชีวิต

เต๋า MEMORIESBRAND : จริง ๆ น่าจะเป็นตอน Re Branding น่าจะเป็นจุดตัดสินใจว่าเราจะทำสิ่งนี้เป็นอาชีพไปตลอด เพราะมันตกตะกอนว่าเราชอบจริง ๆ ต่อให้ไม่มีเงินก็จะทำ ต่อให้ไม่ได้เงินจากสิ่งนี้ก็จะทำมัน ต่อให้วันหนึ่งกระแสวินเทจมันหายไปเราก็คงยังทำมันอยู่ 

เพราะลูกค้าที่ผมมีก็เป็นลูกค้าที่ชอบวินเทจตั้งแต่วันที่มันยังไม่ใช่เทรนด์ และทุกวันนี้ก็ยังชอบอยู่ต่อให้กระแสเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ยังรักเหมือนที่ผมยังรัก เราก็มีฐานลูกค้าของเราแบบนี้มาเยอะพอสมควร ระหว่างทางนับจากวันนั้นถึงวันนี้ มันทำให้ความรู้สึกแน่นขึ้น เรายิ่งมั่นใจขึ้น เรายิ่งมีจุดยืนมากขึ้น เรายิ่งรู้จักตัวเองมากขึ้น เราไม่เคยคิดเลยว่าอยากเปลี่ยนอาชีพ เพราะมันยังมีอะไรที่ท้าทายแล้วเรายังอยากทำอีกเยอะไปหมด ผมยังไม่เห็นทางตันของธุรกิจนี้เลย

UNLOCKMEN : ถ้างั้นมีอะไรอยากทำแต่ยังไม่ได้ทำหรือตั้งเป้าไว้ว่าจะทำในอนาคตอีกมั้ย

เต๋า MEMORIESBRAND : เดินทางไปทุกประเทศเพื่อหาของวินเทจ แต่ก็อยู่ที่ว่ามีกำลังทั้งกายทั้งทรัพย์เท่าไหร่ในการเดินทาง

UNLOCKMEN : มันเป็นการทำเพื่อตอบโจทย์ตัวเองอย่างเดียวไหม หรือตอบโจทย์คนที่รักในสิ่งนี้เหมือนกันด้วยในการเดินทางไปทั่วโลก

เต๋า MEMORIESBRAND : พอผมทำยูทูปผมคิดว่าสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสารจริง ๆ คือ อยากให้คนเข้าใจความเป็นมา เรื่องราวต่าง ๆ ของเสื้อผ้าในแต่ละประเทศที่เราไป รวมถึงผู้คนและวัฒนธรรมในแต่ละที่ที่เราอยากจะบันทึกและส่งต่อให้กับคนที่สนใจและอาจจะสนใจในเรื่องราวประมาณนี้มากขึ้น ไม่ใช่แค่เพื่อธุรกิจแต่อาจเป็นเพื่ออะไรบางอย่างกับบางคน หวังว่ามันคงมีประโยชน์กับใครสักคน เพราะเราไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันมีประโยชน์กับใครจริง ๆ มั้ย ใครที่ได้ประโยชน์จากสิ่งที่ทำก็บอกหน่อยแล้วกันนะครับ (ยิ้ม)

UNLOCKMEN : อยากให้ฝากสำหรับคนที่สนใจเสื้อผ้าวินเทจแล้วอยากทำธุรกิจในสายนี้เหมือนกัน สิ่งที่ต้องทำกับสิ่งที่ห้ามทำสำหรับพ่อค้า

เต๋า MEMORIESBRAND : ห้ามโกหกตัวเองต้องคุยกับตัวเองให้รู้เรื่องว่าชอบมันจริง ๆ หรือเปล่า พยายามเป็นตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราสามารถเป็นได้ ไม่พยายามเป็นคนอื่น ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม จะธุรกิจหรือการทำ Branding ไม่ต้องก็อปปี้ผม ไม่ต้องอยากเป็นแบบผม หรืออยากเป็นแบบคนอื่น เป็นแบบตัวเองแล้วลองทำสุดความสามารถเท่าที่มีกำลังจะสามารถทำได้ แล้วก็อยากให้เอ็นจอย สนุกกับทุกช่วงจังหวะของตัวเอง ไม่อยากให้หักโหมมากจนเกินไป พยายามอยู่กับคนรอบข้างและความเป็นจริง มองข้ามเรื่องความสำเร็จ เน้นเรื่องความสนุกและความสุข ณ ปัจจุบัน ผมว่าน่าจะสำคัญที่สุด

แต่ทุกอย่างมันมีจังหวะของมัน ช่วงอายุ 20 – 30 เป็นช่วงที่เราพยายามค้นหาตัวตน พยายามสร้างตัวตนบางอย่าง ถามว่าผิดไหมก็คงไม่ผิดกับการที่เราทุ่มเททำอะไรที่หลงใหลอย่างเต็มที่จนลืมบางอย่างไป แต่พออายุ 30 – 40 ผมคิดว่ามันอาจเป็นช่วงที่เราต้องผ่อนเรื่องนั้นแล้วหาเรื่องอื่นเข้ามาบาลานซ์ มันก็อาจทำให้ตัวผมเอง และ MEMORIESBRAND ไปได้ไกลขึ้นกว่าเดิม


ความพิเศษของบทสัมภาษณ์ UNLOCKER EP.2 ในครั้งนี้ คือการที่ UNLOCKMEN ชวน MEMORIESBRAND มาทำ VINTAGE STYLISH GUIDE SESSION ให้กับวงดนตรีเปรี้ยวซ่าส์จากค่าย สนามหลวงมิวสิก ชื่อ LEMONY ที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คน ทีม-อานันท์ พัวนิรันดร์ (ร้องนำ) / เอฟ-ทรงพล เดชสุวรรณ (เบส) / แรก-คณิน กุมประสิทธิ์ (กีตาร์) / แชมป์-สิทธิกร กลัดเพชร (กลอง) 

เพื่อให้เห็นความเป็นเอกลักษณ์ของ Selected Item ที่ไม่เหมือนใครของแบรนด์ และให้เห็นว่าเสน่ห์ของเสื้อผ้าวินเทจสามารถสร้างเอกลักษณ์ให้คน ๆ หนึ่ง หรืออยู่รวมกันเป็นกลุ่มได้ยังไงบ้าง แต่ก่อนจะเจาะดีเทลของทุกไอเทมที่ถูกเลือกมาในครั้งนี้ เราอยากชวนทุกคนอ่านมุมมองที่วง LEMONY มีต่อแฟชั่นและดนตรีกันก่อน

 UNLOCKMEN : วง LEMONY มองความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ดนตรี’ กับ ‘แฟชั่น’ สำคัญต่อกันมากแค่ไหน

ทีม : ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ควบคู่กันมากเลยนะ วงดนตรีวงหนึ่งเลือกเล่นแนวดนตรีในแบบของตัวเองเป็นเพราะว่าพวกเขาฟังเพลงยุคที่ตัวเองเติบโตมา สมมติว่าเราชอบวงยุค 1990s-2000s ก็จะฟังเพลงและเห็น MV จากยุคนั้น แล้วก็จะเห็นว่าทำไมวงยุคนั้นถึงแต่งตัวออกมาแบบนั้น ไม่ว่าจะ Punk / Indy Rock / Alternative / Pop / Jazz ซึ่งผมว่ามันก็บ่งบอกรสนิยมเรื่องความชัดเจนของแนวทางของวงที่จะเล่นด้วย

แชมป์ : ผมขอพูดในมุมคนฟังเพลงแล้วกันครับ ดนตรีมันก็มาพร้อมกับภาพเนาะ แฟชั่นกับดนตรีมันอยู่ที่ว่าเราเห็นอะไรมา ไม่ใช่แค่วงดนตรีมันคือทุกคนแหละครับ ทุกอย่างที่ Input เข้ามามันก็จะหล่อหลอมให้เป็นตัวเรา วงดนตรีทุกวงมันก็มีประวัติอย่างที่ทีมบอก วง Punk ก็มีเหตุผลว่าทําไมถึงแต่งตัวขบฎ พอนึกถึง Jazz ก็ต้องใส่สูทเพราะเขาเล่นในโรงแรม

เอฟ : แฟชั่นกับดนตรีเหมือนเป็นการบอกคาแรคเตอร์ของวง

UNLOCKMEN : ปกติ LEMONY คิดวิธีการแต่งตัวออกไปเล่นยังไง

ทีม : ถ้าวง Lemony เอง เราจะเอาเพลงเป็นที่ตั้งก่อน ซึ่งผมเชื่อว่าการที่วงดนตรีวงหนึ่งจะรวมกันได้ มันต้องเกิดมาจากการชอบที่คล้าย ๆ กัน ซึ่งพวกเราโชคดีที่โตมาในยุคเดียวกัน พวกเราเกิดมาในยุค 1990s ก็จริง แต่จริง ๆ แล้วการฟังเพลงคือยุค 2000s เกิดมาก็ได้ยินเพลงยุคนั้นเลย รวมไปถึงไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ที่เราเห็นมันตรงกันมันก็เลยคลิกกัน คราวนี้พอเริ่มสร้างเพลง ๆ นึงขึ้นมา ภาพสุดท้ายที่เราเห็นมันก็เลยจะตรงกัน

แชมป์ : สมัยทําวงแรก ๆ ตอนออกไปเล่นแต่ละครั้งพวกเราเคยมีนัดแต่งตัวเป็นธีมกันด้วยนะ สมัยวัยรุ่นก็จะมีเสื้อลายดอก / เสื้อฮาวาย / ใส่สูท อะไรงี้

ทีม : ก็เพราะว่ามันมีภาพจําที่เรามองวงในยุคที่เติบโตมา เขาต้องแต่งเป็นธีมเดียวกัก็เลยทําให้แบบไปทางนั้น แต่ว่าพอโตขึ้น มันได้ input เข้ามาเยอะขึ้น ๆ ก็ทำให้เห็นว่ามันมีการแต่งตัววิธีอื่นด้วย อย่าง Moderndog เขาก็จะใส่พวกชุดที่แถมมากับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เฮ้ย ! ทำให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องไปธีมเดียวกันมันก็ฉีกได้นี่หว่า แต่ก็ยังดูเป็นวงนั้นอยู่ สุดท้ายผมว่าวง LEMONY การแต่งตัวในชีวิตประจําวันเราใกล้ ๆ กันอยู่แล้ว ทำให้พอมาเป็นวงก็ยังไปในทางเดียวกัน

แชมป์ : ทุกวันนี้ถ้าเป็นงานเล่นทั่วไปก็จะแทบไม่ไม่ต้องนัดอะไรกันแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าปล่อยปะละเลย เพราะมันไม่ใช่ว่าไม่นัดอะไรเลยมาเจอกันแล้วมันจะเข้ากันได้ขนาดนั้น ส่วนตัวผมก็จะเตรียมไปหลาย ๆ ทางหน่อยสัก 2-3 ชุดที่มีแบบและสีต่างกัน

ทีม : พวกเราแต่งตัวแบบให้พื้นที่กันและกัน คือเราไม่ใช่วงที่แบบว่าต้องให้ใครคนใดคนหนึ่งเด่นสุด มันไม่ใช่แบบนั้น เราจะไปเป็นเป็นทีม เวลาคนดูมองเข้ามาแล้วรู้สึกว่า “เอ้ย ! วงนี้ไปในทางเดียวกันว่ะ”

UNLOCKMEN : LEMONY มีคําจํากัดความสไตล์การแต่งตัวของตัวเองมั้ย

ทีม : อืม .. ไม่รู้มันเรียกอะไรนะ แต่ว่าการการฟังเพลงมันจะอยู่ในหมวดของ Alternative กันซะส่วนใหญ่ แล้วการแต่งตัวมันก็จะออกมาประมาณนั้น

แชมป์ : จริง ๆ ผมว่ามันพูดว่าเป็นสไตล์ของแต่ละคนได้นะ ถ้าส่วนตัวผมก็จะไม่ได้สนว่าจะต้องไปในทางเดียวกัน เอฟมันจะแต่งตัวโมเดิร์นหล่อ ๆ หน่อย ก็จะเป็นทางของเขา ถ้าผมไปพยายามแต่งตัวให้มันเข้ากับเอฟมันก็จะไม่เหมาะกับตัวเอง ผมก็จะเอาที่ตัวเองใส่แล้วเซลฟ์ 

ทีม : ผมรู้สึกว่าวง LEMONY มันจะคล้อยตามกัน สมมุติวันนั้นที่จะไปโชว์ ใครแต่งชัดเจนมาเลย ทุกคนมันก็จะปรับตัวเข้ากัน คือเหมือนว่ามันจะมองเป็นก้อน ไม่ได้มองเป็นเดี่ยว ให้คนมองเป็นว่า Mr.Lemony ไม่ใช่ ‘แชมป์ Lemony’ หรือ ‘ทีม Lemony’ หรือใครดนใดคนหนึ่ง


เต๋า : ผมว่าจริง ๆ Lemony เป็นวงที่มีเอกลักษณ์ค่อนข้างชัดเจน มีความเป็นตัวตนของแต่ละคนที่พอมารวมกันแล้วก็กลายเป็นวง ๆ นึงขึ้นมา แต่ละคนอาจจะมีสไตล์ที่มีความคล้าย เหมือน และแตกต่างกันอยู่ ซึ่งผมว่าในส่วนที่เข้ากันจริง ๆ กับเสื้อผ้าวินเทจของพวกเขาคือ ‘ความเป็นเอกลักษณ์’ สมาชิกของ Lemony แต่ละคนมีคาแรคเตอร์ที่ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว เสื้อผ้าเป็นเหมือนตัวเสริมคาแรคเตอร์ของเขาให้ออกมาได้คมมากขึ้น ได้ชัดเจนมากขึ้น

TAO IDEA

เต๋า : สำหรับ ‘คุณทีมผมมองว่าคาแรคเตอร์เขามีความสนุกสนาน แต่ก็แอบแฝงไปด้วยความเท่ แล้วก็มีความกะล่อนนิด ๆ ขี้เล่นหน่อย ๆ ผมก็เลยเลือกกางเกง 1960’s Korean Military Academy Camo Pant ของเกาหลีมา ซึ่งลายมันจะมีความสีดําสลับกับสีขาว มีความกวน ๆ ผสมกับเสื้อ 1960’s British Velvet Blazer ของอังกฤษ ซึ่งพอมันเป็น Velvet ทำให้มันมีอะไรอยู่ใน Material ซ่อนอยู่ มีความเงา มีความมันวาวอยู่ แฝงด้วยความสนุกของคนใส่อยู่

LEMONY REACTION

ทีม : ตอนแรกที่เห็นชุดแต่ว่ายังไม่รู้ความหมาย พอได้ฟังไอเดียจากพี่เต๋า ผมรู้สึกว่าไอเทมทั้งหมดตรงกับตัวเองมาก มันมีความขี้เล่นแต่ก็ยังมีความเท่ ๆ อยู่ แล้วผมชอบตรงที่ว่าถ้าเอาเสื้อผ้าแต่ละชิ้นออกมาแยกกัน มันเหมือนจะไปด้วยกันไม่ได้นะ แต่พอมาอยู่รวมกัน ผมรู้สึกว่า เอ้ย ! มันก็ยังเป็นวง Lemony อยู่ มันยังมีความเป็นหมู่มวลอะไรบางอย่าง

TAO IDEA

เต๋า : พี่แรกจะมีความเท่ ๆ มีความคลาสสิคอยู่ ผมเลยแต่งออกมาเป็น Denim On Denim ก็จะเป็นแจ็คเก็ต 1970’s American Denim Trucker Jacket กับกางเกงยีนส์ แล้วข้างหลังจะมีคาแรคเตอร์นิดนึงตรงด้านหลังที่ซ่อนตัวตาข่ายไว้ ก็ถือว่าเป็นลุคเท่ ๆ แบบง่าย ๆ ครับ

LEMONY REACTION

แรก : เหมือนที่พี่เต๋าบอกเลยครับ ผมเองเป็นคนชอบเสื้อผ้าเรียบ ๆ แต่ว่าไม่ได้เรียบขนาดนั้น ยังมีความ Detail ของแต่ละจุด มีลูกเล่นของมันอยู่ค่อนข้างเยอะเลย

TAO IDEA

เต๋า : ผมเลือกเยอรมัน 1950’s French Double Breasted Houndstooth Work Jacket เป็นเสื้อสไตล์ Workwear แต่ว่ายังมีความ Tailoring อยู่ ยังมีความเนี๊ยบผสมผสานไปกับลายเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกรอยเย็บต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เคยผ่านมา

LEMONY REACTION

เอฟ : ของผมตอนที่ใส่ดูตัวเองในกระจกครั้งแรกแล้วรู้สึกว่าเหมือนตัวเองดูโตขึ้น เพราะว่าปกติผมเป็นคนชอบความสบาย ๆ มีความเก๋ความลูกเล่นของลายเสื้อ รอยปัก ตะเข็บ

TAO IDEA

เต๋า : ส่วนพี่แชมป์กางเกงจะเป็น Double Black กับเสื้อ 1980’s Datsun 280zx Black Nylon Jacket ที่น่าจะเป็นเสื้อเอาไว้สําหรับรถที่อาจจะแถมมาในช่วงยุคนั้น ก็เป็นลุคที่ใส่คลุมสบาย ๆ ซึ่งช่วยขับคาแรคเตอร์ออกมาได้ชัดเจนมากขึ้น

LEMONY REACTION

แชมป์ : ผมชอบแจ็คเก็ตตัวนี้เลย พอใส่ปุ๊บมันก็ดูมีอะไร มันดูเป็นวงดนตรี เหมือนเป็นศิลปินขึ้นมา ตัวเดียวจบเลยครับ กางเกงด้วย Texture ของเนื้อผ้า ด้วยสี พอใส่แล้วดูไม่ธรรมดาเลย


ผมว่านี่คือเสน่ห์ของเสื้อผ้าเก่า เสื้อผ้าวินเทจ บางทีเราเห็นแล้วเราอาจจะไม่รู้ว่ามันแต่งออกมาเป็นยังไง แต่พอมันขึ้นมาอยู่บนตัวความรู้สึกต่างๆ สัมผัสต่าง ๆ บวกกับความเป็นตัวเองมันก็เลยแสดงออกมาได้ชัดเจนมากขึ้น

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line