UNLOCKMEN กล้าพูดเลยว่ามีผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่พอหอบงานไปทำที่ร้านกาแฟแล้วดันโฟกัสกับงานที่ตัวเองทำได้มากกว่าทำที่ออฟฟิศตัวเอง หรือผู้ชายสายฟรีแลนซ์ก็ไม่เว้นกับเขาด้วย พอจะทำงานที่บ้านก็เกิดอาการเตียงดูดให้นอนอยู่กับที่เสียอย่างนั้น แต่พอกระเด้งตัวไปร้านกาแฟแถวบ้านทีไรงานพุ่งเป็นไฟทุกที งานนี้เราไม่ได้คิดไปเองเพราะมันมีเหตุผลเบื้องหลังอยู่จริง ๆ งานนี้บอกเลยว่าความเข้าใจเรื่องเสียงของเรา ๆ ที่เคยถูกสอนสั่งมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวน้อย ๆ ว่าความเงียบทำให้เกิดสมาธิอาจจะต้องถูกพับเก็บเอาไว้ก่อน เพราะงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นออกมาบอกว่าเจ้าเสียงที่อยู่โดยรอบเราอย่าง Ambient Noise ที่เหมาะแก่การคิดงานอย่างสร้างสรรค์ให้พุ่งกระฉูดหรือการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพชนิดไฟพุ่งนั้นไม่ใช่เสียงเงียบ ๆ อย่างที่เราเคยเข้าใจ แล้วเสียงแบบไหนหรือระดับไหนกันแน่ที่เป็นมิตรแก่การทำงานของเรา? ก็เหมือนว่าเราจะรู้ดีทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อ่านงานวิจัยถึงได้เลือกร้านกาแฟเป็นที่สิงสถิตย์เพราะร้านกาแฟมีเสียงรบกวนในระดับปานกลางประมาณ 70 เดซิเบล (ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของเราได้ดีกว่าเสียงที่เงียบกว่านี้เมื่อเปรียบเทียบกับเสียงประมาณ 50 เดซิเบล) ดังนั้นในร้านกาแฟที่มีเสียงรบกวนหน่อย ๆ แต่ไม่มากเกินพอดีจึงส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์และประสิทธิภาพการทำงานของเราได้มากกว่าการทำงานในออฟฟิศหรือห้องสมุดที่ทุกคนต่างพากันเงียบสนิท จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทุกวันนี้มีเว็บไซต์จำนวนมากที่ทำเสียง Ambient Noise เลียนแบบเสียงร้านกาแฟออกมาเพื่อให้เรากดเปิดฟังได้แม้อยู่ในที่ทำงานหรือที่บ้านเพื่อสร้างบรรยากาศหลอกร่างกายของเราว่า เฮ้ย นี่ฉันกำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟในเสียงที่เหมาะสมจริง ๆ เพราะฉะนั้นตั้งใจทำงานและสร้างสรรค์อะไรดี ๆ ออกมาได้แล้ว ถ้าชาว UNLOCKMEN อยากลองว่ามันได้ผลเท่ากับการไปนั่งร้านกาแฟจริงไหมก็ลองกดเปิดฟังไป ทำงานไปดู (ฟัง Ambient Noise) อย่างไรก็ตามเรื่องเสียงก็ไม่ใช่แค่เรื่องเดียวที่ทำให้เราตั้งใจหรือโฟกัสกับงานได้มากกว่าปกติที่ร้านกาแฟ แต่การได้ไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ก็เป็นอีกผลหนึ่งที่ท้าทายให้เราอยากแสดงศักยภาพออกมาให้คนอื่นได้เห็น (แม้จริง ๆ
ใกล้วันหยุดยาวเข้ามาทุกทีบางทีก็สร้างความกังวลใจให้กับผู้ชายที่ Work Hard Play Hard มาตลอดอย่างเรา ๆ ว่าจะบาลานซ์ความต้องการของชีวิตยังไงดี จะเก็บงานมาทำอย่างบ้าคลั่งเพราะถือเป็นช่วงกอบโกยเวลางาน หรือจะพักผ่อนให้เต็มที่แล้วค่อยมาแฮงค์ ๆ งง ๆ กับงานทีหลัง ไม่ต้องกังวลให้เสียเวลาอีกต่อไป UNLOCKMEN เอาวิธีใช้วันหยุดอย่างมีประสิทธิภาพสไตล์คนประสบความสำเร็จมาฝากกัน ชาร์จแบตตัวเองซะ การที่เราทำงานหนักมาตลอดทั้งปีทำให้เราเสียพลังงานไปมากมายเท่าไหร่ ไหน ๆ นี่ก็วันหยุดทั้งทีลองใช้โอกาสนี้ในการชาร์จแบตที่ร่อยหรอลงไปจำนวนมากให้กลับมาเต็มเปี่ยมสู้กับปีใหม่อย่างสุดพลังดีกว่า แถมช่วงวันหยุดก็เป็นช่วงที่มีงานน้อยไปจนถึงไม่มีงานเลย ใช้เวลาตรงนี้ให้คุ้มที่สุดเถอะ แพลนเพื่อวันข้างหน้าที่จะมาถึง การให้หยุดทำงานเพื่อชาร์จแบตก็ไม่ได้แปลว่าให้หยุดคิดหยุดวางแผนไปด้วย ไอ้งานน่ะวางไว้ก่อนได้ แต่การแพลนว่าจะทำอะไรคร่าว ๆ หลังวันหยุดเป็นเรื่องที่ดีเพื่อไม่ให้อีกด้านที่ร่ำร้องจะทำงานของเรารู้สึกผิดกับการพักผ่อนจนเกินไป และยังช่วยให้ชีวิตการทำงานหลังวันหยุดเต็มไปด้วยประสิทธิภาพอีกต่างหาก ปิดตัวจากการทำงานเสีย แม้เราจะคิดแพลนการทำงานไว้ล่วงหน้า แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะรับการติดต่อจากเพื่อร่วมงานได้ตลอดเวลา การที่เรายังติดต่อกับเพื่อนร่วมงาน (เรื่องงาน) จะทำให้เราไม่มีสมาธิกับการพักผ่อน อย่ารู้สึกผิด เพราะนี่คือวันหยุด! เปลี่ยนเอาเวลามาแพลนตัวเองให้มาก คิดโปรเจ็กต์ดี ๆ ไว้เสนอบอส รับรองว่าแค่ไม่ติดต่อกับที่ทำงาน (เรื่องงาน) ในช่วงวันหยุดไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแน่ ๆ ใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อน ช่วงเวลาที่ผู้ชายอย่างเราทำงานแทบบ้าคลั่งก็คงแทบไม่มีเวลาให้เพื่อนและครอบครัวเลย การได้หยุดยาว ๆ สักทีจึงควรหาเวลาแบ่งไปให้ครอบครัวหรือเพื่อนของเราบ้าง เพราะคนกลุ่มนี้คือคนที่รู้จักเราดีที่สุด กลับไปฟังเสียงของเขาบ้างว่าปีที่ผ่านมามีอะไรดี ๆ
จะสิ้นปีกันแล้ว การทำงานที่ผ่านมาอย่างยาวนาน สำหรับหลายคนก็อาจจะคิดว่า ‘เนี่ย ปีนี้เป็นปีที่ดีแล้ว ปีหน้าเราเอาแค่ประมาณนี้ก็ OK ละ’ จริง ๆ มันก็ไม่ผิดนะที่จะรักษาฟอร์มเก่าเอาไว้ เพราะแค่นั้นก็เจ๋งแล้ว แต่ที่เจ๋งกว่าชัวร์ก็คือการพยายามทำให้ดีขึ้นมากกว่าครั้งก่อนสิ จริง ๆ เราเองก็อยู่ฝั่งเดียวกับคนที่อยากรักษาฟอร์มด้วยล่ะ (ฮา) แต่จะขี้เกียจไปเรื่อย ๆ มันคงไม่ไปไหน ถ้าคุณรู้สึกว่ามันไกลตัวมาก ๆ เราขอหยิบยกเอาหนังสือการ์ตูนที่ใครหลายคนก็คุ้นเคย มาบอกเล่าให้ฟังกันงงว่า มีการ์ตูนจำนวนหนึ่งที่เป็นเรื่องที่ดังระดับโค-ตะ-ระ ถึงขั้นที่คนเขียนอาจจะนอนกลิ้งอยู่บ้านรับเงินปันผลไปวัน ๆ ก็พอแล้ว ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังพยายามก้าวขึ้นไปอีกขั้นจนได้งานที่มีความเจ๋งกว่าเดิมในมุมต่าง ๆ ที่เราเชื่อว่าหนุ่มสาวทุกคนที่อ่านการ์ตูนเหล่านี้จะมีแรงใจให้ทำให้ปีหน้าให้เจ๋งขึ้นไปอีกระดับ อาจารย์ Toriyama Akira จาก ‘ดร. สลัมป์’ ไปเขียน ‘ดราก้อนบอล’ เรื่องแรกที่เราจะพูดถึงก็คือ ดร.สลัมป์ หรือ หนูน้อยอาราเล่ ของอาจารย์ Toriyama Akira ซึ่งจริง ๆ ตัว ดร.สลัมป์ ที่เป็นการ์ตูนตลกเอามันส์นี่ก็ฮิตอยู่ไม่เบา แค่ทำยอดขายได้มากถึง 35 ล้านเล่มในญี่ปุ่น
บ่อยครั้งที่ผู้ชายอย่างเราหวังว่าโชคจะเข้าข้างเราบ้าง หรือตัดพ้อน้อยใจว่าทำไมฟ้าถึงไม่มีตาเห็นเรา แล้วมอบสิ่งดี ๆ ให้ แต่ UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าเลิกขอจากโชคชะตาฟ้าลิขิตเถอะ! เพราะความสำเร็จไม่ใช่เรื่องโชคชะตา แต่คือเรื่องสองมือสองขาของเราเอง และ UNLOCKMEN เชื่อว่า 5 นิสัยต่อไปนี้จะทำให้คุณได้ไปต่อในหนทางแห่งความสำเร็จแน่นอน 1.เป้าหมายต้องชัด อย่าให้อะไรพัดความฝันเราได้ นิสัยอย่างแรกที่จะทำให้เราเข้าใกล้ความสำเร็จในชีวิตคือการมีเป้าหมายที่ชัดเจน อย่าปล่อยให้ความคลุมเครือไม่ชัดเจนพัดพาคุณออกจากหนทางแห่งความสำเร็จไปไหนไกล ดังนั้นจะทำอะไรอย่าลืมแปะป้ายในสมองตัวโต ๆ ว่าเราต้องการอะไรที่สุด? และพุ่งชนมันให้สุดชีวิต 2.ลำดับความชัดเจนของชีวิต เอาให้เครื่องติดสุดพลัง บ่อยครั้งที่เป้าหมายเราไม่ได้มีเป้าหมายเดียว โดยเฉพาะการเป็นผู้ชายที่ Work Hard Play Hard ด้วยแล้ว ความสนใจเรามีล้นมือเต็มไปหมด แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะไปด้วยกันไม่ได้ ลองลิสต์ดูว่าในความสนใจ 10 อย่าง อะไรคือ 3 อย่างที่เราชอบที่สุดและมันไปในทิศทางเดียวกันอย่างไรได้บ้าง แล้วก็มุ่งทำมันควบคู่กันไปในทิศทางเดียวกันให้ได้ดี 3.ความล้มเหลวคือบทเรียน เราอาจจะกลัวความล้มเหลวจนไม่ได้ทำอะไรเลยก็เป็นได้ จริงไหม? ดังนั้นอย่ากลัวที่จะทดลองทำอะไรใหม่ ๆ แค่เพราะกลัวความล้มเหลว อย่าลืมว่าความล้มเหลวคือบทเรียนหนึ่งที่จะสอนให้เรารู้ว่าจะไม่เดินกลับไปผิดพลาดในทางเดิม ๆ อีก ดังนั้นรู้ไว้เลยว่าอย่าไปกลัวมัน สิ่งสำคัญคือการได้เรียนรู้ต่างหาก 4.ทักษะต้องรอบด้าน เพื่อผลงานที่เราหวัง แม้ความฝันจะมีเพียงหนึ่ง
ผู้ชายอย่างเราเติบโตมากับคำพูดที่ว่า Work Hard Play Hard ไม่ว่าจะหน้าที่การงานในออฟฟิศที่ต้องไปให้สุดในทุกทาง บอสสั่งงานวันนี้อยากได้พรุ่งนี้ ก็ต้องทำให้ได้ เพื่อนร่วมงานที่ขอให้ช่วยงานรายวัน ก็ต้องทำ หรือต่อให้พ้นอาณาเขตออฟฟิศ เป็นฟรีแลนซ์ ก็ไม่วายต้องทำงานข้ามวันข้ามคืน รับงานมือเป็นระวิง ยิ่งเป็นเจ้าของธุรกิจยิ่งแล้วใหญ่ เพราะความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่นั้นวางอยู่บนบ่า จนเรียกว่าผู้ชายอย่างเรา Work Hard สมกับที่ฟังมาตั้งแต่ยังไม่เติบโตอย่างแท้จริง เรื่องเล่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผู้ชายอย่างเราล้วนเต็มที่ไม่มีหยุด เพราะเกิดมาทั้งทีมีชีวิตเดียวต้องเอาให้ถึงขีดสุด งานที่ล้นมือก็ทำ แต่การเล่นให้เหมือนชีวิตไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไป ก็ต้องไม่ทิ้ง ยิ่งเพื่อนรบเร้าให้ออกไปกินดื่มเที่ยวตลอด ยิ่งพลาดไม่ได้ เพื่อไม่ให้เสียเพื่อนฝูงไป ก็เรียกว่า Play Hard ไม่แพ้กัน แต่เดี๋ยวก่อน เราเคยหยุดพักนิ่ง ๆ แล้วถามตัวเองไหม ว่าไลฟ์สไตล์สุด ๆ เสี่ยง ๆ แบบนี้มันตอบโจทย์ชีวิตของเราจริง ๆ หรือเปล่า? เราเหนื่อยบ้างไหมกับไลฟ์สไตล์แบบนี้? เคยทำงานหนักจนไม่ได้เที่ยว หรือเที่ยวหนักจนทำงานไม่ได้หรือเปล่า? จะดีแค่ไหนถ้าเราทำงานได้ เล่นได้ โดยไม่ต้องสุดลิ่มทิ่มประตู แต่ทำทั้งสองอย่างให้กลมกลืนแล้วเหลือพื้นที่ตรงกลางไว้หยุดพัก ก็เพราะชีวิตมีแค่ครั้งเดียว เราถึงต้องใช้ให้ดี และเราเชื่อว่า “ชีวิตดีเรามีได้”
เมื่อปัญหาพุ่งดิ่งมาอยู่ตรงหน้าเราแล้ว นอกเหนือจากการคิดวิเคราะห์แยกแยะเสาะหาหนทางแก้ปัญหาให้ได้อย่างรวดเร็วแล้ว การรับมืออย่างฉับพลันและง่ายที่สุดที่ผู้ชายอย่างเราต้องเผชิญหน้าก็คือการรับมือด้วยปากของเรานั่นเอง UNLOCKMEN ไม่ได้บอกให้คุณยื่นปากไปรับปัญหา แต่เรากำลังหมายถึงคำพูดที่เราสามารถพูดออกไปเพื่อรับมือก่อนได้ แต่ถ้ากลัวคำพูดที่เราพูดออกไปจะไม่แกร่งพอ วันนี้ UNLOCKMEN รวบรวมวลีเด็ดจากนายกรัฐมนตรีไทยที่เป็นวลีสุดดังที่ใคร ๆ ก็พูดถึง หรือวลีติดปากที่อดีตนายกฯ พูดเป็นประจำ คำพูดไหนเห็นว่าดีเราก็เลือกไปใช้ คำไหนที่เราอ่านแล้วต้องส่ายหัวก็ปัดทิ้งไป จะได้รู้ว่านักการเมืองสไตล์เขาแก้ปัญหาด้วยคำพูดกันแบบไหน และแบบไหนที่เวิร์คแบบไหนที่แหวะกันแน่? พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ: “โน พลอมแพลม (No Problem)” พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ของประเทศ ที่ได้ฉายาขณะดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีว่า “น้าชาติมาดนักซิ่ง” เพราะขี่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คันใหญ่โตไม่เข้ากับการเป็นนายกรัฐมนตรีเอาเสียเลย แต่ UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าความเท่ไม่เข้าใครออกใครเสียหน่อย เป็นนายกขี่มอเตอรไซค์คันใหญ่ สำหรับเรานี่โคตรเท่สมกับฉายามาดนักซิ่งสุด ๆ วลีที่พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ใช้ตอบกับนักข่าว เมื่อถูกถามถึงสิ่งต่าง ๆ ก็เท่ ๆ สบาย ๆ สไตล์นักซิ่ง เพราะเป็นคำว่า No Problem ไม่มีปัญหา!
สำหรับคนที่เริ่มศึกษาเรื่องราวการลงทุน ค้นหาข้อมูลอัพเดตการลงทุนในอินเตอร์เน็ตในช่วงนี้ คงมีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเพจ “ลงทุนแมน” เพจการลงทุนที่เล่าเรื่องธุรกิจการลงทุน ข้อมูลบริษัท ตัวเลข งบการเงินมากมายให้สนุก และอ่านเข้าใจได้ง่ายมาก ๆ ซึ่งทีมงาน UNLOCKMEN เองก็เป็นหนึ่งในแฟนเพจที่ติดตามตั้งแต่ในเพจมีคนอยู่เพียงหลักพัน ซึ่งเวลาเพียงไม่นานจนถึงตอนนี้ เพจลงทุนแมนมีคนติดตามมากกว่าสามแสนคน อะไรเป็นจุดแข็งให้ผู้ติดตามเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แนวคิดการลงทุนให้ประสบความสำเร็จในสไตล์ของลงทุนแมนเป็นอย่างไร เรารู้ว่าคุณก็อยากรู้เหมือนเรา ลงทุนแมนเริ่มต้นได้อย่างไร อะไรเป็นแรงจูงใจในการทำเพจนี้ ต้องบอกก่อนว่า เราชอบเรื่องการลงทุนเป็นอย่างมาก เลยอยากลองแชร์เรื่องราวการลงทุนในภาษาที่เข้าใจง่าย จึงได้เริ่มลองทำเพจ “ลงทุนแมน” นี้ขึ้นมาเพื่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจการลงทุน ซึ่งตอนแรกที่เขียนก็แปลกใจว่าทำไมคนแชร์กันมาก ก็เลยลองเขียนดูอีก ปรากฏว่าคนแชร์กันมากอีก สุดท้ายจากการตอบรับของคนอ่านที่มีมากมายเกินที่คาดคิด จึงเป็นแรงจูงใจให้ตั้งใจทำเพจนี้เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้การลงทุนอย่างจริงจังขึ้นมา ทำเพจมาไม่นาน แต่มียอด Follower เยอะมาก คิดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คนติดตามมากขนาดนี้ สาเหตุที่ยอด follower เยอะ คงไปตอบแทนคนที่ติดตามไม่ได้ แต่ถ้าจะให้เดาจากคนที่มาคอมเมนต์ คงเป็นเพราะการเล่าเรื่องที่อ่านและเข้าใจง่าย เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจใกล้ตัวเขา เป็นเรื่องที่เขาก็อยากรู้ แต่ไม่เคยมีใครมาหาข้อมูลให้ สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเขาได้ประโยชน์จากความรู้ที่เราหามาให้ เขาเลยเลือกที่จะติดตาม เพื่ออยากได้ความรู้แบบนี้อีก จุดเด่นของลงทุนแมน ที่ต่างจากเพจการลงทุนอื่น ๆ คืออะไร ลงทุนแมนไม่เหมือนเพจอื่นตรงที่ ไม่ได้โฟกัสแค่เรื่องหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้เชียร์หุ้น
ถ้าคุณกำลังเหี่ยวเฉาเป็นผักในตะกร้าที่ถูกทิ้งค้างคืนไว้สามวัน ถ้าคุณกำลังหมดหวังเหมือนชีวิตจะไม่มีการเริ่มต้นใหม่ ๆ อะไรใหม่ ๆ อีกแล้ว ถ้าคุณกำลังรู้สึกว่าโลกใบนี้ช่างน่าเหนื่อยหน่ายจนอยากจะนอนอยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรให้รู้แล้วรู้รอดไป คุณมาถูกทางแล้วเพราะวันนี้ UNLOCKMEN เป็นห่วงผู้ชายแห้งเหี่ยวที่ขาดแคลนแรงบันดาลใจดี ๆ เราเลยอาสาหอบเอา TED Talks ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าคุณพร้อมจะฮึดก้าวต่อไปทำอะไรบางอย่าง รู้สึกว่ามีความหวัง รู้สึกว่าได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มองตัวเองแบบใหม่ ดังนั้นอย่ารอช้ามาตะลุยฟัง ตะลุยเรียนรู้ ตะลุยหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ไปพร้อม ๆ กันดีกว่า TED’s secret to great public speaking เราทุกคนล้วนต้องเคยพรีเซนต์งาน พูดในที่สาธารณะ หรือแสดงปาฐกถาเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อหน้าคนสักกลุ่มมาแล้ว แค่ปัญหามือสั่นเป็นเจ้าเข้า ลิ้นพันกันสิบตลบจนพูดไม่รู้เรื่องก็หนักหนามากพอตัวอยู่แล้ว แล้วปัญหาสุดยิ่งใหญ่อย่างการพูดอย่างไรให้มันฟังดูแล้วทุกคนพูดตรงกันว่านี่โคตรเจ๋งเลยก็เป็นอีกเรื่องที่เราแทบจะไม่มีเวลามาคิดถึงเลย แต่ไม่ต้องห่วงไปเพราะวันนี้ Chris Anderson ผู้เป็นคิวเรเตอร์และได้นักฟังคนพูดเจ๋ง ๆ ในงาน TED Talks มากว่า 12 ปี
คงไม่มีใครชอบการทำงานอืดเอื่อยสุดล่าช้าของคนในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นคนในทีมด้วยกัน หรือลูกน้องที่คอยรับคำสั่งจากเรา เพราะการทำงานต้องการการเคลื่อนไปข้างหน้าอยู่เสมอ จะให้มานั่งรอคนคนเดียวคงไม่ส่งผลดีแน่ แต่ในทางกลับกันคนในองค์กรที่ทำงานอย่ารวดเร็ว ฉับไว เพื่อให้ได้ชื่อว่า ‘ทำงานเสร็จรวดเร็ว’ ทั้ง ๆ ที่การทำงานนั้นบางครั้งเกิดข้อผิดพลาด หรือสร้างความบกพร่องรุนแรงไว้ให้กับองค์กรอย่างไม่ทันรู้ตัวก็ไม่เป็นผลดีเช่นกัน ปัญหาก็คือผู้คนในองค์กรต่างชื่นชมการทำงานอย่างเร่งด่วนรวดเร็วราวกับคนคนนั้นเป็นฮีโร่ขององค์กรอยู่เสมอ แม้ผลที่ออกมาจะมีความผิดพลาดตามมาก็ตาม แต่เราก็จะยกย่องว่าการทำงานรวดเร็วคือสุดยอดความเจ๋ง แถมไม่แม้แต่จะมองว่านี่แหละคือปัญหาขององค์กรอีกปัญหาหนึ่ง! ก็แน่ล่ะใครจะมองว่าการที่พนักงานคนหนึ่งหรือคนหนึ่งในทีมรีบทำงานให้เสร็จลุล่วงจะถูกนับเป็นปัญหาการจัดการในองค์กรไปด้วย แต่จากรายงานเปิดเผยว่าแต่ละองค์กรต้องสูญเสียเงินจำนวนมากไปกับการตัดสินใจหรือทำอะไรอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ได้ชื่อว่าเสร็จ ๆ ไปก่อน แต่ทิ้งความผิดพลาดเอาไว้ อย่างไรก็ตามคนในทีมที่ทำงานแบบเร่งด่วนก็มักจะเป็นคนคนเดียวกับที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นเราก็ต้องระมัดระวังการบอกเขามากที่สุดเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของทีมเช่นกัน วิธีต่อไปนี้จึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยจัดการคนในทีมที่ออกแนวด่วนแต่สะเพร่าได้ดีพอสมควร ช่วยให้เขามองเห็นว่าการกระทำของเขามีผลต่อคนอื่นอย่างไร หลายครั้งที่คนทำงานด่วน งานเร็ว มองเห็นแต่เป้าหมายของตัวเอง จนอยากรีบทำทุกอย่างให้เสร็จ ๆ ไปเพื่อให้ได้ชื่อว่าทำงานเสร็จ แล้วปัดงานนั้นให้พ้นตัวเพื่อให้คนอื่นนั้นรับช่วงงานต่อต่อไป การทำแบบนั้นไม่ได้มีอะไรผิดต่อการทำงานส่วนตัวแต่อย่างใด (ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด) แต่ในฐานะการทำงานเป็นทีมการทำแล้วปัด ๆ ส่งไปไม่มีผลดีต่อความร่วมมือกันเป็นแน่ ดังนั้นต้องทำอย่างไรเพื่อให้เขาเห็นว่านี่คือการทำงานเป็นทีม เป้าหมายคือเป้าหมายของทีมร่วมกันไม่ใช่งานของเขาคนเดียวที่ทำแล้วจบไป ที่สำคัญคนในทีมต้องรู้จักชมผลงานของเขาในแง่กระบวนการการทำ ไม่ใช่ชมแค่ผลงานของเขาที่เขาทำเสร็จแล้ว และชี้ให้เห็นว่าการทำงานของเขาไม่ได้มีค่าแค่ต่อตัวเอง แต่ส่งผลในฐานะความเป็นทีมอย่างไร ให้เขาระบุผลของการกระทำของเขาออกมา บางทีการชี้ให้เห็นอาจไม่มากเพียงพอ เราอาจต้องช่วยกระตุ้นให้เขาเห็นว่าการกระทำของเขาส่งผลกระทบอะไรตามมาบ้าง เพราะเขาอาจเห็นแต่ข้อดีที่ทุกคนชมเขา (หรือเขาเห็นเอง) ว่าเขาทำงานเสร็จเร็ว ตัดสินใจได้ด่วนกว่าคนอื่น แต่เขาไม่เคยมองเห็นว่าข้อผิดพลาดที่เกิดจากการทำงานเร็วเกินไปคืออะไร ดังนั้นเราต้องกระตุ้นให้เขาหาให้เจอให้ได้ว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมันคืออะไร มันเกิดจากอะไร
งานต่อให้เรารักแค่ไหน แต่ทำไปทำมาเมื่อมันเริ่มวนลูปเดิม ๆ เจอปัญหาเก่า ๆ ที่แก้แล้วแก้อีกก็ยังวนกลับมาไม่หยุด คนเราก็ต้องมีเบื่อบ้าง หรือบางคนอาจจะเบื่อจนอยากร้องตะโกนโวยวายทุกครั้งที่ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วรู้ว่าต้องไปทำงาน ถ้ามันจะเบื่อขนาดนั้นแล้วล่ะก็ UNLOCKMEN เห็นว่าไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลยไปแล้วคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ UNLOCKMEN เสนอว่ามันพอมี 5 วิธีเล็ก ๆ น้อยให้ลองทำดูเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง งานมีไว้ทำแค่ที่ทำงาน แม้จะดูเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเย็นเหลือเกิน แต่ถ้าชีวิตเดินทางมาถึงจุดที่การต้องตื่นไปทำงานทุกวันทำให้คุณรู้สึกเหมือนโลกจะแตกสลาย หรือถ้าโลกแตกสลายลงก็ยังดีกว่าต้องแบกร่างไร้วิญญานไปทำงานแล้วล่ะก็ นี่ก็อาจเป็นกลยุทธแรก ๆ ที่คุณไม่ควรมองข้าม คุณเข้างานตรงเวลาก็ควรเลิกงานตรงเวลา ปล่อยให้งานอยู่แค่ที่ทำงานเท่านั้น ทันทีที่คุณเลิกงานคุณควรปล่อยวาง เลิกคิดว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไร มีอะไรที่คั่งค้าง แล้วใช้เวลากับการพักผ่อนให้เต็มที่ อีเมลงานก็ปล่อยไว้ก่อนเพื่อรักษาสุขภาพจิตของตัวเองสักระยะ แล้วค่อยมาเช็คอีเมลทันทีที่เวลาเริ่มงานตอนเช้าเริ่มต้นก็ไม่เสียหาย สมองคุณจะได้แยกแยะให้ชัดเจนว่าเวลาไหนคือเวลางาน เวลาไหนคือเวลาที่ได้พักผ่อนเต็มที่เพื่อชาร์จพลังไว้สู้กับงานในเวลางานได้อย่างเต็มกำลังนั่นเอง ออกไปพักผ่อนเสียบ้าง อีกสาเหตุที่อาจทำให้คุณรู้สึกหมดอาลัยตายอยากกับการทำงานเหลือเกิน อาจเป็นเพราะว่าคุณรู้สึกว่าชีวิตนี้ของคุณมันไม่มีอะไรหลงเหลือให้รอคอยอยู่อีกแล้วนอกจากงาน งาน และงาน ถ้าเป็นช่วงที่คุณมีไฟเหลือเฟือ ตะลุยงานได้ไม่มีวันหยุดหย่อนก็ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะคุณจะพร้อมกระโจนใส่งานได้อย่างโคตรบ้าคลั่ง แต่ไม่ใช่กับช่วงหมดไฟ UNLOCKMEN แนะนำว่าคุณต้องการการพักผ่อนอย่างถึงที่สุด อาจจะลาไปพักร้อนสัก 3-4 วันยาว ๆ หรือจะชอบใช้วันหยุดทีละเล็กละน้อย ลาเพิ่มจากวันเสาร์อาทิตย์ไปเลยสัปดาห์ละวัน ก็ได้พักผ่อนแทบทุกอาทิตย์ไปอีกแบบ แต่เรารับรองได้ว่าการชักปลั๊กการทำงานไปพักผ่อนที่จะทำให้คุณลืมเรื่องงานไปได้ชั่วคราวจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้นหลายระดับ หารางวัลไว้หลอกล่อตัวเอง