ความเป็นผู้นำไม่ได้หล่นมาจากบนฟากฟ้าเสียทีเดียว ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ และอีกหลากหลายส่วนผสมที่ปรุงจนกลมกล่อมลงตัว แต่ขึ้นชื่อว่าผู้นำหลายครั้งก็มาพร้อมกลับคำว่า อำนาจ และอำนาจที่กำอยู่จนล้นมือนั่นเองที่ทำให้ผู้คนในปกครองต่างหวั่นกลัว แต่การทำให้คนกลัวไม่ใช่เป้าหมายหลักของการเป็นผู้นำ วันนี้ UNLOCKMEN เอา 5 ลักษณะของผู้นำที่คนเคารพและเกรงใจมาให้ผู้ชายอย่างคุณลองเช็คดูหน่อยว่าคุณมีความสามารถพอที่จะเป็นผู้นำที่มีคุณภาพได้หรือเปล่า ไม่ตัดสินคน เป็นไปได้ว่าประสบการณ์ที่เราเจอคนมาจำนวนมากอาจมีส่วนทำให้เราพอจะมองออกได้ภายในปราดเดียวว่าคนคนหนึ่งที่มีลักษณะอย่างนี้ ลึก ๆ แล้วจะมีนิสัยใจคอที่ซ่อนไว้เป็นอย่างไร แต่ทั้งหมดที่เราผ่านมาไม่ได้แปลว่าจะตัดสินเหตุการณ์หรือคนตรงหน้าได้เสมอไป คนที่จะเป็นผู้นำที่ได้ความเคารพรักจากคนได้ จึงไม่มีนิสัยการตัดสินคนแค่มองเพียงปราดเดียว แต่ต้องมองให้ลึกซึ้งไปกว่านั้น ให้เวลา เหตุผล การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์มากกว่าจะตัดสินเขาแค่เพราะเขาดูคล้ายกับคนบางคนที่เราเคยเจอมา รับฟังทุกความเห็นที่แตกต่าง เราอาจจะไม่เข้าใจทุกอย่างที่เขาเป็น ทุกอย่างที่เขาคิด หรือทุกอย่างที่เขาทำ แต่เราสามารถรับฟังเขาก่อนได้ ก่อนที่เราจะตัดสินเขา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ผู้นำที่รับฟังความคิดของคนในปกครอง นอกจากจะจะได้ใจไปเต็ม ๆ ยังสร้างระบบการปกครองที่เป็นเหตุเป็นผล สร้างความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจของทีมที่จะไม่มองหัวหน้าว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชาไว้บนหิ้งแต่ไม่สามารถพูดคุยด้วยได้ เคารพความเป็นส่วนตัวของลูกน้อง การเป็นผู้นำทีม ผู้นำองค์กร หรือผู้นำอะไรก็ตาม ไม่ได้แปลว่าคุณเป็นเจ้าของชีวิตคนภายใต้ปกครองของคุณ เป็นเรื่องดีที่ถ้าเขาจะเล่าอะไรให้คุณฟัง แต่ผู้นำที่จะสร้างความรัก เคารพ และความเชื่อใจ ต้องเป็นผู้นำที่ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของลูกน้อง ทั้งชีวิตส่วนตัวที่เขาไม่อยากบอก วันลาพักผ่อนที่เขาลาอย่างถูกต้องตามกฏบริษัทแล้ว ควรมีระยะห่างที่พอดีไม่รุกล้ำเข้าไปในที่ที่ไม่เกี่ยวกับการทำงานโดยตรง วางอำนาจทิ้งไป แล้วใช้เหตุผลเข้าว่า อำนาจจากการบังคับให้กลัวเป็นอำนาจที่ไม่ยั่งยืนเท่าไหร่ หรือต่อให้ได้มาก็ยิ่งมีแต่ทำให้ร้อนใจ
หากพูดถึง TOYOTA หลายคนอาจนึกถึงแบรนด์รถยนต์ แต่นอกจากนั้นแล้ว TOYOTA ยังมีธุรกิจอีกหลายแขนง ซึ่งหนึ่งในชื่อที่คุ้นหูกันมากหน่อยก็คือ ‘Toyota Tsusho’ ผู้นำธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เครื่องอุปโภค-บริโภค นำเข้า-ส่งออก ฯลฯ ที่ก่อตั้งร่วมกับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นเมื่อ 60 ปีก่อน เป็นบริษัทที่ยึดคติในการทำงานตามแบบ Learning by doing เรียนรู้โดยลงมือทำ ได้เห็นภาพรวมการทำงานเข้าใจอย่างแท้จริง รวมทั้งการบริหารผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความเป็นกันเอง ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ UNLOCKMEN มีโอกาสได้ร่วมพูดคุยกับ คุณก้อง – กณพ เชาว์วิศิษฐ ผู้บริหารหนุ่มรุ่นใหม่ ทายาทรุ่นที่ 3 แห่ง Toyota Tsusho (Thailand) เกี่ยวกับแนวคิดการบริหาร และการเรียนรู้อยู่เสมอ เพื่อปรับใช้ในการบริหารงานและบาลานซ์ชีวิตครอบครัวให้ประสบความสำเร็จทั้งสองด้าน ต้องบอกเลยว่าจากการพูดคุย ทำให้เราได้แนวคิดที่มีประโยชน์มากมาย ซึ่งสามารถนำไอเดีย มุมมองดี ๆ ไปปรับใช้ให้เข้ากับการบาลานซ์ชีวิตของพวกเรา เพื่อจะได้พัฒนาขีดความสามารถในการทำงาน และแบ่งเวลาส่วนตัวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อได้ยินชื่อ Toyota สิ่งแรกที่นึกถึงคือแบรนด์รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลก แล้วบริษัท Toyota Tsusho (Thailand) จำกัด นั้นมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ใคร ๆ ก็อยากมีธุรกิจของตนเอง อยากทำสิ่งที่เรารัก อยากมีบริษัท มีแบรนด์ของตัวเอง อยากมีชื่อเสียง แต่กว่าที่จะประสบความสำเร็จมีธุรกิจของตัวเองนั้น ชีวิตจริง มันอาจไม่ได้โรยไปด้วยดอกกุหลาบ ไม่ง่ายเหมือนหนังสือบนแผง ที่ชวนลาออกมาทำสิ่งที่เรารักให้สำเร็จได้ง่าย ๆ “ความมุ่งมั่น ความพยายามอย่างไม่หยุดยั้ง กล้าเผชิญกับปัญหา มีเป้าหมายที่ชัดเจน มีการวางแผนสู้เป้าหมายเป็นอย่างดีเป็นสิ่งจำเป็น” UNLOCKMEN เอง กว่าจะพยายามจนถึงวันนี้ ที่มีแฟนเพจใจดีติดตามมากมาย ก็ต้องใช้ความมานะพยายามอย่างเต็มที่ วันนี้เราจึงไม่พลาด ที่จะนำแนวคิดดี ๆ จากผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จมาแชร์กัน ให้เป็นแรงบันดาลใจดี ๆ ในการเริ่มลงมือทำสิ่งที่ตั้งใจ ASK MY BRO : จากการได้ทำธุรกิจของตัวเองที่ผ่านมา มีบทเรียนหรือแนวคิดการทำธุรกิจอย่างไรให้ประสบความสำเร็จมาฝากคนรุ่นใหม่ ที่กำลังคิดอยากจะมีธุรกิจของตัวเองบ้าง ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา, STOCK2MORROW เราอยู่ในยุคสวรรค์ของผู้บริโภค คือเมื่อมี Pain Point หรือปัญหาในการใช้ชีวิตอะไร ก็จะมีคนสร้างธุรกิจมาแก้ปัญหาตรงนั้นให้จบไป เป็นยุคของการเลิกบ่นเลิกตัดพ้อในปัญหาจุก ๆ จิก ๆ แต่สามารถเปลี่ยนปัญหาเป็นโอกาสในทางธุรกิจได้ ยุคที่ธุรกิจสามารถเติบโตเร็วในชั่วข้ามคืนพร้อม ๆ
กระแสของ Crypto Currency หรือสกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะ Bitcoin กำลังเป็นที่พูดถึงกันหนาหู จากที่เป็นหัวข้อคุยเฉพาะชาวสตาร์ทอัพ หรือ Geek IT แต่ด้วยราคาที่พุ่งชนิดฉุดไม่อยู่ ทำให้ชื่อ Crypto Currency เป็นที่คุ้นหูของคนทั่วไปมากขึ้น แต่ข้อสงสัยต่างๆยังมีอยู่มาก เราจึงขอนำมาอธิบายให้เข้าใจพอสังเขปด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุดดังนี้ Crypto Currency คืออะไร? คือเงินสกุลดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นจากการเขียนโค้ดโปรแกรมจึงไม่สามารถจับต้องได้ ต่างจากสกุลเงินปกติที่มีตัวตนจริงๆผ่านเหรียญกษาปณ์และธนบัตร ผู้สร้าง ทำมันขึ้นเพราะอะไร? ผู้สร้าง Bitcoin คนแรก (ต้องบอกว่ายังไม่สามารถระบุตัวตนได้) มีความคิดว่าสกุลเงินปกติทั่วไป (ซึ่งเราเรียกกันว่า Fiat Currency)โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐฯ “ไม่มีความน่าเชื่อถือ” เพราะสามารถพิมพ์ออกมาเท่าไรก็ได้ (จากการทำคิวอีหลังวิกฤตซับไพร์ม) และธนาคารกลางทั่วโลกก็สามารถบริหารจัดการค่าเงินตัวเองได้ไม่ให้แข็งค่าหรืออ่อนเกินไป ใช้ซื้อของได้จริงหรือ? ได้จริง หากร้านค้านั้นๆเปิดรับ ในประเทศไทยเองก็มีร้านอาหารสองร้านที่เปิดรับ Bitcoin ส่วนมากยังเป็นในต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นที่เปิดรับสกุลเงินดิจิทัล ที่พูดๆกันว่า “ขุด” หมายความว่าอย่างไร? คำว่าขุด ถูกเรียกให้เหมือนกับการขุดทองคำ ซึ่งเป็นสกุลเงินหรือสิ่งแลกเปลี่ยนที่นิยมกันในอดีต จริง ๆ แล้วการขุดคือการใช้การ์ดจอหรือ GPU นำมาใช้ประมวลผลเพื่อ “ถอดรหัส”
เราต่างประสบปัญหาหัวร้อนเป็นไฟกันมาแล้วเมื่อต้องถกเถียงกับใครอย่างดุเดือดผ่านทางช่องการสื่อสารออนไลน์ จนเราพากันคิดว่านี่เราตั้งสเตตัสอธิบายยาวเหยียดก็แล้ว ส่งข้อความไปคุยด้วยก็แล้ว ทำไมยังเถียงกันไม่จบ แถมอีกฝั่งก็ไม่ได้ดูมีทีท่าว่าจะเข้าใจเรามากขึ้นเลย UNLOCKMEN ขอเสนอตัวหยุดความหัวร้อนเป็นไฟไว้ให้ แล้วเอา 3 วิธีทำให้เขาฟังเราอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมาฝาก 3 วิธีหยุดวามหัวร้อนเป็นไฟแล้วทำให้เขาหันมารับฟังเราอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นมาลอย ๆ แต่เป็นงานวิจัยที่ผ่านการศึกษามาแล้วอย่างจริงจังโดย Juliana Schroeder ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการจัดการองค์กรที่ Haas School of Business, University of California, Berkeley Juliana Schroeder ศึกษาเรื่องการมีข้อถกเถียงระหว่างกันโดยศึกษาคน 300 คน ซึ่งทั้ง 300 คนนั้นถูกขอให้ร่วมดู ร่วมฟัง และร่วมอ่านข้อถกเถียงต่าง ๆ เช่น เรื่องการทำแท้ง เรื่องสงคราม เรื่องเพลง (โดยอาจจะเป็นเรื่องที่เขาเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้) ผลปรากฏว่าการถกเถียงกันแต่ละครั้งและมีแนวโน้มที่จะทำให้อีกฝ่ายหันมารับฟังเราหรือเข้าใจเราได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่การเถียงกันผ่านตัวอักษรอย่างการอ่านหรือเขียน แต่เป็นด้วยการดู การพูดหรือการฟังมากกว่า ข้อสรุปจากงานวิจัยของ Juliana Schroeder จึงมีความสำคัญต่อผู้ชายหัวร้อนอย่างเรามาก เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้ว่าเราควรสื่อสารผ่านทางช่องทางไหนเมื่อต้องการโน้มน้าวใจคนที่เขาไม่เห็นด้วยกับเรา โดยเฉพาะการเจรจาทางธุรกิจ ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าคุณจะส่งข้อความคุยกันเฉย ๆ ไม่ได้
‘คุณถูกไล่ออก’ เราเชื่อว่าทุกคนคงไม่อยากที่จะได้ยินคำนี้ แต่ถ้าวันหนึ่งมันเกิดขึ้นกับตัวเราล่ะ จะทำอย่างไร เพราะชีวิตการทำงานไม่มีอะไรที่มันแน่นอนอยู่แล้ว ก่อนอื่นหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวคุณ ขอให้ตั้งสติเสียก่อน อย่าคิดว่ามันเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิต การโดนไล่ออก ให้ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญอย่างหนึ่งในชีวิต ซึ่งบางครั้ง คนเราอาจจะซวยถึงขั้นต้องเจอกับเรื่องเหล่านี้บ้าง ซึ่งมันคงต้องแย่หรือซวยสุด ๆ แต่ถ้ามันเกิดขึ้น แล้วเรารู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร ก็ขอให้ใช้มันเป็นบททดสอบในการพัฒนาตัวเองให้ก้าวไปสู่เส้นทางที่ดีกว่าเดิม เชื่อหรือไม่ว่าคนที่ประสบความสำเร็จหลาย ๆ คน ใช้วิกฤตจากจุดนี้เปลี่ยนเป็นโอกาส ถ้าเราอยากที่จะประสบความสำเร็จ บางครั้งก็ต้องละทิ้งความกลัว ความเสียใจ และเริ่มมองหาแง่ดีจากการถูกไล่ออกเพื่อใช้มันเป็นบทเรียนในการพัฒนาตัวเองให้ดีกว่าเดิมซะ Why Getting Fired is a Blessing ? ในทุก ๆ วันมีคนถูกไล่ออกจากงานที่ไหนซักแห่งในโลกเป็นเรื่องปกติ มันไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณแค่คนเดียว และไม่ใช่คนสุดท้าย ถึงแม้ตอนนี้คุณจะรู้สึกมืดแปดด้าน มองไม่เห็นทางออก แต่ทำใจเย็น ๆ ไว้ก่อน ลองมาดู 6 ข้อดีที่มาพร้อมกับการถูกไล่ออก ท่ามกลางความผิดพลาดครั้งใหญ่ เราอาจจะยังพอศึกษาประโยชน์อะไรจากมันได้บ้างไม่มากก็น้อย Chance to Move On คนส่วนใหญ่เมื่อโดนไล่ออกมักจะมีแนวโน้มที่จะหยุดอยู่กับที่ ไม่พร้อมก้าวออกไปไหน หรือทำอะไรต่อไป ซึ่งเป็นผลจากการสูญเสียความมั่นใจครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม
ความคิดสร้างสรรค์กลายเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แทบจะแตะต้องไม่ได้ เรียกว่าไปบีบคั้นมันมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะแหลกสลายลงไปตรงหน้ามากเท่านั้น บางทีเค้นให้ตายก็ไม่ออกมา จนเลือดเราขึ้นหน้าด้วยความโมโห UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าอย่าเพิ่งหัวร้อนไป ความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้ลอยมาจากอากาศ แต่อยู่ที่การฝึกนิสัยให้เราเป็นคนสร้างสรรค์ แล้วจะสร้างฉัน สร้างฝันนั้นให้สำเร็จได้อย่างไร ใช้เวลานานหรือเปล่า เราบอกเลยว่าขอเวลาแค่ 10 นาทีต่อวันเท่านั้น เพื่อฝึกเราเป็นคนใหม่ คิดอะไรสร้างสรรค์กว่าเดิม The Journey of A Man And A Dog การบริหารกล้ามเนื้อส่วนความคิดสร้างสรรค์ ถูกตั้งชื่อตามลักษณะง่าย ๆ แต่ทำได้จริงของมันว่า The Journey of A Man And A Dog มันง่ายสุดง่ายจนผู้ชายทุกคนต้องตะโกนออกมาว่า เฮ้ย รู้อย่างนี้ทำตั้งนานแล้ว! จุดเริ่มต้นของมันอยู่ที่คุณหลับตาแล้วจินตนาการให้ชัดเจนว่ามีผู้ชายหนึ่งคนและหมาหนึ่งตัว จากนั้นค่อย ๆ พิจารณาความสัมพันธ์ของผู้ชายคนนั้นกับหมาหนึ่งตัวในห้วงจินตนาการสุดบรรเจิดของคุณ หมาตัวนั้นมาจากไหนกันนะ? หมาตัวนั้นอยู่กับผู้ชายคนนั้นมานานแค่ไหนกัน? สุนัขตัวนั้นเป็นพันธุ์อะไร? หมาตัวนั้นเป็นของผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า? แล้วทั้งเขาและมันกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนกัน? เริ่มจากคิดถึงรายละเอียดง่าย ๆ พื้นฐานทั้งหมด แต่ครอบคลุมทุก ๆ รายละเอียดเท่าที่เราจะจินตนาการออกในหัว
ผู้ชายอย่างเราล้วนแต่รู้สึกว่ามีงานล้นมือล้นหัวจนต่อให้มี 10 มืออย่างทศกัณฐ์ก็คงแอบบ่นว่าทำไม่หมดอยู่ดี ในทางกลับกัน CEO ระดับโลกอย่าง Elon Musk ล่ะ? งานผู้ชายคนนี้จะล้นมือขนาดไหน? เขาทำบริษัทอะไรบ้าง? โปรเจ็กต์กี่ล้านอย่างในหัว? แล้วเขาทำทั้งหมดนั้นในหนึ่งช่วงชีวิตได้อย่างไร? 85 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ คือเวลาชีวิตที่ Elon Musk มอบให้งาน ถ้าเรารู้สึกว่านักธุรกิจ CEO มหาเศรษฐีอย่าง Elon Musk จะใช้ชีวิตลูกผู้ชายอย่างสุขสบายบนกองเงินกองทองและบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นมาอย่างสุขสบาย เห็นทีจะคิดผิดมหันต์ เพราะไม่ใช่แค่ทำงาน แต่เขาทำงาน 80-85 ชั่วโมงต่อสัปดาห์! จินตนาการถึงการทำงานประจำของคนทั่วไปอย่างเรา ๆ กันดูหน่อยไหม? เราทำงานวันละ 8 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 วันต่อสัปดาห์ ก็เท่ากับว่าในแต่ละสัปดาห์เราทำงานเพียง 40 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ใน 40 ชั่วโมงของเราก็เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า การรู้สึกว่าทำงานไม่ทันจนอยากจะลาออกจากความเป็นเราอยู่ร่ำ ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ แล้ว Elon Musk ทำอย่างนั้นได้อย่างไร? นอกจากการนอนเป็นเวลาแค่ 6 ชั่วโมง
ในวันที่ทุกอย่างดูช้า ไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับร่างกายไปทำอะไรที่ควรทำ เหมือนไฟในใจมันมอดหมดไปยังไงบอกไม่ถูก ต่อให้เป็นยอดคนก็คงต้องเจอกับช่วงจังหวะแบบนี้อยู่บ้างแน่นอน เชื่อหรือไม่ว่า นอกจากดื่มกาแฟเข้ม ๆ หาเครื่องดื่มบำรุงกำลังอัดให้คึกคักอยากทำงาน เสียงดนตรีในจังหวะที่ถูกใจ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ไฟมันติดได้เหมือนกัน วันนี้เราจึงสร้าง Playlist เจ๋ง ๆ ที่คัดมาแล้วว่า จะช่วยปลุกไฟในการทำงานได้แน่นอน อย่าเพิ่งถามหาหมอนหรือถอดใจในตอนบ่าย เปิดฟัง Playlist นี้ก่อน รับรองว่างานที่กองสุมเต็มโต๊ะ จะหมดไปเมื่อฟังถึงเพลงสุดท้ายพอดี ใครที่สะดวกฟังใน Spotify สามารถเข้าไป Follow Playlist นี้กันได้ง่าย ๆ ที่นี่ Fly Like An Eagle – Steve Miller Band หากคุณเป็นคอซีรี่ส์คงจะพอคุ้นหูกับเพลงนี้อยู่บ้าง จากซีรี่ส์มาแรงอย่าง “Mindhunter” เพลงนี้เป็นเพลง background ในช่วงที่คู่หูของตัวเอกของเรื่อง ต้องตะลอนทำงานด้วยกันแบบทั้งวันทั้งคืน ตื่น ทำงาน กิน นอน วนลูป แบบนี้ไปเรื่อยๆ ฟังเพลงนี้ไปก็อย่าลืมฮึดสู้กับงานให้เหมือนคู่หูจาก Mindhunter กันด้วย
“คนที่ชีวิตเขาสมบูรณ์แบบดีพออยู่แล้ว เขาไม่ต้องพึ่งพาโซเชียลมีเดียแจตลอดเวลาหรอกว่ะ” คุณยังเป็นคนหนึ่งที่เชื่อแนวคิดทำนองนี้แบบไม่ลืมหูลืมตาอยู่หรือเปล่า? UNLOCKMEN อยากกระซิบบอกอย่างสุภาพและมีเหตุผลว่า “นี่ปี 2018 แล้วครับ” โลกกำลังหมุนไปข้างหน้าอย่างเร็วไวไม่หยุดยั้ง ไม่มีความถูกต้องหนึ่งเดียวให้เราเสพอีกต่อไป และโซเชียลมีเดียก็ไม่ใช่ผู้ร้ายทำลายชีวิตอย่างที่เราเชื่อเท่านั้น ความเชื่อที่ว่าถ้าจะให้งานรุ่ง ต้องทิ้งโซเชียลมีเดียให้ร่วงกราวลงไปเท่านั้น มันจะยังเวิร์คอยู่จริง ๆ หรือ? วันนี้ UNLOCKMEN เอาเหตุผลที่ว่าทำไมเราไม่ควรทิ้งโซเชียลมีเดียไว้ข้างหลังถ้าอยากก้าวสุดพลังเรื่องงานไปข้างหน้าได้ไกลกว่าคนอื่น แต่ในฐานะที่ UNLOCKMEN คือเว็บไซต์ที่พาผู้ชายทุกคนก้าวเข้าสู่อณาจักรแห่งคอนเทนต์หลากหลาย ผู้ชายทุกคนคงไม่แปลกใจว่า “โธ่ ก็เป็นเว็บไซต์ที่อยู่บนโลกออนไลน์ ก็ต้องเชียร์โซเชียลมีเดียอยู่แล้วล่ะสิ” เราอยากให้วางความคิดที่เคยมีแล้วทำใจร่ม ๆ เพราะโซเชียลมีเดียไม่ได้เป็นจอมวายร้ายอย่างที่เราเคยเข้าใจเสมอไป จากการศึกษาพบว่าแค่เฉพาะโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊กได้สร้างวงอุตสาหกรรมตลาดงานขนาดยักษ์ โดยมีตำแหน่งงานกว่า 4.5 ล้านตำแหน่งถือกำเนิดขึ้นภายใต้การมีอยู่ของโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่นี้ แต่เดี๋ยวก่อน เราไม่ได้มาโฆษณาตลาดงานให้เฟซบุ๊กแต่อย่างใด แค่อยากบอกผู้ชายทุกคนอย่างใจ ๆ ว่า เฮ้ย โซเชียลมีเดียมันก็มีผลดี ๆ ต่อสัญชาตญานการทำงานของมนุษย์อยู่เหมือนกัน ด้านหนึ่งถึงจะร้าย แต่ภายในคือ “ตัวตน” อีกรูปแบบ “โห เล่นโซเชียลมีเดียขนาดนั้น ระวังเถอะเจ้านายจะมาคอยเช็ค แล้วไม่รับเข้าทำงานเอา!” เราก็ไม่อยากปฏิเสธวิธีคิดแบบนั้นเลยและอยากจะบอกด้วยซ้ำว่านั่นคือเรื่องจริง! แต่การที่มันเป็นเรื่องจริงไม่ได้แปลว่ามันมีแต่ข้อเสีย เพราะแนวคิดว่าโซเชียลมีเดียมีผลต่อการทำงานของเรานั้นคือแนวคิดที่โคตรจะสมเหตุสมผลและเป็นความจริงที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ๆ ในแต่ละวินาทีที่โลกหมุนไป