แรงบันดาลใจการทำงานของคุณคืออะไร? เรามั่นใจว่าถ้าถามคำถามนี้ไปผู้ชายหลายคนต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เดดไลน์” แม้มีเวลาให้เป็นเดือน แต่ถ้าวันกำหนดส่งมันยังไม่เด้งเตือน เราก็ไม่พร้อมกระตือรือร้นเร่งทำแต่อย่างใด ไม่ต้องตกใจไปเพราะใคร ๆ ก็เป็นกัน ตราบใดที่ยังทำงานที่มีคุณภาพและส่งทันกำหนดเวลา UNLOCKMEN ก็เชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ที่สำคัญการปั่นงานแข่งกับเดดไลน์ยังมีประโยชน์ซ่อนไว้แบบที่เราไม่ทันคิดอีกด้วย เวลามีค่าแค่ไหน? การปั่นงานแข่งกับเดดไลน์ทำให้เราเรียนรู้คุณค่าของเวลาได้อย่างมหาศาล ใครที่เคยคิดว่าเวลา 5 นาที 10 นาที ไม่มีความหมาย การปั่นงานแข่งกับเดดไลน์จะทำให้เรารู้ว่าเวลาแม้ 1 นาทีก็มีคุณค่ามากพอที่จะทำให้เราคิด ตริตรอง หรือลงมือทำอะไรได้อีกเยอะ เรียกว่าถ้ายังไม่ใกล้เวลาส่งงาน เราอาจพักสูบบุหรี่ได้คราวละ 15-20 นาที แต่ทันทีที่เดดไลน์จ่อตูดอยู่แล้วเราเชื่อว่าเวลา 1 นาทีของผู้ชายทุกคนจะพุ่งทะยานเพิ่มค่าเพิ่มความหมายไปได้ไกลกว่าที่เราเคยคิดไว้เยอะมาก หาหนทางลัดได้มากขึ้น งานหนึ่งงานเราทุกคนต่างมีวิธีจัดการให้มันเสร็จแตกต่างกันออกไป บางคนอาจใช้กระบวนการที่กินเวลามากหน่อย บางคนอาจใช้วิธีการที่ทุ่มพลังกว่าคนอื่น แต่การทำงานภายใต้เดดไลน์ ถือเป็นการทำงานภายใต้ความกดดันของเวลา จะยิ่งบีบให้เราคิดวิธีที่เร็วที่สุด ดีที่สุด ทรงประสิทธิภาพที่สุดออกมาใช้ เป็นการตัดทางเลือกการทำงานที่เยิ่นเย้อออกไปได้โดยอัตโนมัติ จนเราจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่ามันมีวิธีลัดที่ดีขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย? ศักยภาพที่จริงแท้ซ่อนอยู่ภายใน เมื่อเวลายิ่งกระชั้นชิดเข้ามาทุกที ศักยภาพที่มีในร่างกายเราจะยิ่งพุ่งสูงขึ้น จากเดิมที่เราเคยคิดว่าเราทำงานได้ทีละอย่าง ร่างกายและสมองเราอาจจะ UNLOCK ไปถึงขั้นที่สามารถทำอะไรได้หลายอย่างในคราวเดียว รวมถึงระบบการคำนวณเวลาในหัวที่กดดันตัวเองพร้อม ๆ กันไปด้วย ไหนจะการตรวจตราความเรียบร้อยที่จะปล่อยให้งานหลุดคุณภาพออกไปไม่ได้
การเป็นหัวหน้าหรือคนคุมโปรเจ็คต์อะไรก็ตามไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องทำงานกับคนหลากหลายในการผลิตงานคุณภาพออกมาให้ได้ตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ แถมระหว่างทางก็มีปัญหาเฉพาะหน้าให้แก้ไขตลอด ใครที่อยู่ในตำแหน่งนี้ย่อมรู้ดีว่ามันท้าทายสุด ๆ โดยเฉพาะการบริหารคน ทรัพยากรล้ำค่าที่สุดในวงจรการทำงาน เมื่อมนุษย์เป็นตัวแปรสำคัญแล้ว การจะได้งานที่ยอดเยี่ยมก็ต้องดึงศักยภาพของคนในทีมออกมาให้ได้เต็มที่ ไม่ใช่แค่ put the man on the right job เท่านั้น แต่ยังต้อง unlock thier potential ออกมาให้ได้ นี่คือโจทย์ที่ยากสำหรับใครหลายคน และก็มีหลายคนเช่นกันที่สามารถทำได้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป หนึ่งในนั้นคือคนที่ UNLOCKMEN อยากเล่าเรื่องราวและเทคนิคของเขาในการเค้นความสามารถของคนอื่นออกมา ชายคนนี้คือสุดยอดโปรดิวเซอร์ระดับโลกที่ชื่อว่า Rick Rubin หนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในวงการดนตรี Frederick Jay “Rick” Rubin คือโปรดิวเซอร์รุ่นใหญ่ชาวอเมริกัน อดีตประธานร่วมของ Columbia Records และผู้ร่วมก่อตั้ง Def Jam Records รวมถึง American Recordings ต้องบอกว่ายากมากที่จะหาโปรดิวเซอร์ที่มีเรซูเม่ใกล้เคียงกับเขา Rubin มีส่วนสำคัญมากในการผลักดันให้ดนตรีแนว hip hop ก้าวเข้าสู่ยุคทองในช่วงปลายยุค ’80 เคยช่วยปลุกปั้นศิลปิน hip
การได้ขึ้นเป็นบอสคน นอกจากการทำตามตำแหน่งหน้าที่ที่เรามีแล้ว การดูแลทรัพยากรบุคคลก็เป็นสิ่งสำคัญ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ชายที่น่าเคารพด้วยตำแหน่งและน่านับถือด้วยวิถีลูกผู้ชายที่แท้จริง หลายครั้งที่บอสยุคเรามักบ่นกันว่าคนในทีมไม่มีความอดทนเอะอะ ๆ ก็ลาออก ถ้าเราแค่ปล่อยเขาออกไปแล้วหาคนมาใหม่ก็จบกัน แต่ถ้าเราพิจารณาดูว่าสาเหตุที่คนไม่ทนเป็นเพราะอะไร แล้วจะได้นำมาปรับปรุงต่อไปในอนาคตก็เป็นเรื่องดี ๆ ที่บอสอย่างเราไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว การทำงานซ้ำซาก การทำงานซ้ำ ๆ เดิม ๆ ไปเป็นเวลานานอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่สร้างความเบื่อหน่าย และผู้ทำงานรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้พัฒนาตัวเองเลย จึงเป็นเหตุให้พวกเขาทยอยลาออกกันไปทีละคนสองคน ถ้าเราเป็นบอสที่ไม่ได้อยากปรับอะไรก็อาจจะคิดว่า อ้าว ก็จ้างมาทำงานเดิม ๆ ทำงานเดิม ๆ ก็ต้องทนสิ ถ้าไม่อยากทำก็ลาออกไป เดี๋ยวหาคนใหม่ แบบนี้เราอาจจะต้องหาคนใหม่มาทดแทนไม่จบไม่สิ้น แต่ถ้าอยากตัดไฟตั้งแต่ต้นลมก็จงสร้างความท้าทายให้กับคนในทีมอยู่เสมอ เพราะแม้จะเป็นงานเดิม ๆ แต่ถ้าเพิ่มความท้าทายเข้าไปเรื่อย ๆ ลูกน้องเราก็จะรู้สึกว่าเราให้ความไว้วางใจเขา และเปิดโอกาสให้เขาได้พัฒนาตัวเอง ดังนั้นต่อให้เป็นงานแบบเดิม แต่มีอะไรให้เขาพัฒนาศักยภาพ ไม่จำเจ เขาก็อยากอยู่กับเราไปนาน ๆ แน่นอน ให้ความสำคัญกับเวลาเข้างานมากกว่าเรื่องงาน รู้ว่าความตรงต่อเวลาเป็นเรื่องสำคัญ แต่การทำงานกับคน GEN Y ที่ให้ความสำคัญกับการยืดหยุ่นเรื่องเวลามาก ๆ เราก็จำเป็นต้องปรับตัวตามไปด้วยเพื่อซื้อใจเขาให้อยู่กับเรานานขึ้น แต่ก็ไม่ใช่อยู่ ๆ จะยืดหยุ่นมั่วซั่วตามใจลูกน้อง โดยเราอาจมีกฎว่า
ผู้ชายที่ทำงานก็สุด เล่นก็สุดแบบเรา ๆ เหมือนจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับการออมเงินเสียเหลือเกิน ก็หามาได้มาก ก็อยากจะใช้ไปให้มาก ชีวิตมันต้องสุด! เรื่องการลงทุนต่อยอดเงินก็เรื่องหนึ่ง แต่พอพูดถึงการออมเงินเพื่อเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉิน หรืออยากมีเงินสักก้อนไว้ทำอะไรให้ชื่นใจ ชิล ๆ ไม่ใช่ได้มาใช้ไป แล้วก็หมด ๆ ดูเหมือนจะห่างไกลจากความเป็นจริงไปทุกที ๆ UNLOCKMEN ตบบ่าแสดงความเข้าใจ และขอเสนอ 5 วิธีออมเงินที่จะว่าสไตล์เด็กอนุบาลก็ว่าได้ แต่ผลลัพธ์ออกมาเป็นกอบเป็นกำระดับคนวัยทำงานแน่นอน ไม่ใช้แบงค์ 50 โดยเด็ดขาด! วิธีสุดฮิตที่ผู้หญิงมักทำกัน ผู้ชายอย่างเราอาจจะดูถูกว่า โธ่ มันจะเวิร์คจริง ๆ หรอ แต่ UNLOCKMEN ของนั่งยัน นอนยัน ยืนยันอีกเสียงว่านี่เป็นอีกวิธีที่ได้ผลจริง กระบวนการก็ง่ายแสนง่าย คือ ห้ามใช้ แบงค์ 50 โดยเด็ดขาด! ไม่ว่าจะเจอเจ้าแบงค์สีน้ำเงินฟ้านี้ที่ไหนก็ขอให้พับลงกระเป๋าเงินให้เรียบร้อย แล้วเอาไปหย่อนลงกระปุกที่บ้าน เรารับรองเลยว่าภายในหนึ่งปี คุณจะเป็นผู้ชายที่มีเงินหมื่นเป็นของตัวเองแบบชิล ๆ แน่นอน กินข้าวกลางวันเท่าไหร่เก็บไปเท่านั้น ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ชายที่ชินกับการกินข้าวกล่องเซเว่นฯ มื้อละ 40-50 บาท หรือฝากท้องไว้กับป้าข้าวราดแกงมื้อละ
“ทำงานแบงก์เหรอ น่าเบื่อจะตาย วัน ๆ อยู่แต่กับตัวเลข” นี่คือความคิดแวบแรกของใครหลายคนเวลานึกถึงการทำงานธนาคาร งานที่ต้องอยู่กับตัวเลขทั้งวัน ดูเหมือนไม่ค่อยมีสีสัน และไม่ใช่งานในฝันของคนรุ่นใหม่หากมองจากภายนอก บางคนที่ชอบเรื่องตัวเลข ชอบเรื่องเศรษฐศาสตร์ หรือเรียนจบมาทางด้านการเงินและการธนาคารโดยตรง กลับไม่คิดที่จะสมัครมาทำงานแบงก์ เพราะเชื่อว่างานอื่นน่าจะท้าทายกว่า สนุกกว่า และมีความเชื่อที่ว่าสิ่งแวดล้อมของออฟฟิศสถาบันทางการเงินนั้นมันช่างไม่ทันสมัยเอาเสียเลย แถมไม่รู้จะมีเพื่อนวัยเดียวกันไว้คบหากันนอกเหนือจากเรื่องงานบ้างหรือเปล่า ไม่ใช่ไม่เชื่อถือในชื่อเสียงของธนาคารนะ แต่ขอเป็นลูกค้าดีกว่า ความคิดที่อยากจะเป็นพนักงานแบงก์นั้นดูเหมือนจะน้อยลงทุกที แคมเปญเจ๋ง ๆ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ในฐานะลูกค้าที่มองภาพลักษณ์ของธนาคารในระยะหลังจะเห็นได้ว่า มีแคมเปญเจ๋ง ๆ โดนใจออกมาให้ฮือฮากันมากมาย โดยเฉพาะแคมเปญของธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ที่เรารู้จักกันดี เช่น “แม่มณี Money Solution” นางกวัก QR Code ยุคดิจิทัล ที่ลูกค้าสามารถชำระสินค้าของร้านค้าต่าง ๆ ผ่านทาง QR Code ด้วยแอปฯ SCB EASY ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่นำความเชื่อของคนไทยมาผสมผสานกับเทคโนโลยี ที่ตอบโจทย์ชีวิตผู้ชายยุค slide to unlock อย่างเรา ซึ่งการจะมีแคมเปญผลงานดี
ผู้ชายอย่างเราอยู่ในยุคที่คำว่าสตาร์ตอัพถูกพูดถึงอย่างหนาหู และธุรกิจสตาร์ตอัพในไทยเองก็ถือว่าเป็นรูปแบบธุรกิจที่น่าจับตามองก ด้วยโอกาสที่หลากหลายพุ่งทะลุขีดจำกัด และไลฟ์สไตล์ของคนที่เปลี่ยนไปสู่ยุคดิจิตัล หลายธุรกิจกำลังก้าวไปสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลก UNLOCKMEN ชวนมาดูกันว่า สตาร์ตอัพสัญชาติไทยไหนบ้างที่กำลังมาแรง กำลังไปได้ไกล และน่าจับตามองมากที่สุด สร้างบ้าน ออกแบบ รับเหมา หาช่าง กับ Builk สตาร์ตอัพสัญชาติไทยที่มาแรง และเป็นที่น่าจับตามองมากที่สุดในตอนนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Builk เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางสำหรับวงการธุรกิจก่อสร้าง เป็นศูนย์รวมของ ช่าง ผู้รับเหมา สถาปนิก อสังหาริมทรัพย์ ลูกค้า และผู้ที่อยู่ในแวดวงก่อสร้างให้เข้ามาเชื่อมต่อกัน ความพีคทะลุปล้องของ Builk คือมีโปรแกรมควบคุมต้นทุนงานก่อสร้าง มีแบบฟอร์มให้ใช้ฟรี และบริษัทก็สามารถสร้างโปรไฟล์เพื่อนคอนเน็คกับลูกค้าได้ฟรี ๆ อีกด้วย ปัจจุบัน Builk ขยายการบริการไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว เมียนมาร์ กัมพูชา อินโดนีเซีย และช่วยให้ธุรกิจก่อสร้างได้คุมโปรเจ็กต์มูลค่ารวมกว่า 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โคตรเทพใช่ไหมล่ะ? ปาร์ตี้วนไป กับ Wishbeer ส่งเบียร์ถึงหน้าบ้านคุณ แม้ว่าในบ้านเรากฎหมายเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะแรงใช่เล่น แต่ก็คงไม่แรงเท่าการแข่งขันของตลาดเบียร์สุดดุเดือดเลือดพล่าน ยิ่งกระแสคราฟต์เบียร์กำลังมาแรงแบบนี้ Wishbeer บริษัทนำเข้าและจัดส่งเบียร์ถึงบ้าน
ในวันที่เรื่องดราม่าไม่ได้หยุดอยู่แค่ในชีวิตจริง แต่พันพัวมั่วซั่วได้แม้ในโลกโซเชียลฯ แถมดราม่าในอินเตอร์เน็ตนั้นซับซ้อนเข้าไปใหญ่เพราะกระจายสู่คนได้กว้างกว่า ไกลกว่า แถมคนแสดงความคิดเห็นได้หลากหลายมากกว่า ที่สำคัญคนยังลืมได้ยากมากขึ้นเพราะข้อมูลมันถูกส่งไปอยู่บนอินเตอร์เน็ตแล้ว ก็มีแนวโน้มว่าเรื่องดราม่าของเราจะคงอยู่ไปตลอดกาล ดังนั้น UNLOCKMEN ขอเสนอหน้าชี้หนทางว่าอะไรที่ไม่ควรทำเด็ดขาดเมื่อมีดราม่าเป็นของตัวเอง เพื่อให้ดราม่าจบลงแบบไม่แย่จนเกินไป อย่าหัวร้อน มือไว พิมพ์อะไรแบบไม่คิด เมื่อเกิดดราม่าสุดซับซ้อนในชีวิตเราขึ้นแล้ว อย่างแรกที่ต้องทำคือตั้งสติให้มั่น อย่าปล่อยให้หัวร้อนเป็นไฟแล้วมือไวใจเร็วด่าโต้ตอบกลับไปแบบไม่ใช้สมองคิด เพราะวิธีนี้มีแต่จะทำให้เรื่องราวเลวร้ายเข้าไปใหญ่ วิธีที่ดีที่สุดที่ UNLOCKMEN ขอแนะนำคืออยู่นิ่ง ๆ เข้าไว้ จะโต้ตอบอะไรก็ขอให้ผ่านการคิดตริตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วเท่านั้น หรือทางที่ดีไม่โต้ตอบเลยก็คูลเข้าไปใหญ่ ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่คาบเกี่ยวกับกฎหมายด้วยแล้ว ไว้ไปให้การกันในชั้นศาลจะ ๆ ไปเลยจะดีที่สุด อย่าใส่ร้ายคนอื่นด้วยเรื่องโกหก รู้ว่าเวลาเจอดราม่าแล้วมันสุดโกรธ สุดโมโห โดยเฉพาะดราม่าที่มีคู่กรณีชัดเจนด้วยแล้ว มันยิ่งคันไม้คันมืออยากทำให้อีกฝ่ายล่มจมลงไป แต่ถ้าในสมองของเราดันคิดเรื่องเลว ๆ ของเขาไม่ออก แต่ก็ไม่วายอยากแต่งเรื่องโกหกพกลมไว้ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นเขา UNLOCKMEN ขออนุญาตสะกิดแรง ๆ แล้วบอกว่าอย่าทำแบบนั้นเด็ดขาด เพราะยิ่งทำแบบนั้นแล้วคนอื่นจับได้ว่าเราโกหก นอกจากจะพาลโกรธที่เราโกหก ยังพาลไม่เชื่ออะไรที่เราพูดหรือให้เหตุผลอีกต่อไป อย่าลืมว่าไม่ว่าเราจะโกหกเนียนแค่ไหน ความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ ยิ่งถ้าโกหก แต่งเรื่องไม่เนียนด้วยแล้ว ยิ่งจบตั้งแต่ยังไม่ทันอ้าปากเลยทีเดียว อย่าให้เพื่อนปากหมามามีอิทธิพลกับชีวิต สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือจดจำไว้ว่า เพื่อนไม่ดีมีค่าเท่ากับทำให้ดราม่าพังลงไปกว่าเดิม รู้ว่ามีเพื่อนรักเยอะ รู้ว่าเพื่อนอยากให้กำลังใจ
ชีวิตของเรามันเหมือนกับการวิ่งมาราธอน ต้องลากกันยาว ๆ ตัดสินกันแค่การออกตัวจากจุดสตาร์ทไม่ได้ เรื่องความสำเร็จทางการงานก็เช่นกัน สิ่งที่หนุ่ม ๆ first jobber อาจรู้สึกเมื่อก้าวเข้าสู่วิถีมนุษย์เงินเดือนเป็นครั้งแรกก็คือความท้อแท้ ความนอยด์ในการทำงานที่ไม่ใช่ แล้วเราจะไปทางไหนต่อดีหละเห้ย !? ส่วนคนที่เจองานที่โอเคกับใจและปากท้องแล้วเราก็ยินดีด้วย แต่ทีมงาน UNLOCKMEN ก็ยังห่วงคนที่กังวลเรื่องการทำงาน เลยต้องให้กำลังใจด้วยตัวอย่างเจ๋ง ๆ กันหน่อย ลองดูเส้นทางแรก ๆ ของบรรดาชายที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ แล้วจะมีพลังในการหาหนทางสู้ต่อไปขึ้นมาทันที Elon Musk : ผู้ก่อตั้ง Tesla และ SpaceX เรารู้จัก Elon Reeve Musk ในหลายฐานะ ทั้งนักธุรกิจ, นักลงทุน, วิศวกร และนักประดิษฐ์ชาวแอฟริกาใต้–อเมริกัน เขาคือผู้ก่อตั้ง, CEO และหัวหน้าทีมออกแบบของ SpaceX รวมถึงเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง, CEO และนักออกแบบของ Tesla โอ่ห์ เก่งชะมัด แถมจากข้อมูลเมื่อเดือนมกราคม 2561 ที่ผ่านมาระบุว่าเขามีทรัพย์สินรวมกันประมาณ 20.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ
เรามักจะตั้งข้อสงสัยกับตัวเองว่าการทำงานสไตล์ไหนถึงเหมาะสมกับตัวเรา บ้างก็อยากออกมาทำฟรีแลนซ์เพื่อความอิสระ หรือบางคนอาจจะชอบอยู่ในกรอบ safe zone ทำงานเป็นทีมในบริษัท แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นคนแบบไหนทีมงาน UNLOCKMEN ได้มีข้อคิดมานำเสนอให้คุณลองมองในมุมที่ต่างออกไป เนื่องจากการทำงานทุกรูปแบบย่อมมีข้อดี และข้อเสียที่ไม่เหมือนกัน มาดูกันว่าสถานการณ์ไหนการทำงานแบบ Teamwork หรือ Individual ถึงเหมาะจะนำมาใช้และให้ได้ผลลัพธ์การทำงานในแบบที่ต้องการ #INDIVIDUAL เชื่อว่าทุกคนต้องอยากให้ผลลัพธ์ของงานออกมาดีที่สุด แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำงานคนเดียวเพื่อให้ไอเดียออกมาตามความคิดเรา หรือว่าจะทำเป็นทีมเวิร์คดีเพื่อจะได้มีคนมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ถ้าอย่างนั้นเราอยากแนะนำให้ดูที่สไตล์งานและความสามารถของคุณดู เพราะข้อดีของการทำงาน Individual หรือ การทำงานคนเดียวนั้นก็คือ 1. งานที่ได้รับมอบหมายจะเสร็จอย่างรวดเร็ว เนื่องจากคุณไม่ต้องคอยการตัดสินใจจากใครอำนาจสิทธิ์ขาดต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับคุณโดยตรง อีกทั้ง 2. คุณจะได้ใช้ไอเดียของคุณอย่างเต็มที่ ไม่ต้องมีความคิดคนอื่นเข้ามาผสม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณก็จำเป็นจะต้องมีความสามารถด้านนั้นให้เพียงพอที่จะสามารถฉายเดี่ยวได้ 3. คุณจะได้เครดิตเป็นของคุณคนเดียวเต็ม ๆ เพราะว่างานที่เสร็จสมบูรณ์นั้นผ่านจากฝืมือของคุณเท่านั้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความกดดันอันมหาศาลหากชิ้นงานนั้นล้มเหลว ดังนั้นการทำงานแบบฉายเดี่ยวที่ไม่ต้องพึ่งใครอาจจะเหมาะกับสายงานประเภทศิลปิน นักแต่งเพลง โปรแกรมเมอร์ กราฟิกดีไซน์ ที่ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์อะไรมาบีบคั้นมากนัก พอรับบรีฟแล้วก็มานั่งขลุกอยู่กับตัวเองเพื่อสร้างสรรค์งานออกมา แต่ที่สำคัญคือการทำงานคนเดียวคุณต้องคอยกระตุ้นตัวเองอยู่เสมอไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่มีงานป้อนเข้ามาอย่างแน่นอน #Teamwork Teamwork ถือเป็นการทำงานที่เหมาะสำหรับคนที่เริ่มต้นทำงานและอยากจะได้รับความรู้ความก้าวหน้าทางอาชีพการงานอย่างมั่นคง เนื่องจากคุณจะได้เรียนรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้คนมากมายที่มีความสามารถจนนำมาปรับปรุงเป็นสกิลของตนเอง โดยข้อดีของการทำงานเป็นทีมคือ 1. คุณจะรู้จักรับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง เนื่องจากการทำงานเป็นทีมจำเป็นจะต้องแยกตำแหน่งดูแลกันอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดการทับซ้อนของงาน ดังนั้นคุณจะได้โฟกัสกับสิ่งที่ทำอยู่เพื่อไม่ให้ชิ้นงานทั้งหมดมาเกิดปัญหาที่คุณเพียงคนเดียว 2.ถ้าได้ทีมงานดี
บางคนบอกว่า “คนที่ตื่นเช้ากว่ามักจะประสบความสำเร็จ”, “ทำมาก ได้มาก” และ “จงเป็นคนแรกที่มาถึงออฟฟิศและเป็นคนสุดท้ายที่กลับบ้าน” ประโยคเหล่านี้ช่วยปลุกใจผู้ชายอย่างเรา ๆ ให้สู้งานแบบลืมตาย และสร้างแรงบันดาลใจได้ดี แต่บางอย่างถ้ามันตึงเกินไปก็อาจทำให้เราสูญเสียความสุขด้านอื่นในชีวิตได้ นักวิจัยจากหลายสถาบันเห็นพ้องต้องกันว่า ด้วยความที่มีการปลูกฝังมาหลายยุคสมัยว่าผู้ชายต้องสตรองกว่าผู้หญิง ทำให้ผู้ชายมักจะซ่อนความู้สึกอ่อนแอเอาไว้ ไม่ค่อยระบายความในใจออกมา ส่งผลให้หนุ่ม ๆ บางคนไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองต้องผ่อนคลายแล้วนะ รวมถึงไม่ค่อยรู้สาเหตุของความเครียด ยิ่งเป็นคนในเมืองใหญ่ยิ่งมีความกดดันแฝงอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องงาน เคยถามตัวเองบ้างไหม ว่าจริงจังกับการทำงานมากไปหรือเปล่า ? บางทีเราอาจไม่รู้ตัวว่าเราโคตรซีเรียสกับการทำงานจนเป็นชีวิตจิตใจ กว่าจะมองเห็นก็สายไปแล้ว ทีมงาน UNLOCKMEN มีวิธีสำรวจตัวเองว่าทุ่มเทกับงานมากไปหรือไม่แบบง่าย ๆ และมีวิธีปล่อยวางที่ทำได้สบาย ๆ มาให้ลองนำไปปรับใช้กันดูครับ ปิดตัวเองจากสังคม ถ้าในวันหยุดคุณไม่ได้ออกไปไหนกับใครเลย วัน ๆ นั่งมอนิเตอร์งานอยู่หน้าคอมพ์ตลอด ส่วนวันทำงานก็มักจะปฏิเสธคำชวนออกไปทานข้าวเที่ยงจากเพื่อนร่วมงานเพราะคิดว่าภาระตรงหน้าสำคัญกว่า หรือแม้กระทั่งเทเพื่อนที่ชวนไปดื่มหลังเลิกงานบ่อย ๆ ด้วยความรู้สึกว่ามีเรื่องสำคัญกว่านี้ที่ต้องทำอีกเยอะ แบบนี้ คุณกำลังจริงจังเกินไปแล้วครับ ทางออก : คำพูดที่ว่า “แค่ออกไปแฮงเอาท์กับคนอื่น ๆ ซะ” อาจพูดง่ายแต่ทำยากในความเป็นจริงของคนบ้างาน ยิ่งหักดิบด้วยวิธีนี้ยิ่งทำให้กังวลไปใหญ่ ลองดูวิธีง่าย ๆ แบบนี้ดูครับ เวลาเพื่อนร่วมงานชวนไปทานข้าว