World

HISTORY OF DREADS ‘จิตวิญญาณ-วัฒนธรรม’และความหมายที่ซ่อนไว้ใต้เส้นผมยุ่งเหยิง

By: unlockmen May 15, 2017

หากพูดถึง Dreadlocks น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก แม้จะไม่เคยมีประสบการณ์ทำผมทรงนี้กับตัวเองก็ตาม สำหรับในต่างประเทศ Dreadlocks ถือเป็นสิ่งที่เห็นกันได้อยู่บ่อย ๆ แต่สำหรับในไทยนั้น Dreadlocks เหมือนเป็นเรื่องไกลตัวและนาน ๆ จะเห็นคนทำผมทรงนี้สักที อาจจะด้วยสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวสุด ๆ หรือเพราะเป็นทรงผมที่ดูโดดเด่นเกินไป

ไหนจะไม่เข้าใจถึงเหตุผลว่าทำไมอยู่ดี ๆ ต้องหาเรื่องทำผมตัวเองที่สลวยสวยเก๋ให้กลายเป็นคนที่เหมือนผมเป็นสังกะตัง แต่จริง ๆ แล้ว Dreadlocks นั้น ไม่ได้เป็นแค่ทรงผมของเด็กแนว หรือสาวกสายเขียวอย่างที่หลายคนคิด มันมีความสำคัญกว่านั้นมาก เพราะนี่คือวัฒนธรรมที่มีความละเอียดอ่อนและแฝงความหมายซ่อนเร้นเอาไว้ภายใต้เส้นผมที่ดูรกรุงรัง

161007_JURIS_laws-dreadlocks.jpg.CROP.promo-xlarge2

ทรงผม Dreadlocks เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากจนไม่น่าเชื่อ นั่นเป็นเพราะว่าทรงผมที่มีความเป็นเอกลักษณ์สุด ๆ ทรงนี้ มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องสีผิว ความเชื่อทางศาสนา ปรัชญาในการใช้ชีวิต และยังมีอีกหลายอย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อน

วันนี้เราจึงได้นำเอาเรื่องราวของ “Dreads” มาให้ชาว UNLOCKMEN ทำความรู้จักกันแบบลึก ๆ เผื่อใครที่กำลังลังเลว่าจะทำดีไหมจะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ส่วนคนที่เคยมีอคติ และมองว่าผมทรงนี้มันโคตรจะขัดใจ  อาจจะถึงขั้นเปลี่ยนมุมมองความคิดที่เคยมีมาทั้งหมดไปเลยก็ได้ถ้าคุณอ่านบทความนี้จบ

05_dreadlocks_lenny_kravitz

 Dreadlocks Formation Technique

การทำผมปกติให้กลายเป็นผมแบบ Dreadlocks นั้น แบ่งการทำเป็น 2 แบบ โดยแบบแรกเป็นการใช้หางหวีปลายแหลมหรือเข็มถักโครเชต์ มาถักทอผมที่ถูกแบ่งไว้เป็นกลุ่ม ๆ จนเส้นผมเริ่มพันกันเป็นก้อน

การทำผม Dreadlocks รูปแบบนี้ หากได้คนถักฝีมือดี Dreads ที่ออกมาจะแน่น สวย และมีขนาดเท่ากันตลอดทั้งเส้น ซึ่งเมื่อทำเสร็จแล้ว ช่างจะค่อย ๆ ใช้กรรไกรตัดแต่งให้ดูเป็นทรงสวยงามอีกรอบหนึ่ง

เมื่อผมใหม่เริ่มงอกขึ้นมา หรือ Dreads ที่เคยทำไว้เริ่มคลายตัวออกจากกันล่ะก็ แสดงว่ามันถึงเวลาที่ต้องให้ช่างทำการ Maintenance เก็บผมส่วนต่าง ๆ ที่เริ่มจะพัง ให้กลับมาดูดีดังเดิมได้แล้ว

make-dreads-lock-faster_c589f6715863799

ส่วนแบบที่ 2 นั้น เป็นเทคนิคการทำผมทรง Dreadlocks แบบ “Neglect” หรือ “ปล่อยเซอร์” เทคนิคนี้เหมาะสำหรับคนที่มีผม Dreads มาก่อน โดยครั้งหนึ่ง Dreads อาจจะเคยเป็นเส้น จับตัวกันสวยงามมาก่อน

วิธีแบบ แบบ “Neglect” ไม่ต้องมีการตัดตกแต่ง ไม่ต้องซ่อม หรือทำการเก็บผมใด ๆ ทั้งสิ้น ผลลัพธ์ของการใช้วิธีนี้จะทำให้ Dreads มีรูปแบบของเส้นผมที่จับตัวกันอย่างมีเอกลักษณ์ และแตกต่างจากแบบแรกอย่างชัดเจน เพราะว่าการใช้เทคนิค “Neglect” นั้น เส้นผมจะจับตัวกันแบบมั่ว ๆ ยุ่ง ๆ คนจึงนิยมเรียกสไตล์นี้ว่า “Free Forming”

สไตล์ “Free Forming” นี้จะทำให้ Dreads บางเส้นกลายเป็นแผ่น บางเส้นเป็นก้อน คล้าย ๆ กับทรงผมยอดนิยมของเหล่า Homeless ที่เดินไปมาอยู่ตามท้องถนน

Sadhus-21

The Roots Of Dreadlocks

รากเหง้าของ Dreadlocks นั้น ถูกเชื่อมโยงไปถึงลัทธิ Rastafians ของประเทศ Jamaica รวมไปถึงรากที่เชื่อมไปไกลยันกลุ่มนักปราชญ์และโยคีที่อยู่ในประเทศ India อีกด้วย

คำว่า Dreadlocks เกิดขึ้นนานมาแล้ว มีความหมายโดยรวมสื่อถึงความกลัวที่มาจากวัฒนธรรมการจับตัวคนผิวสีไปเป็นทาส เหตุการณ์การอันแสนหดหู่นี้ยังได้ขยายไปไกลถึงการเหยียดชนชาติของชนพื้นเมืองในประเทศ India อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม  Dreadlocks ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมและแพร่หลายมากเท่าปัจจุบัน บางแหล่งข้อมูลเชื่อว่า Dreadlocks มีต้นกำเนิดมาจากเหล่านักบวชที่อาศัยอยู่ทางทิศตะวันออก แสดงถึงการละทิ้งทางโลก ไม่ยึดติด ไม่ครอบครองวัตถุใด ๆ เนื่องจากทรงผมนั้นเป็นของนอกกาย พวกเขาจึงไม่สนใจการกรูมมิ่ง หรือไม่สนใจแม้กระทั่งการมีหวีไว้ในครอบครอง และนั่นคือเหตุผลที่ผมของพวกเขามีลักษณะเป็น Dreadlocks

hergesheimer-map.png__800x600_q85_crop
Slavery

เมื่อวัฒนธรรมการค้าทาส ได้แพร่ไปถึงประเทศ India และอาณาเขตโดยรอบ เหล่าชาวฮินดู นักปราชญ์ ที่มีผมแบบ Dreadlocks หนีการค้าทาสไปยังแถบหมู่เกาะแคริบเบียน และเริ่มไปโผล่ให้เห็นที่ประเทศ Jamaica ที่ที่ทรงผม  Dreadlocks เป็นที่นิยมในกลุ่ม Rastafarians หรือผู้ที่นับถือลัทธิ Rasta

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าผมทรง Dreadlocks มีที่มาจากความเชื่อในเชิงศาสนา โดยเหล่า Rastafarians จัดให้เป็นหนึ่งในข้อบังคับของการบำเพ็ญตน Dreadlocks  ถือเป็นทรงผมที่ศักดิ์สิทธิ์ และมีพลัง ในขณะที่เหล่าโยคีแดนตะวันออก เห็นเป็นเรื่องของการปล่อยวางทางโลก

Korn

ตัดภาพกลับมาอีก 2 ทศวรรษให้หลัง เมื่อโลกเปลี่ยนแปลง ความเชื่อ และข้อบังคับต่างๆ ในลัทธิ-ศาสนาก็ไม่เคร่งครัดอย่างที่เคย แต่ทว่าความนิยมผมทรงนี้กลับไม่เสื่อมสลายหายไปตามความเชื่อของคนที่ลดน้อยลง

การทำผม Dreadlocks ยิ่งทวีความนิยมขึ้น จนแพร่หลายไปสู่คนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับลัทธิ,  ศาสนา และเชื้อชาติ หากลองสังเกตดูจะเห็นว่ามีนักร้อง วงดนตรีดัง ๆ หลายวง โดยเฉพาะแนว Metal อย่าง POD, Korn, Bad Brain รวมไปถึงดารา นักแสดง ต่างก็หันมาไว้ผมทรงนี้เช่นกัน

คนเหล่านี้อาจรู้สึกว่าผมทรง Dreadlocks เป็นทรงผมที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ จดจำได้ง่าย และเอื้อต่อการแสดงตัวตนที่ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะในกลุ่มนักดนตรีที่มักจะทำผมทรงนี้ พอขึ้นเวทีเล่นคอนเสิร์ตแล้วได้โยกย้ายส่ายหัวสะบัดแท่งผมไปมาแล้ว มักจะได้ภาพ Performance ที่มันส์ได้อารมณ์สุด ๆ จนกระทั่งช่วงหนึ่งผมทรง Dreadlocks กลายเป็นทรงผมยอดฮิต วงดนตรีทุกวงแทบจะต้องมีใครสักคนหนึ่งในวงต้องไว้ผมทรงนี้

bob_marley_dread-fly-1024x762

Bob Marley And The Introduction Into Pop Culture

หนึ่งในคนที่ไว้ผมทรง Dreadlocks ที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของโลก จะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ King of Rasta อย่าง Bob Marley ชายผู้เผยแพร่ความรัก ความสงบ ความตั้งใจ และแนวความคิดให้กับชาวโลก

เขาทุ่มเทชีวิตไปกับการสรรเสริญพระเจ้า และเผยแพร่ความคิดเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์ผ่านทางเสียงเพลง ทำให้ผม Dreadlocks ของ Bob Marley เริ่มมีความหมายทางแฟชั่นให้คนไว้ตามเพราะเห็นเขาเป็นไอดอล มากกว่าจะสนใจทรงผมและเบื้องหลังแนวคิดที่ซ่อนมาในบทเพลงและผมทรง Dreadlocks ของเขา

หลังจากอ่านบทความนี้จบ UNLOCKMEN อยากให้คุณกลับไปฟังบทเพลงของชายคนนี้ใหม่ เนื้อหา ความเชื่อ และวัฒนธรรมที่ซ่อนอยู่ในบทเพลงของเขาจะทำให้เราเข้าใจ  Dreadlocks ของเขาได้มากกว่าที่เคย

ceafa39ca76b49cfa7154384bf0a0839

White People With Dreadlocks?

หลายครั้งที่ทรงผมก็อาจกลายเป็นเรื่องราวความขัดแย้งอย่างที่ไม่ควรจะเกิด เนื่องจากมันสัมพันธ์กับอัตลักษณ์ และการเมือง เช่น ผมทรง Afro หรือการถัก Cornrows, การไว้ผม Dreadlocks ที่ถูกผูกไว้กับศักดิ์ศรีของชาว Afican-American, Hip-Hop Culture ทำให้ดูเหมือนว่ามีแค่คนผิวสีเท่านั้นที่จะสามารถไว้ทรงผมเหล่านี้ได้

ดังนั้นเมื่อคนขาวตัดสินใจนำทรงผมที่เกิดขึ้นจากวัฒนธรรมของคนผิวสี โดยเฉพาะผม Dreadlocks มักจะเกิดความขัดแย้งขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ กรณีล่าสุดที่กลายเป็นข่าวดังในโลกออนไลน์ เมื่อมีภาพเหตุการณ์การถกเถียงกันอย่างดุเดือดระหว่างคนผิวสีกับคนผิวขาวที่ไว้ผมทรง Dreadlock

คนผิวสีพยายามชี้แจงชายผิวขาวว่าการไว้ผมทรงนี้มันไม่ใช่ Fashion ที่ใครคิดจะทำก็ได้ เนื่องจากมีเรื่องราวซับซ้อนและความโหดร้ายที่คนผิวขาวได้กระทำเอาไว้ต่อคนผิวสีซ่อนอยู่ใต้ผมทรงนี้ นอกจากนี้ทรงผมเจ้าปัญหายังเป็นวัฒนธรรมของคนผิวสี ไม่ใช่สิ่งที่คนผิวขาวจะนำมาทำได้ตามใจชอบอีกด้วย

เหตุการณ์นี้ดูเหมือนจะแพร่กระจายเป็นวงกว้างกว่าเดิม เมื่อสำนักข่าว CNN ได้นำเอาการถกเถียงนี้ออกสู่สายตาประชาชนผ่านจอ TV งานช้างจึงไปงอกอยู่ที่ทางมหาวิทยาลัย University of San Francisco แบบเต็ม ๆ จนต้องออกมาหาวิธีการเคลียร์ปัญหา โดยทางมหาวิทยาลัยได้ทำการสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง

คนผิวสียืนยันอย่างหนักแน่นว่า “มันเป็นวัฒนธรรมของฉัน” ส่วนทางด้านชายผิวขาวก็ให้เหตุผลว่า “มันไม่ใช่เรื่องสำคัญยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นสักหน่อย”

980x

จากตัวแทนความเชื่อ วัฒนธรรมและการต่อสู้ Dreadlocks ได้กลายเป็นแฟชั่นที่น้อยคนจะสนใจศึกษาที่มาของมัน ไม่ใช่เรื่องผิดที่เราจะไม่รู้ที่มาที่ไปของทุกสิ่งรอบตัวเรา แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีถ้าเราจะศึกษาความหมาย ความลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ภายใต้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา

คิดดูสิว่าจะคูลแค่ไหน ถ้าเราสามารถบอกคนอื่นได้อย่างภาคภูมิใจว่า ที่เราเลือกไว้ผมทรง  Dreadlocks นั้นเป็นเพราะเราเชื่อเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์ เราไม่สนับสนุนการแบ่งแยกคนออกจากกันเพียงเพราะมีสีผิว เชื้อชาติ ความเชื่อที่แตกต่าง

ที่สำคัญเรายังเคารพประวัติศาสตร์ของคนผิวสีที่พวกเขาต่างต่อสู้เพื่อให้ได้สิทธิของตัวเองมาอย่างยาวนาน

วันนี้เราก็ได้ทราบถึงที่มาของทรงผม  Dreadlocks  กันไปแล้ว ไม่ว่าคุณจะไว้ผมทรง Dreadlocks หรือไม่ ผิวคุณจะเป็นสีอะไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตก็คือ จิตวิญญาณและหัวใจ หาใช่สีผิว, ทรงผม หรือเชื้อชาติ อย่างที่หลายคนสร้างมันขึ้นมา เพราะต่อให้คนเราจะมีภายนอกแตกต่างกันมากแค่ไหน ภายในร่างกายคนเรา โดยเฉพาะหัวใจ ก็ยังคงเต็มไปด้วยเลือดสีแดงและความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันนั่นเอง

B9317465276Z.1_20150523205728_000_GQUASGFD4.1-0

 

 

 

SOURCE 1 SOURCE 2  SOURCE 3

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line