

Business
UNLOCK CORP: ‘โชคดีที่เรียนไม่เก่ง’ หลักบริหารความสำเร็จของ ‘ฟาร์มโชคชัย’ ในมือ ‘โชค บูลกุล’
By: unlockmen December 27, 2019 171263
อาจเพราะช่วงนี้ได้ยินชื่อของ “โชค บูลกุล” บ่อยในโซเชียล ไม่ว่าด้วยความบังเอิญ หรือ AI จัดสรร ทำให้พอวันนี้จะเขียนเรื่อง Unlock Corp เราก็คิดถึงธุรกิจของเขาขึ้นมาทันที เพราะเรื่องราวการบริหารกับเหตุการณ์ที่เขาต้องเจอจัดว่าเป็นวิกฤตที่หลายคนยังคงจดจำได้และฮาร์ดคอร์ทีเดียว
Image: Farmchokchai Facebook
ธุรกิจของฟาร์มโชคชัยเป็น Case Study ที่น่าสนใจ ยิ่งวันที่อยู่ในมือของ “โชค บูลกุล” ด้วยแล้ว ยิ่งต้องยอมรับว่าหลายเรื่องน่าทึ่งและไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะตัดสินใจแก้ไขปัญหาแบบเดียวกับเขา ใช้วิธีปลดหนี้ 500 ล้านจากการแบ่งขายธุรกิจบางส่วนที่เป็นหน้าเป็นตาในวันนั้น กรีดหัวใจและความเชื่อมั่นจากคนในและคนนอกที่มองมา เวลานั้นคงไม่มีใครคิดว่าฟาร์มโชคชัยที่กำลังดิ่ง ๆ จะฟื้นกลับมาหน้าตาหล่อเหลา มีเงินสดไหลเวียนธุรกิจได้ในระดับพันล้านเหมือนวันนี้
ดร. โชคชัย บูลกุล คือผู้บุกเบิกฟาร์มโชคชัย เขาเครซี่คาวบอยและฝันอยากเป็นสัตวบาลมาแต่ไหนแต่ไรจนวันหนึ่งลุกมาทำฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่ ทำเกษตรผสมผสานในโคราชบนเนื้อที่ขนาด 250 ไร่ จากอดีตจนถึงตอนนี้ถ้าถามหาเรื่อง “ตำนานคาวบอย” ในประเทศไทย ชื่อของเขายังคงเป็นชื่อแรกที่ทุกคนนึกถึง
ส่วน “โชค บูลกุล” ผู้บริหารคนปัจจุบันเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขา สายเลือดของการเป็นสัตวบาลที่ยังเข้มข้นทำให้เขาเลือกเรียนด้านปศุสัตว์ ไม่ได้เรียนด้านการบริหารธุรกิจ แต่เพราะความแตกต่างนี้นี่แหละที่ทำให้มุมมองการทำธุรกิจและแก้ปัญหาของเขาแตกต่างจากคนอื่น รวมทั้งเทคนิคที่เรามองว่ามันคือหัวใจสำคัญของการทำงานสไตล์เขาที่มักให้สัมภาษณ์ทุกสื่อจนเป็นคำติดปากว่า “ผมเรียนไม่เก่ง” ความไม่เก่งจึงเป็นกุญแจไขหลาย ๆ ปัญหาที่เขาพบเจอได้พอดี
นี่คือเส้นทางการเติบโตของธุรกิจฟาร์มโชคชัยก่อนวันที่เขาจะเดินทางกลับมารับตำแหน่ง ไล่เรียงจะรู้ว่าเจอหลุมเจอตอเป็นระยะ จนต้องปรับไปนับไม่ถ้วนในรอบ 30 ปี ก่อนเปลี่ยนมือในปีที่ 37
ถ้าลองนึกตามว่าปีที่โชคกลับมา บ้านเป็นหนี้ไปแล้ว 500 ล้าน การจัดการเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายของบัณฑิตจบใหม่เลย เพราะชีวิตเริ่มจากติดลบ วันนั้นเขาและผู้ใหญ่จึงร่วมกันตัดสินใจขายธุรกิจแปรรูปผลิตภัณฑ์นมที่ใช้ชื่อ “ฟาร์มโชคชัย” ออกไป ถึงตอนนั้นถ้าเทียบกับตลาดนมสดพร้อมดื่ม ชื่อของนมแบรนด์ฟาร์มโชคชัยอาจจะไม่ได้เป็นลำดับแรก ๆ ในใจผู้บริโภคชาวไทย แต่มันก็เป็นซิกเนเจอร์แบรนด์ที่ทำให้คนจำฟาร์มโชคชัยได้
การขายสิ่งที่เป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ เพื่อกอบกู้ธุรกิจ เพื่อปลดหนี้ แทนการตัดสินใจทู่ซี้กู้ยืมเงินมาเพื่อขยายธุรกิจ และเริ่มปฏิรูประบบการทำงานในสไตล์ตัวเองโดยใช้ความเข้าใจและมองมันอย่างรอบด้าน ไม่ได้บริหารเฉพาะด้านธุรกิจเพียงอย่างเดียวแต่เห็นภาพรวมด้านอื่น ๆ ก่อให้เกิดรูปแบบการทำธุรกิจที่ยั่งยืน
Image: Farmchokchai Facebook
วันนี้ฟาร์มโชคชัยมากลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่และสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า มีสินค้าแบรนด์ใหม่ชื่อ Umm…Milk รวมทั้งมีที่พักภายในให้คนสามารถเข้ามาได้ตลอด ครบวงจร เรียกชื่อเสียงให้กลับมาโด่งดังได้อีกครั้ง
“ผมโชคดีที่ผมไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง เพราะฉะนั้นเลยไม่ต้องมีทฤษฎีอะไรเลยสักอย่าง ทุกอย่างเกิดจากการสังเกตและประเมินผลด้วยประสบการณ์และสติปัญญา ได้เปรียบตรงที่เรามองโลกเป็น 360 องศา”
มองธุรกิจแบบ 360 องศา เห็นเรื่องอื่นนอกเหนือจากเรื่องเงินทอง นี่คือข้อได้เปรียบที่ทำให้โชคสามารถเรียกศรัทธาจากพนักงานเดิมและคนทั่วไปได้เมื่อหพบกับสภาพวิกฤต เขายังคงเป็นนักบริหารที่ไม่ใช่นักธุรกิจ แต่ประสบการณ์สอนและสติปัญญาสอนว่าเขาจะไม่ใช้ความอินดี้กับการบริหารเช่นกัน
Image: Farmchokchai Facebook
เรื่องแรกคือจิตสำนึกการทำธุรกิจ ด้วยความที่เขาไม่ใช่นักบริหารที่คิดถึงผลกำไรเป็นที่ตั้ง แต่คิดยาวไปถึงจิตสำนึกและการรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำ ฟาร์มเลี้ยงวัว สำหรับคนอื่นอาจจะหมายถึงการทำปศุสัตว์ธรรมชาติที่สร้างแหล่งอาหาร อยู่ร่วมกับธรรมชาติมันก็เป็นเรื่องดี แต่ในสายตาของโชค เขามองว่าตัวเองคือหนึ่งในตัวการของการปล่อยคาร์บอนฯ วัวกินอะไรเข้าไปก็ปล่อยคาร์บอนฯออกมา เขาจึงพาเกษตรกรไปปลูกต้นไม้ในฟาร์มจนเกิดเป็นพื้นที่ป่าและการปลูกป่าหลายพันไร่ในฟาร์มตั้งใจมีเพื่อชดเชยออกซิเจนนั้น
จริง ๆ แล้วทุกคนจะต้องกลับไปรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองกระทำ ไม่ใช่ทุกคนจะต้องปลูกป่าเหมือนที่ผมทำ
นอกจากจิตสำนึกเรื่องความรับผิดชอบจะออกมาในรูปแบบป่าแล้ว โชคยังแทรกมันไว้ในธุรกิจของตัวเองเพื่อให้คนที่มาเยี่ยมชม “ฟาร์มโชคชัย” ซึมซับมันกลับไปด้วย เขาออกแบบ Compasionate Tour ให้คนใกล้ชิดกับสัตว์ เรียนรู้อารมณ์ของม้าและสุนัขที่มีในฟาร์ม ว่าแบบไหนคือสิ่งที่สัตว์เหล่านี้ชอบ อาการแบบไหนคือไม่ชอบ คนจะได้เข้าใจสัตว์ในฐานะของสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตจิตใจ รับมันได้ในวันที่พวกมันไม่น่ารัก และสิ่งนี้จะกลายเป็นพื้นฐานที่ปลูกฝังการรู้จักรับฟังผู้อื่น
ถัดมาคือรูปแบบการแก้ปัญหา วิธีที่เขาทำคือการเรื่องง่ายให้ง่าย และเรื่องยากให้ง่าย เพราะเขาพบว่าการสื่อสารคือปัญหาสำคัญที่ทำให้องค์กรไม่เดินหน้า ดังนั้น “การคิดอย่างเด็กแต่ทำงานอย่างมืออาชีพ” จึงสำคัญกว่า “การคิดอย่างผู้ใหญ่ เล่นใหญ่ซับซ้อนแต่เวลาปฏิบัติกลับไม่เป็นชิ้นเป็นอัน”
“บางเรื่องคนฉลาดมาก คุยเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องไม่ได้มีอะไร แต่ว่าต้องคุยให้มันใหญ่ เราต้องโน้มน้าวให้เขาเห็นว่ามันง่ายและมีโอกาสที่จะทำได้ ไม่ใช่ไปแสดงให้เขาเห็นว่าเราเป็นคนฉลาดกว่า”
ประการสุดท้ายคือการบริหารจิตใจพนักงาน แม้เขาจะอยู่ในตำแหน่งที่สามารถสั่งการ แต่การให้คุณค่ากับคนและออกแบบระบบที่เกื้อกูลตรวจสอบการทำงานคือความฉลาดแบบยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว นวัตกรรมของระบบที่เราพูดถึงคือการทำโรงงานแบบเปิด เป็นกระจกใสให้คนสามารถมองเห็นพนักงานที่ทำงานด้านล่างได้และพนักงานก็มองเห็นคนที่มาดูงานด้านบน
โรงงานแบบกระจก ทำให้เห็นทุกกระบวนการผลิตของ Umm…milk / Image: Farmchokchai Facebook
โชคบอกว่าเขาไม่ได้ต้องการให้พนักงานรู้สึกว่าเป็นเพียงลูกจ้าง แต่ทุกคนที่เข้ามาในฟาร์มจะรับรู้ตัวตนและคุณค่าของพนักงาน ผ่านการมองเห็นการทำงานของพวกเขา ขณะเดียวกันยังได้ประโยชน์อีกต่อ เพราะผู้มาเยี่ยมชมเหล่านี้ทำหน้าที่เหมือน QC ที่ดีให้กับพนักงานด้วย
สิ่งสุดท้ายที่เรายิ่งหลงใหลวิธีบริหารของเขาเพิ่มขึ้นและอยากส่งไปให้ถึงคนที่กำลังทำธุรกิจวันนี้คือเรื่องความสำเร็จและความยั่งยืน ในโลกการค้า คนใช้ 2 คำนี้เป็นคำติดปากไม่ต่างจากพูดคำว่า “สวัสดี” แต่ไม่บ่อยที่เราจะได้ยินคนที่พูดถึงมันตามความเป็นจริงอย่างเข้าใจ ว่าธุรกิจมีเงินพันล้านไม่ได้แปลว่า “ประสบความสำเร็จ” ธุรกิจครบวงจรวางระบบอย่างดีก็ไม่ได้แปลว่า “ยั่งยืน”
“การเป็นนายไม่ใช่การประสบความสำเร็จ ตราบใดที่ทุกอย่างยังหมุนไป มันยังมีโอกาสเสี่ยงที่มันจะพังจะล้ม มันจะเจ๊งเมื่อไหร่ก็ได้ อะไรที่เป็น 100% มันไม่ได้แน่นอน”
บทสัมภาษณ์ที่เขาให้มุมมองไว้ในรายการ Perspective ทำให้เห็นว่าผู้ชายคนนี้เข้าใจชีวิตและปรัชญาการใช้ชีวิตได้ดีกว่าทฤษฎี เขาอธิบายความเชื่อนี้ว่า แม้ระบบการทำงานทั้งหลายที่วางวันนี้จะใช้งานได้ดี แต่อย่าไปมองว่าเป็นการทำทีเดียวแล้วจบไป เพราะอาจจะทำให้ประสิทธิภาพลดลง ใน “ฟาร์มโชคชัย” จึงมีโปรเจกต์แบบ On Going ไม่มีวันหยุดและไม่มีจุดสิ้นสุดเพื่อพัฒนาปรับปรุงงานให้ดีอยู่เสมอ ผู้บริหารที่รู้ทันเรื่องนี้จะดูแลธุรกิจได้ดีกว่า แนวคิดนี้เราสามารถไปปรับใช้ได้ทั้งในเชิงปรัชญาการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจ เพราะไม่มีอะไรที่อยู่คงทนถาวร แต่เราต่างหากจะยอมรับมันและพร้อมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นไหม
ทำไมเราต้องเก่งตัวเลขและการบริหารเพื่อทำธุรกิจ ?
นี่คือคำตอบไม่สำเร็จรูป และเป็นอีกเส้นทางที่คนเรียนไม่เก่งทำธุรกิจ แต่คนเก่งอาจทำไม่ได้ สไตล์ฟาร์มโชคชัยในมือของ ‘โชค บูลกุล’