ตอนนี้คุณกำลังมีความสุขในการทำงานอยู่รึเปล่า ? ถ้าคุณตอบได้อย่างมั่นใจว่ามี คุณก็ข้ามบทความนี้ไปเลยก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่มั่นใจว่ากำลังมีความสุขกับงานที่ทำอยู่ เพราะเจอกับเรื่องชวนปวดหัวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนร่วมงานที่ช่วยอะไรไม่ค่อยได้ หรือ รู้งานหนักเกินจนแทบไมได้พัก เป็นต้น คุณอาจจะอยู่ใน toxic workplace อยู่ก็เป็นได้ เราขอแนะนำให้คุณลองอ่านบทความนี้ เพราะเราจะพาคุณไปทำความเข้าใจ และแนะนำวิธีการแก้ไข ปัญหาที่ทำงานเป็นพิษ หรือ toxic workplace เพื่อช่วยให้คุณสามารถทำงานได้อย่างสบายใจโดยไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องลาออก ก่อนอื่นเราอยากให้ทุกคนเข้าใจถึงองค์ประกอบที่ทำให้เกิด toxic workplace เสียก่อน ซึ่งมันเกิดได้ทั้งจาก พฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานที่ไม่ดี เช่น ไม่ตั้งใจทำงาน หรือ บรรยากาศในการทำงานที่ไม่ดี เช่น มีการกลั่นแกล้ง หรือ นินทากัน รวมไปถึง ตัวงาน เช่น งานหนักเกินไปจนไม่ได้พัก ซึ่งหากมีปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง หรือ มากกว่าปัจจัยหนึ่งรวมกันแล้ว ทำให้คุณใช้ชีวิตได้ลำบาก อาจเป็นสัญญาณว่า คุณกำลังอยู่ใน toxic workplace อยู่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาจากการอยู่ใน toxic workpace มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
สำหรับทุกบริษัท การนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของพวกเขาก้าวไปข้างหน้าได้ แต่ปัญหาที่หลายบริษัทต้องเจอคือการที่คนในบริษัทไม่ยอมเสนอไอเดีย ไม่แสดงความคิดเห็น ร้ายที่สุด คือ พวกเขาไม่ยอมรายงานปัญหา Conflict ที่พบเจอในที่ทำงานให้ผู้ใหญ่ได้รับทราบ ปล่อยให้มันลุกลามจนเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องที่ยากจะแก้ไข ปัญหานี้ UNLOCKMEN มองว่าเป็นเรื่องใหญ่ เลยอยากจะพาทุกคนไปดูว่ามีสาเหตุใดบ้างที่ทำให้ลูกน้องไม่กล้าแสดงความคิดเห็นในที่ทำงาน และจะแก้ไขอย่างไรดี ขาดความมั่นใจที่จะแบ่งปันไอเดีย มันจะมีกรณีที่บางคนรู้สึกไม่มั่นใจเวลาที่จะแบ่งปันไอเดีย ถ้าในที่ประชุมมีการแบ่งหน้าที่กันชัดเจนเกินไป หรือมักจะกับคนนอกหน้าที่ที่พยายามเสนอไอเดียว่ามันไม่ใช่เรื่องของพวกเขา หรือให้สนใจแต่หน้าที่ของตัวเอง ฯลฯ พอได้ยินคำพูดแบบใส่บ่อยๆ พวกเขาก็รู้สึกว่า การแสดงความคิดเห็นในที่ทำงานจะทำให้พวกเขาถูกตำหนิ ปิดปากเงียบไว้ดีกว่า ท้ายที่สุดพวกเขาก็เลยไม่เสนอไอเดียใหม่ ๆ อีกเลย Solution: ก่อนอื่นเลย คนที่เป็นหัวหน้าต้องเข้าใจก่อนว่า มันมีอะไรบ้างที่จะทำลายความมั่นใจของลูกน้องได้ (เช่น การห้าม การตำหนิ ฯลฯ) บอกกับทีมให้เปิดใจรับฟังไอเดียจากคนทุกแผนกดูบ้าง เพราะเค้าอาจจะมีไอเดียอะไรในมุมมองที่เราคาดไม่ถึง และพยายามไม่ตำหนิหรือ Kill idea ในที่ประชุม แล้วลูกน้องจะกล้าแสดงความคิดเห็นในที่ทำงานมากขึ้นเอง ไม่คิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ในเวลานั้น บางบริษัทไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าเรื่องไหนที่นับว่าเป็นปัญหา หรือ ปัญหาแบบไหนบ้างที่ควรรายงาน บางคนเลยไม่รู้ว่าสิ่งที่เจอเป็นปัญหาที่ควรรายงานหรือเปล่า อีกทั้งบางบริษัทเองก็ไม่ได้สนับสนุนวัฒนธรรมการรายงานในทุก ๆ
ในช่วงที่ประเทศไทยต้อง Lock Down เพื่อควบคุม Coronavirus ที่ระบาดหนักในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา น่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งแรกสำหรับเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ เจ้าของ SME รวมไปถึงพนักงาน พ่อค้าแม่ค้า หรือแม้แต่แรงงาน ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นทั่วโลกที่ต้องเจอกับความท้าทายครั้งใหญ่ครั้งใหม่ บางคนปรับตัวประคับประคองมาได้ ท่ามกลางข่าวธุรกิจที่ปิดตัวไม่เว้นแต่ละวัน สำหรับประเทศไทย ต้องบอกว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าอีกหลายประเทศ เราสามารถควบคุมการระบาดของ Coronavirus ได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันการใช้ชีวิตเริ่มกลับมาเป็นเหมือนปกติ ธุรกิจกลับมารัน คนออกมาทำงาน แต่ในขณะเดียวกัน เราก็เห็นความไม่ปกติที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังมากมาย โดยเฉพาะในหมู่เจ้าของธุรกิจ ที่ต้องเจอกับรายได้ลดลงน้อยกว่ารายจ่ายอย่างต่อเนื่องแม้จะผ่านช่วงปิดเมืองไปแล้ว ต้องพยายามลดต้นทุนเพื่อรักษา Cash flow ยื้อชีวิตเอาไว้ให้นานที่สุด ความยากลำบากในการบริหารพนักงานที่สูญเสียกำลังใจ เชื่อว่าคนทำธุรกิจหลายท่านน่าจะรู้สึกเครียด คิดไม่ออกว่าจะทำยังไงต่อไปดี เราจึงสร้าง ‘THE ART OF BUSINESS’ รายการที่จะไปถามผู้บริหารตัวจริง ประสบความสำเร็จจริง เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะกับสถานการณ์แต่ละช่วง สำหรับผู้บริหารคนแรกของ THE ART OF BUSINESS เราได้ คุณเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท แสนสิริ
ตอนนี้หลายคนอาจนิยามตัวเองว่าเป็น คนเปิดเผย (Extrovert) หรือเป็น คนเก็บตัว (Introvert) หรือ อยู่ระหว่าง 2 ฝั่งนี้ (Ambivert) ซึ่งในการทำงาน introvert หลายคนอาจจะเจอปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องการเข้าสังคม หรือสมาธิในการทำงาน ดังนั้น UNLOCKMEN เลยอยากแบ่งปันเคล็ดลับการเอาตัวรอดในที่ทำงานสำหรับชาว Introvert ก่อนอื่นอยากให้เข้าใจนิยามก่อนว่า Introvert คือกลุ่มคนที่มีบุคลิกภาพเก็บตัว คนกลุ่มนี้จะมีโลกส่วนตัวสูง มักใช้เวลาอยู่กับความคิดของตัวเองมากกว่าจะไปสุงสิงกับคนอื่น ส่วน Extrovert จะตรงกันข้าม คือ รักการเข้าสังคม ชอบแสดงออกมากกว่าคิดอยู่กับตัวเอง และชอบเป็นจุดสนใจด้วย ความแตกต่างระหว่าง Introvert และ Extrovert ไม่ได้อยู่ที่นิสัยอย่างเดียว (ซึ่งเวลาพูดว่า introvert และ extrovert ต่างกันที่นิสัย หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องที่ปรับกันได้) แต่ทั้ง 2 กลุ่มนี้แตกต่างกันในทางชีววิทยาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น – การตอบสนองต่อ Dopamine (สารสื่อประสาทที่ทำให้เรารู้สึกดีเวลามองหารางวัลจากปัจจัยภายนอก) แม้ว่าการหลั่งของ dopamine ในสมอง
ในสภาวะแบบนี้การยังมีงานให้ทำ มีโปรเจกต์ให้คิด มีลูกค้าที่ตั้งตารอเราส่งไอเดียไป ถือเป็นเรื่องน่าอิจฉา อย่างไรก็ตามแม้จิตวิญญาณเราจะพร้อมลุย พร้อมรับงานไม่ยั้ง คิดงานไม่มีหยุด แต่คล้ายว่าสมองของเราไม่ได้ทำตามสั่งได้ง่ายดายแบบนั้น หลายครั้งที่เดดไลน์ก็ใกล้เข้ามา วันพรีเซนต์ไอเดียก็จ่ออยู่ไม่ไกล แต่สมองเราก็มึนตึ้บทึบตัน จนคล้ายว่าจะไม่มีไอเดียดี ๆ หลั่งไหลพุ่งกระฉูดออกมาให้เรา (เจ้านาย และลูกค้า) ได้ชื่นใจสักนิด ปัญหา “สมองตัน คิดงานไม่ออก” จึงไม่ใช่ปัญหาเล่น ๆ บางครั้งเราอาจแก้ปัญหาได้แบบวินาทีสุดท้าย แต่ใครจะรู้ว่าถ้าวันหนึ่งเราคิดอะไรไม่ออกเลยขึ้นมาจะเป็นอย่างไร? UNLOCKMEN ชวนมาดูหนทางรับมือ และป้องกันเมื่อสมองตันคิดอะไรไม่ออกว่าเราทำอะไรได้บ้าง คิดงานไม่ออกอย่าดันทุรัง “การเดิน” เพิ่มไอเดียสร้างสรรค์ได้อีก 60% เราเข้าใจดีว่าความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่นั้นหนักหนาเพียงใด การคิดงานไม่ออกจึงไม่ต่างจากความกดดันที่หนักไม่แพ้กัน เมื่อไรก็ตามที่เราคิดงานไม่ออก เราจึงมักบอกตัวเองว่า ห้ามขยับไปไหน! ต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะหรือหน้าจอจนกว่าจะคิดงานออกนั่นแหละ! แต่จริง ๆ แล้วเมื่อใดก็ตามที่เราคิดงานไม่ออก เราไม่ควรดันทุรังนั่งต่อไป ลอง “เดิน” ดูบ้าง จะเดินไปเดินมาในออฟฟิศ หรือเดินข้ามไปแผนกข้าง ๆ แล้วจะพบว่าการเดินช่วยให้ความคิดไหลลื่นอย่างไม่น่าเชื่อ เราไม่ได้คิดเองเออเองแต่อย่างใด Give Your Ideas Some Legs:
ก่อนหน้านี้เราเคยนำเสนอผลวิจัยว่า คนมองโลกตามความเป็นจริง มีความสุขมากกว่ามองโลกแง่บวก เกี่ยวกับผลเสียที่จะเกิดจากการเป็นคนที่มองโลกในแง่บวกมากเกินไป (overly optimistic) และมีการพูดถึงสอบถามเข้ามาค่อนข้างเยอะ เราจึงอยากนำเสนอเพิ่มเติม ซึ่งการมองโลกในแง่บวกมากเกินไป ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว โดย Amy Morin นักจิตบำบัดและนักเขียนชิ่อดังในฟลอริดา ในปี 2017 ในบทความของเธอบนเว็บไซต์ Bussiness Insider ที่ชื่อว่า ‘3 times optimism does you more harm than good’ ในบทความนี้ เธอได้อธิบายถึงผลเสียของการมองโลกแบบ overly optimistic ว่า แม้มันจะทำให้เรารู้สึกดีก็จริง (เพราะความคิดลบถูกกลบ) แต่มันก็ทำให้เราต่อต้านการรับฟังเหตุผลในอีกแง่มุม เพราะเหตุการณ์จริงอาจจะไม่ได้ง่าย หรือโรยด้วยกลีบกุหลาบแบบที่เราคิดเอาไว้ได้เหมือนกัน – คิดบวกเกินจริง (exaggerating the positive.) มองว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่เรื่องดีๆ ไปหมด เช่น คิดว่าทุกคนชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ หรือคนที่เราชอบเป็นคนที่แสนดีมากๆ เป็นต้น ซึ่งคนประเภทนี้อาจเจอกับปัญหาที่ทำให้เกิดความเสียหายได้ เช่น ไม่ยอมรับข้อผิดพลาด ไม่พัฒนาปรับปรุงตัวเอง หรือตกเป็นเหยื่อถูกคนอื่นหลอกได้ง่าย
โลกของการทำงานไม่เคยง่าย ล้านโปรเจกต์ที่รอให้เราเร่งทำให้สำเร็จ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจลุ่ม ๆ ดอน ๆ ยิ่งขยัน ยิ่งทำงานให้มีคุณภาพมากเท่าไรยิ่งดี แต่ในทางกลับกันโลกปัจจุบันก็เต็มไปด้วยสิ่งบันเทิงและสิ่งเร้าที่ชวนให้ไขว้เขวอย่างง่ายดาย หันซ้ายก็สมาร์ตโฟนและเหล่าโซเชียลมีเดียสารพัดที่รอให้เราเปิดไปไถอัปเดตเรื่องราว หันขวาก็พร้อมหลุดโฟกัสได้ง่าย ๆ คล้ายกับว่าโลกใบนี้มีสิ่งดึงดูดใจให้ทุ่มเวลาให้ไม่รู้จบ (ยกเว้นการทุ่มเวลาทำงาน) ถ้าอย่างนั้นในวันที่โลกเต็มไปด้วยสิ่งรบกวนมากขนาดนี้ จะมีวิธีไหนที่เราจะฝึกสมองของเราไม่ให้ไหลไปกับสิ่งเหล่านั้นได้บ้าง? UNLOCKMEN ชวนมาปลดล็อกด้วย เคล็ดลับฝึกสมองให้โฟกัส ทำงานได้แม้มีสิ่งยั่วใจ กลับไปทำงานครั้งหน้า จะได้รู้ว่าต้องจัดการกับสมองและการโฟกัสได้อย่างไร ความลับของสมองที่ไม่เคยมีใครบอกเรา หลายคนมักเข้าใจว่าถ้าอยากได้งานเยอะ ๆ ก็ต้องทำงานหนัก ทำงานต่อเนื่องหรือทำงานยาวนาน แต่จริง ๆ แล้วถ้าเราอยากได้งานที่มีคุณภาพนั้นไม่เกี่ยวกับความยาวนาน หรือเรื่องระเวลา แต่เป็นการที่เราสามารถโฟกัสกับงานอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ได้งานที่มีคุณภาพต่างหาก เมื่อเราสามารถโฟกัส เราจะได้งานที่มีคุณภาพ และมีเวลาเหลือไปทำสิ่งอื่นอย่างมีคุณภาพได้เช่นกัน ไม่ว่าจะพักผ่อน เดินเล่น หรือใช้เวลากับคนที่เรารักโดยไม่ต้องกังวลเรื่องงานให้เสียเวลาพัก และไม่เอาการพักไปปนในเวลางาน การโฟกัสงานให้ได้จึงเป็นหัวใจสำคัญของคนที่อยากทำงานให้มีคุณภาพ อย่างไรก็ตามการมีสมาธิจดจ่อกับงานหรือโฟกัสกับการทำอะไรสักสิ่งได้ ไม่ใช่แค่การบังคับตัวเองเท่านั้น แต่เป็นความสามารถของสมองที่จะจดจ่อด้วย และสมองก็มีธรรมชาติของมัน โดยหลายคนบอกแค่ว่าก็นั่ง ๆ ทำงานไปเถอะ อย่าไปคิดอะไร แต่ถ้าเราเข้าใจวิธีการทำงานของสมองเราก็จะทำงานอย่างมีคุณภาพได้มากขึ้น งานวิจัย “Brief and rare mental
หลายคนอาจได้ยินบ่อยๆ ว่า เวลาไม่กล้าตัดสินใจทำอะไร เพราะกลัวผลลัพธ์ออกมาไม่ดี ให้พยายามมองโลกในแง่บวกเข้าไว้ ประโยคนี้อาจเป็นคำแนะนำที่ไม่ดีก็เป็นได้ เมื่องานวิจัยล่าสุดบอกว่าคนที่มองโลกตามความเป็นจริงจะมีความสุขในระยะยาวมากกว่าคนที่มองโลกในแง่บวก งานวิจัยชิ้นนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Personality and Social Psychology Bulletin (PSPB) โดย ทีมวิจัยได้ศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างความคาดหวังด้านการเงินในชีวิตของคนกับผลลัพธ์ที่ออกมาตามความเป็นจริงในช่วงเวลาหลายสิบปี พวกเขาได้นำข้อมูลจากแบบสำรวจชาวอังกฤษที่ทำในระยะยาวชื่อว่า British Household Panel Survey ซึ่งได้มีการติดตามคนจำนวนกว่า 1,600 คนเป็นเวลากว่า 18 ปี มาวิเคราะห์ และเพื่อดูว่าใครที่มีความสุขในระยะยาวมากกว่ากันระหว่าง คนที่มองโลกในแง่ดี (optimists) คนที่มองโลกในแง่ร้าย (pessimists) และ คนที่มองโลกตามความเป็นจริง (realists) นักวิจัยได้นำข้อมูลที่กลุ่มตัวอย่างรายงานด้วยตัวเองเกี่ยวกับความสุขในชีวิตและความกังวลทางจิตวิทยามาหาคำตอบ พบว่าผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์ที่มากเกินความเป็นจริง จะมีความสุข (well-being) น้อยกว่าผู้ที่คาดหวังอะไรตามความเป็นจริง ซึ่งตัวงานวิจัยเองก็ยังชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของการตัดสินใจโดยอิงจากความแม่นยำและการประเมินแบบไม่มีอคติด้วยเช่นกัน ทีมวิจัยกล่าวถึงสาเหตุที่ optimists และ pessimists ไม่ค่อยมีความสุขว่า ในท้ายที่สุดความผิดหวังจะครอบงำความคาดหวังในสิ่งที่ดีที่สุด และทำให้ optimists มีความสุขน้อยลง ส่วน pessimists ที่คาดหวังแต่ผลลัพธ์ที่แย่ๆ จะเอาชนะอารมณ์ด้านบวก จนทำให้พวกเขาพยายามไม่พยายามจะทำชีวิตให้ได้ดีกว่าที่คาดหวังเอาไว้
เคยรู้สึกว่าอยากมีความแข็งแกร่งสามารถยกของหนักๆ ได้ นานๆ แต่ขี้เกียจออกกำลังกายรึเปล่า? บริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีจากเยอรมัน อาจทำให้ฝันของเราเป็นจริงได้ เมื่อเร็วๆ นี้ ทางบริษัทได้เริ่มจำหน่ายชุดพาวเวอร์สูทตัวใหม่ ที่ช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหว และเสริมพลังของผู้สวมใส่ให้สามารถยกของหนักได้มากขึ้นและนานขึ้นกว่าปกติ The 4th generation cray x ชุดสมาร์ทพาวเวอร์สูทรุ่นใหม่ของบริษัท german bionic ที่ผสมผสานสติปัญญาของมนุษย์กับพลังงานจักรกล ถูกผลิตขึ้นมาด้วยความตั้งใจที่ว่า จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุในที่ทำงาน สมาร์ทพาวเวอร์สูทชุดนี้มาพร้อมกับ servo motors ประสิทธิภาพสูงที่จะช่วยเพิ่มความสามารถของผู้สวมใส่ให้สามารถยกของหนักสูงสุด 28 กก. พร้อมแบตเตอร์รี่ที่ใช้งานได้ยาวนานถึง 8 ชม. แต่ชุดนี้ก็ไม่ได้มีดีแค่ทำให้เรายกของหนักได้มากขึ้นเพียงอย่างเดียว มันยังมาพร้อมกับระบบอัพเดทซอฟแวร์อัตโนมัติ และระบบ Predictive Maintanance ที่จะช่วยให้เราแน่ใจได้ว่าสมาร์ทเวอร์สูทจะทำงานได้อย่างยาวนานที่สุด แถมผู้ใช้ยังสามารถเชื่อมต่อสมาร์ทพาวเวอร์สูทกับระบบของโรงงานอัจฉริยะ (smart factory) เพื่อกระตุ้น productivity สุขภาพ รวมถึงความปลอดภัยของคนงานได้อีกด้วย ความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของสมาร์ทพาวเวอร์สูทชุดนี้ คือ มันมีส่วนประกอบของคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งที่มากกว่าเหล็ก แต่มีน้ำหนักเบา มันจึงเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ (aerospace) รวมถึง การแข่งขัน Formula 1
“ขอโทษด้วยแล้วกัน” คือคำขอโทษที่ออกมาจากปากของผู้นำระดับประเทศ ที่หลายคนอาจสงสัยว่าตกลงนี่คือคำขอโทษใช่ไหม? เป็นการขอโทษอย่างจริงใจหรือเปล่า? หรือผู้พูดรู้สึกผิดมากน้อยแค่ไหน? ไม่ว่าจะเป็นการเลือกคำที่สื่อสารผิด หรือเพราะไม่ทันสำรวจตรวจตราถี่ถ้วน แต่การขอโทษคือกระบวนการที่จำเป็นอย่างยิ่งทั้งในแง่การทำงาน และในความสัมพันธ์ การขอโทษเป็นไปทั้งเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เพื่อบอกว่าเราเสียใจในการกระทำของเรา และมีจุดประสงค์เพื่อให้อีกฝั่งที่เราทำเขาเดือดร้อนหรือทำให้เขารู้สึกเสียใจ รู้สึกดีขึ้น รวมถึงพร้อมจะให้โอกาสเราใหม่ บนโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยทำผิดพลาด แต่ผิดพลาดแล้วจะสื่อสารอย่างไรไม่ให้ยิ่งดูแย่ลง เราควรเรียนรู้วิธีขอโทษอย่างจริงใจและมืออาชีพเอาไว้เพื่อนำไปใช้ให้ได้ทุกสถานการณ์ การขอโทษไม่ใช่แค่คำว่า “ขอโทษ” เท่านั้น แต่การระบุว่าขอโทษเรื่องอะไร คือการเพิ่มน้ำหนักให้คำขอโทษของเรา รวมถึงแสดงให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเราสำรวจตัวเองและมองเห็นความผิดพลาดนั้นแล้ว บางครั้งการพูดว่าขอโทษส่ง ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด แต่การใช้เวลาสำรวจถึงความผิดพลาดของเราจนมาสื่อสารกับอีกฝ่ายได้ เป็นการเน้นย้ำเจตนาที่จะเรียนรู้ของตัวเรา อีกทั้งทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเราเข้าใจความผิดพลาดจริง ๆ ไม่ใช่แค่มาพูดขอโทษให้รู้ว่ามาขอโทษแล้วเท่านั้น ลองนึกตามง่าย ๆ ว่าถ้าในที่ประชุมมีเพื่อนร่วมงานเผลอใช้อารมณ์ ขึ้นเสียงกับเรา โดยที่ไม่ใช่การถกเถียงกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล การที่เขาเดินเข้ามาบอกว่า “เมื่อวานขอโทษแล้วกัน” กับ “ขอโทษนะที่เมื่อวานผมขึ้นเสียงใส่คุณและใช้อารมณ์ในที่ประชุม แถมสติหลุด ไม่ใช้เหตุผลในการสื่อสารอีก” การระบุให้ชัดว่าเขาขอโทษเรื่องอะไรนั้นดูจริงใจและแสดงให้เห็นว่าเขาสำนึกผิดมากกว่าการพูดว่าขอโทษอย่างเดียว หลายครั้งการให้อภัย การยกโทษให้ ก็ไม่ได้มาจากแค่การขอโทษให้พ้น ๆ ไป แต่ต้องร่วมกับการที่อีกฝั่ง พอจะเข้าใจการกระทำของเราร่วมด้วย อย่างไรก็ตามการบอกว่าเราทำแบบนั้นเพราะอะไร ต้องไม่ยืดยาว และไม่ทำเหมือนว่าเราโน้มน้าวเพื่อบอกว่าเราไม่ผิด แต่เป็นการบอกอย่างกระชับว่าอะไรทำให้เราทำแบบนั้น หรือเป็นแบบนั้น “ขอโทษนะที่เมื่อวานผมขึ้นเสียงใส่คุณและใช้อารมณ์ในที่ประชุม