สมัครเข้าบริษัทไหน ๆ เขาก็ยืนยันชัดเจนว่าเวลาทำงานต้อง 8 ชัวโมงเป๊ะ บวกกับเวลาพักกินข้าว 1 ชั่วโมง เท่ากับ 9 ชั่วโมงทำงานและพักที่ผู้ชายอย่างเราต้องใช้ไป แต่เคยสงสัยไหมว่าไอ้วิธีการทำงานด้วยสัดส่วนแบบนี้มันเวิร์คจริง ๆ หรือ? มันทำให้ประสิทธิภาพการทำงานพุ่งกระฉูดได้สุดจริงหรือเปล่า? UNLOCKMEN ประกาศตรงนี้เลยแล้วกันว่า “ไม่จริง!” แล้วมันต้องทำงานแบบไหนที่ผู้ชายอย่างเราจะได้งานอย่างจริงจัง? วิธีคิดเรื่องการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันไม่ใช่แค่เป็นความคิดสุดล้าสมัย (ที่ใคร ๆ ก็ยังใช้อยู่) แต่ยังไม่ได้ผลการทำงานอย่างเต็มที่อีกด้วย แต่ถ้าเราสงสัยว่า “อ้าว ถ้ามันไม่เวิร์คแล้วมันมีที่มาจากไหนล่ะ?” คำตอบที่จะมอบให้ก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมช่วง ค.ศ. 1750 ถึง ค.ศ. 1850 นู่นเลย กฎการทำงาน 8 ชั่วโมง ถูกกำหนดขึ้นมาเนื่องจาก แรงงานในโรงงานต้องทำงานห่ามรุ่งหามค่ำอย่างไม่เป็นธรรม การทำงาน 8 ชั่วโมงจึงถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อกำหนดการทำงานอย่างมีมนุษยธรรมมากขึ้น แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันแต่อย่างใด พูดง่าย ๆ ว่าวิธีการทำงานที่คิดขึ้นเมื่อ 2-3 ร้อยปีก่อน นอกจากมันจะไม่เวิร์คแล้ว มันยังฉุดรั้งการทำงานของเราอีกด้วย โดยการศึกษาของบริษัท Draugiem Group
บทความนี้สร้างสรรค์ขึ้นให้กับคนที่ท่อความคิดกำลังตันกระจุกเป็นคอขวดเหมือนการจราจรช่วง prime time แต่เจ้านายดัน assign มาให้ช่วยคิดให้หน่อยเพราะหวังพึ่งความครีเอทของพวกเรา หรือบรรดาฟรีแลนซ์ทั้งหลายที่ลูกค้าแสนดีมีบรีฟแน่นแล้วอยากให้คุณช่วยแปลงบรีฟให้ออกมาเป็นเรื่องเฉียบเหมือนไม่เคยปรากฏมาก่อนในจักรวาลแห่งนี้ ไม่ต้องไปบนบานศาลกล่าวที่ไหน เพราะเราเอามาแบ่งแล้วที่นี่ แต่ก่อนอื่นอธิบายหลักการก่อน ว่าทำไมความคิดตันมันสร้างได้ งานนี้เราไม่ได้มโนขึ้นมาแต่มีวิทยาศาสตร์มารองรับ เขาบอกว่าจริง ๆ แล้วเบื้องหลังความคิดสร้างสรรค์ของเรามันมีที่มา สมองของเราจะมีคลื่นสมองสำหรับสร้างไอเดียที่มีชื่อว่า “Theta wave” (ความถี่ระหว่าง 4 – 7.9 Hz) เป็นคลื่นความถี่ต่ำที่ช่วยสร้างความคิดสร้างสรรค์ เพราะฉะนั้น 4 วิธีที่เราเอามาฝากต่อไปนี้มันก็คือวิธีปลุกขุมพลังสร้างคลื่นความถี่ตัวนี้นั่นเอง 1. ใช้สมอง นั่งสมาธิ วิถีของอิคคิวซังในการ์ตูนมันไม่ใช่เรื่องหลอก การนั่งสมาธิมันจะนำเราไปสู่การสร้าง Theta State ซึ่งพาเราเข้าไปเชื่อมถึงจิตใต้สำนึก แล้วการนั่งสมาธิหรือการตั้งจิตให้เกิดสมาธิมันก็เป็นกิจกรรมที่เราทำได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน ถามว่าเราจะเชื่อมจิตใต้สำนึกไปเพื่ออะไร ก็เพื่อไปค้นไอเดียไง ไอเดียมันซ่อนอยู่ในนั้น แต่แทคติกนี้บอกก่อนว่ามันจะใช้ไม่ได้ถ้าเราเครียด หรือจิตไม่สงบเอาเสียเลย คำเตือนคือข้อนี้ทำงานแบบไก่กับไข่ ว่าง่าย ๆ คือไม่ร้อนรน ปล่อยชิล เดี๋ยวก็ได้ไอเดีย แต่ถ้าใครรู้ตัวว่าฝึกจิตให้ทำงานทันใจไม่ได้ ยิ่งตั้งสมาธิยิ่งชิบหาย แล้วกูก็รีบเหลือเกิน แอบไปฝึกวิธีนี้ที่บ้านตอนว่าง ๆ ให้ชิน
หนึ่งในสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการเริ่มต้นทำงานที่ใหม่ก็คือ ‘เจ้านาย’ ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะไม่ค่อยรู้ว่าหัวหน้าคนใหม่ของเราจะมาในสไตล์ไหนแม้จะเจอกันแล้วตอนสัมภาษณ์ หรือมีคนบอกให้ฟังแล้วคร่าว ๆ แล้วก็ตาม แต่สุดท้ายเราคงต้องรอวันที่ได้ทำงานกับ boss คนนี้ถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร คนที่เจอเจ้านายดี ๆ ก็ถือว่าได้ประสบการณ์ดี ๆ ที่มาพร้อมกับความรู้ หลายคนก็หดหู่เหลือเกินที่ต้องทนกับหัวหน้าฟีลแย่จนตัดสินใจลาออก แถมมีโอกาสซวยซ้ำซ้อนเหมือนกันกับออฟฟิศใหม่ แต่เราอยากจะบอกว่าไม่มีใครเพอร์เฟ็คต์หรอก ทุกคนมีข้อดีข้อเสีย วันหนึ่งหากคุณรู้สึกกังขากับ boss ของคุณขึ้นมา อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ลองสังเกตุดูว่าเขามีคุณสมบัติ 5 ข้อนี้หรือไม่ ถ้ามีครบถ้วน อย่าทิ้งเขาไปเลยครับ อยู่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับหัวหน้าคนนี้จนสุดทางเลยดีกว่า 1.มีศิลปะในการฟัง Peter Drucker ผู้ถูกยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการบริหารยุคใหม่ชาวอเมริกันผู้ล่วงลับเคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดในการสื่อสารก็คือการได้ยินในสิ่งที่ผู้อื่นไม่ได้พูด” การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การพูดเก่งเท่านั้น ถ้าหัวหน้าของคุณเป็นโคตรผู้ฟังที่ดี มีศิลปะในการปกครอง คอยซักถามถึงสิ่งที่ลูกน้องต้องการเสมอ รวมถึงมีความสามารถในการหยั่งรู้และเข้าใจสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในใจผู้อื่นแล้วหละก็ ถือว่าคุณโชคดีมาก ๆ ผู้นำคนไหนที่ใส่ใจฟังเสียงจากใจของลูกน้องก็จะสร้างความเชื่อใจและเรียกความภักดีได้ไม่ยาก 2.เป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยม ทุกวันนี้ความสามารถในการ coaching ถือเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นของผู้นำในบรรดาองค์กรที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด ถ้าหัวหน้าของคุณอุทิศเวลาในการสอนงานและให้คำปรึกษาเรื่องชีวิตกับคุณ รวมถึงเป็นผู้นำที่ดีในการหาทิศทางการทำงาน ประเมินประสิทธิภาพได้เที่ยงตรง และเติมเต็มความสำเร็จให้กับภารกิจต่าง ๆ ให้กับองค์กรได้ แบบนี้ยินดีด้วยครับ ยิ่งหากถ้าคุณเป็นหนุ่ม Millennials
ธรรมดามากกับสถานการณ์นั่งคุยกันมาเป็นชั่วโมง ๆ จับไม่ได้เลยว่าคนนั่งตรงข้ามพูดอะไรบ้าง เพราะออกทะเลเก่งเหลือเกิน หรือรู้จักกันมาก็นาน แต่ไม่เห็นเคยรู้ว่าคน ๆ นั้นเป็นคนยังไงกันแน่ ควรเลิกคบหรือคุยต่อ หรือจะเอายังไงกับมันดี ใครที่นั่งอยู่กับเพื่อนข้าง ๆ แล้วอยากรู้นักว่าแม่งมีดีแค่ไหนเก็บไว้ เราเอาเคล็ดลับคำถามจาก David Burkus นักเขียนและนักทอล์ก Ted ในหัวข้อที่น่าสนใจอย่าง Why you should know how much your coworkers get paid? หรือทำไมเราถึงควรจะรู้ว่าเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ในที่ทำงานได้เงินเดือนเท่าไหร่ (อันนี้ไม่เกี่ยวให้ถือว่าเป็นน้ำจิ้มให้ได้ลองเห็นหน้าค่าตาของเขาไว้) มาแบ่งปันกัน คำถาม 4 ใน 7 ข้อนี้ไล่จากบนลงล่างเป็นของ David Burkus ส่วนอีก 3 ข้อเลือกมาจากแหล่งอื่นที่แม้ว่าจุดประสงค์จะใช้โชว์ความเด็ดเรื่องยุทธศาสตร์หรือวิเคราะห์กึ๋นของคนเข้าทำงาน แต่ UNLOCKMEN มองว่ามันเอามาประยุกต์ใช้ได้หมดแหละ เพราะคำถามที่มันไม่ push หรือกดดันให้ฝั่งตรงข้ามต้องมาอึดอัด มันเหมาะจะใช้ถามได้ทั้งหมดเพื่อให้เราได้มาในสิ่งที่ต้องการคือ ความลับที่ซ่อนในหัวของเขาล้วน ๆ ช่วงนี้มีอะไรทำให้นายตื่นเต้นบ้างไหม
ขึ้นชื่อว่า “ความสำเร็จ” มันก็ได้มาโคตรยากจนเลือดตาแทบกระเด็นอยู่แล้ว แต่ว่ากันว่าทันทีที่เท้าก้าวขึ้นไปแตะยอดเขาแห่งความสำเร็จเมื่อไหร่เป็นต้องหนาวยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลังเมื่อนั้น สมกับที่เขาว่ากันว่า “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” เพื่อนที่เคยร่วมทางมาด้วยกันก็ห่างหาย ไหนจะใครต่อใครที่ต่างกังขาว่าเราสำเร็จมาได้อย่างไร หรืออย่างร้ายที่สุดในชีวิตลูกผู้ชายคือการต้องรับมือกับความอิจฉาจากบรรดาลูกผู้ชายด้วยกันเอง ก่อนจะหดหู่จนไม่อยากก้าวเท้าสู่ความสำเร็จมากไปกว่านี้ UNLOCKMEN อยากเสนอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ให้ เพราะไม่ว่าอะไรก็ต้องมีหวัง วิธีการรับมือกับความสำเร็จก็เช่นกัน และนี่คือ “5 วิธีอยู่กับความสำเร็จที่ได้มาให้ได้” แม้จะยากแค่ไหนก็ต้องสู้ หนีไปจากคอมฟอร์ตโซนซะ! ความสำเร็จมันก็น่ากลัวสำหรับบางคนเหมือนกัน เพราะบางทีมันก็ทำให้เรารู้สึกว่า “เฮ้ย กูสำเร็จแล้วว่ะ กูพอแล้วดีกว่า” หรือไม่ก็ “อุตส่าห์เหนื่อยมาตั้งนานของพักอยู่เฉย ๆ แล้วกัน” เพราะความสำเร็จทำให้เราเหนื่อยหรือรู้สึกว่าเรามาถึงจุดสูงสุดแล้ว เราจึงมักไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไร อยากอยู่กับที่เพราะคิดว่าของเดิมก็ดีอยู่แล้ว แต่ความจริงการออกจากคอมฟอร์ตโซน การลองอะไรใหม่ ๆ ต่างหากที่จะทำให้คุณอยู่รอดได้บนหนทางแห่งความสำเร็จต่อไป มันจะสอนให้คุณเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เรียนรู้ที่จะผิดพลาดอยู่เรื่อย ๆ และการผิดพลาดอยู่เรื่อย ๆ จะทำให้เราเป็นคนเปิดกว้าง นอบน้อม รับฟังคนอื่นที่แม้ไม่สำเร็จเท่าคุณแต่คุณก็ใจกว้างพอจะเปิดรับเขา เป็นเมนเทอร์ให้คนรุ่นใหม่ ๆ การแบกรับความสำเร็จอยู่บนสองบ่าย่อมถูกคาดหวังว่าต้องแบ่งปันทริค แบ่งปันไอเดียที่จะเป็นหนทางสู่ความสำเร็จไปสู่คนอื่นเป็นธรรมดา เราก็แนะนำว่าทำอย่างนั้นแหละถูกต้องแล้วเพื่อน! นอกจากความคูลแล้ว การเป็นเมนเทอร์ผู้อื่นยังทำให้เราได้ทบทวนตัวเอง ทบทวนหนทางที่ผ่านมา และยังได้ความคิดเห็นเฟรช ๆ ใหม่
ชีวิตทำงานของผู้ชายอย่างเราคงไม่ได้ราบรื่นเสมอไป กว่าจะกลายเป็นสุดยอดคนทำงานก็คงต้องฝ่าฟันมหากาพย์อุปสรรคที่ถาโถมเข้ามา อย่างที่เขาว่ากันว่า “ยอดนักรบย่อมมีบาดแผล” และหนึ่งในบาดแผลฉกรรจ์ที่บางท่านเคยเจอมาก็คือการ “โดนไล่ออก” ที่สร้างดาเมจรุนแรงเหลือเกิน เพราะมันกระทบกับหลายแง่มุมในชีวิต ทั้งรายได้ โปรไฟล์ ความมั่นใจ รวมถึงอนาคต ผลสำรวจจาก CareerBuilder และ SHRM บอกกับเราว่า นอกจากสาเหตุสุดคลาสสิคที่ทำให้มนุย์เงินเดือนโดนไล่ออกอย่าง ทำลายทรัพย์สินบริษัท, ใช้ยาเสพติดจนส่งผลกระทบกับงาน, ละเมิดกฎบริษัท, ทุจริต, ทำงานไร้ประสิทธิภาพ และความซวย ยังมีเหตุผลอื่น ๆ ที่ทำให้อาจโดนเด้งได้อีก เช่น โดนจับได้ว่าที่ลาป่วยไปไม่ได้ป่วยจริง, ใช้อินเตอร์เน็ตในออฟฟิศทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่เรื่องงาน, ไม่ตรงต่อเวลาเป็นประจำ, การโพสต์บนโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ไม่เหมาะสม ไม่ก็หายใจทิ้งบ่อย ๆ และสร้างความรำคาญขั้นสุดให้กับเพื่อนร่วมงาน SOURCE เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตาม การโดนไล่ออกมันก็คือความเจ็บปวด มันเป็นบาดแผลลึก แต่มันก็ไม่ถึงตาย ฮึดหน่อยพ่อหนุ่ม ทีมงาน UNLOCKMEN มีวิธีการรับมือกับการโดนซองขาวทุกขั้นตอนมาแนะนำ ตั้งแต่ได้ยินคำว่า “คุณโดนไล่ออก!” จนถึงช่วงแห่งการเยียวยา และฟื้นคืนชีพเข้าสู่โลกการทำงานอีกครั้ง เราเชื่อว่าไม่มีใครควรโชคร้ายแบบนี้ แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ จะได้มีทางลุยต่อ โดนไล่ออกแล้วโว้ย ! ทำไงดีฟะ ?
ความจริงกับความฝันบางทีมันก็ห่างไกลกันเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะเรื่องหน้าที่การงานที่เราฝันมาตั้งแต่เด็กว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” แต่พอโตไป ๆ จริง ๆ ความฝันก็ยิ่งดูห่างไกลมากขึ้น ๆ เท่านั้น การทำงานเลยเป็นไปด้วยความหดหู่ห่อเหี่ยว ตื่นมาแต่ละเช้าเหมือนจะหมดพลัง UNLOCKMEN อยากจะกระซิบบอกว่า เฮ้ย มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอกว่ะ ลองใช้วิธีพวกนี้ดูหน่อยไหม? แบ่งเวลาไปทำสิ่งที่ชอบ บางทีความรับผิดชอบก็ไม่ได้มาพร้อมความฝันและความสนุกเสมอไป การแบ่งเวลาไปทำในสิ่งที่เราชอบจึงเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ เมื่อเครียดกับเวลางานจนปวดสมองไปหมด หลังจากหมดเวลางานก็ไม่ควรเก็บมาคิดเล็กคิดน้อยว่า โธ่ ผมไม่ได้ทำงานที่ผมรักแล้วจมปลักกับมันอยู่อย่างนั้น ให้เอาเวลาไปเติมพลังชีวิตกับสิ่งที่รักที่ชอบดีกว่า เรารับรองว่าช่วยคุณได้ หาอะไรที่เกลียดให้เจอ งานที่ไม่ใช่งานในฝันเพราะมันมีอะไรที่เราไม่อินกับมัน ไม่ชอบกับมันอยู่ แต่ไอ้ “สิ่งที่ไม่ชอบ” มันคืออะไรล่ะ? มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเกลียดทุกภาคส่วนของงาน ดังนั้นจงหาจุดที่เราเกลียดที่สุดให้เจอ เพื่อที่เราจะได้จัดการมันได้ตรงจุด อาจจะดีลกับมันอย่างตรงไปตรงมา หรือเลี่ยงมันให้ไกลที่สุด หรือตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่าทำไมเราไม่ชอบมัน ทำไมเราเกลียดมัน เรียกได้ว่าเผชิญหน้ากับจุดที่เราเกลียดที่สุดเพื่อที่จะเข้าใจว่าเราจะรับมือกับมันได้อย่างไร? ตั้งเป้าหมาย ถ้าเราไม่ได้ทำงานที่ฝัน แปลว่าเรายังมี “งานที่ฝัน” อยู่ ดังนั้นอย่าปล่อยให้ความฝันเป็นแค่ความฝัน ตั้งเป้าหมายเป็นข้อ ๆ ไว้แล้วค่อย ๆ มุ่งไปทีละขั้น ๆ ยิ่งเราทำสำเร็จทีละข้อทีละขั้นก็แปลว่าเราใกล้ฝันเข้าไปเรื่อย ๆ โดยอาจไม่จำเป็นต้องรบกวนเวลาทำงาน
ไม่มีใครเป็นคนขี้แพ้ตั้งแต่เกิด แต่บ่อยครั้งที่เราทำอะไรเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้นสักที คนรอบข้างก็เคารพสิ่งที่เราทำน้อยลงเรื่อย ๆ ยิ่งก้าวไปข้างหน้าก็ยิ่งหาหนทางไม่เจอ จะย้อนกลับไปก็มืดดำจนกลับไม่ถูกแล้ว แต่จะให้ความแพ้มันเอาชนะเราได้เหรอ? จะยอมเป็นไอ้ขี้แพ้แล้วนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้นเหรอ? UNLOCKMEN ไม่ยอมให้คุณหยุดอยู่ตรงนั้น เราขอนำเสนอ 5 หนทางเอาชนะความขี้แพ้ในตัวคุณ แล้วลุกขึ้นมาชนะได้อีกครั้ง! ล้มได้ แต่ลุกให้ไว หนึ่งอย่างที่จุดไฟให้จิตวิญญาณความขี้แพ้ของเราลุกโชนดับเท่าไหร่ก็ดับไม่ลงสักทีก็คือ “ความพ่ายแพ้” นี่เอง ยิ่งเราแพ้มากเท่าไหร่ใจมันก็ยิ่งป๊อดบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่าไม่โว้ยย กูทำไม่ได้อีกแล้ว กูไม่อยากแพ้ซ้ำ ๆ แล้ว แต่ UNLOCKMEN อยากบอกว่าความพ่ายแพ้เป็นเรื่องธรรมดา เราล้มได้เราก็ลุกได้ หลักการสำคัญคือต้องลุกให้ไว เจอว่าอะไรแย่ต้องรีบปรับ แต่อย่าจมอยู่กับมัน เราแพ้มา 100 ครั้งก็ไม่ได้แปลว่าครั้งที่ 101 เราจะแพ้อีก มองให้ไกลไปให้ถึง นอกจากการลุกจากที่ล้มให้ไวแล้ว ความพ่ายแพ้ยังตัดกำลังใจเราอีกด้วย มันทำให้เราไม่กล้ามองไปข้างหน้าไกล ๆ มองได้แค่ใกล้ ๆ เพราะกลัวจะล้ม แถมสายตาคนรอบข้างที่คอยบอกเราคนขี้แพ้อย่างเราว่าอย่าสู้เลย พังเปล่า ๆ ทำให้ความเคารพในตัวเองของเราหมดไป UNLOCKMEN อยากบอกว่าให้สู้ต่อ เป้าหมายเรามีเท่าไหร่ก็มองไปให้ไกลเท่านั้น ให้มันเป็นแรงใจขับไล่ความขี้แพ้ไปให้ไกลไม่หวนคืน อย่ากลัวเด็ดขาด
ในวันที่ (เขาว่ากันว่า) หนังสือกำลังจะตายและร้านหนังสือหลายร้านทยอยปิดตัวไปอย่างเงียบเชียบ ราวกับว่าลมหายใจสุดท้ายของหนังสือกำลังรวยริน แต่ร้านหนังสืออิสระหลายร้านก็ยังคงยืนเด่นด้วยอัตลักษณ์ ด้วยวิธีคิดที่ชัดเจนว่าร้านหนังสือต้องไม่ใช่แค่พื้นที่ซื้อ-ขายหนังสือ แต่ต้องมีลมหายใจ มีชีวิต มีพื้นที่ให้ผู้คนเชื่อมโยงอยู่ในนั้นด้วย UNLOCKMEN เลยถือโอกาสนี้คุยกับ “แป๊ด-ดวงฤทัย เอสะนาชาตัง” เจ้าของ candide books (ร้านหนังสือก็องดิด) ที่ก็เชื่อเช่นนั้น เชื่อเช่นว่าหนังสือจะไม่ตาย ร้านหนังสือจะไม่ตายเช่นกันตราบใดที่เชื่อมโยงกับผู้คน และต่อให้วันหนึ่งร้านหนังสือต้องตายลง เธอก็ไม่ได้ว่าอะไรตราบใดที่ผู้คนยังคงอ่านอยู่ แต่ถ้าถามว่าเธอเชื่อมั่นในการเป็นคนทำหนังสือแค่ไหน เธอก็ตอบเราได้เต็มปากเต็มคำว่า “ทุ่มให้ทั้งชีวิต ไม่เคยคิดถึงอย่างอื่นเลย” แล้วอย่างนี้จะอดใจไม่ให้อยากคุยกับเธอได้อย่างไร… ทำงานเกี่ยวกับหนังสือมาตลอดเลยไม่ว่าจะเป็นกองบรรณาธิการ ทำสำนักพิมพ์ ร้านหนังสือ อะไรทำให้เราเชื่อในการทำงานกับหนังสือได้ขนาดนั้น พี่ไม่สามารถทำอะไรทีไม่เกี่ยวข้องกับหนังสือได้ ตั้งแต่พี่เรียนจบมา งานแรกก็ทำนิตยสาร จากนั้นทำพ็อคเก็ตบุ๊ค จนสุดท้ายก็มาทำสำนักพิมพ์เอง ก่อนจะมาทำร้านหนังสือ พี่ก็คิดไม่ออกเลยว่าจะทำอาชีพอื่นได้ มีอาชีพเดียวที่เราอยากทำ ตั้งแต่มัธยม ก็มาทางนี้ตลอดไม่เคยไปทางอื่นเลย ถ้าถามว่าเชื่อมั่นไหม ก็ทุ่มทั้งชีวิตไม่ได้คิดถึงอย่างอื่นเลย ที่บ้านอยากให้ทำงานราชการเพราะที่บ้านเป็นคนต่างจังหวัด ป๊าก็จะถามตลอดว่าไม่ทำราชการเหรอ แต่พอเราทำจนเลี้ยงตัวเองได้ และส่งเงินกลับไปที่บ้านได้ด้วย เขาก็เห็นว่า อ้าว มันก็ทำได้นี่หว่า อาชีพแบบนี้ ถึงจะทำงานกับหนังสือเหมือน ๆ กัน ในมุมมองเราการเป็นเจ้าของร้านหนังสือ เป็นกองบรรณาธิการ เป็นนักเขียน
ใครทำงานแล้วไม่เครียดก็เทพเกินไปแล้ว แต่ถ้าทำแล้วไม่เครียดได้จริงเราก็ขอคาราวะและแสดงความดีใจด้วย แต่เราเชื่อว่าผู้ชายสาย Work Hard Play Hard ทุกคนต้องเคยผ่านประสบการณ์หัวแทบระเบิดกระจุยกระจายจากความเครียดกันมาแล้วทุกคนแน่นอน นอกจากวิธีพักชั่วคราวอย่างการฟังเพลง ลงไปดูดบุหรี่ระหว่างวัน หรือคุยกับเพื่อนร่วมงาน UNLOCKMEN ยังเอาวิธี UNLOCK วิธีคิดเพื่อให้ความเครียดมลายหายไปมาฝากผู้ชายสายบ้าระห่ำกับงานทุกคนด้วย เฮ้ นาย นายเพอร์เฟกต์ทุกอย่างไม่ได้หรอก การทำงานต้องสมบูรณ์แบบน่ะใช่ ถ้าเราคิดเบื้องต้นไว้อย่างนี้ เราก็จะเต็มที่ที่สุดกับทุกงานที่อยู่ตรงหน้า แต่ประเด็นก็คือถ้าเราเต็มที่ที่สุดแล้วแต่เราก็ยังรู้สึกว่าแม่งไม่เพอร์เฟกต์สักทีวะ! อันนี้แหละที่จะทำให้เราเครียด เราต้องคิดไว้ในสมองของเราตลอดเวลาว่าเราเต็มที่ที่สุดได้ แต่ทุกอย่างจะเพอร์เฟกต์ล้านเปอร์เซนต์อย่างที่เราคาดวังแม่งไม่ได้ว่ะ! นอกจากทำเต็มที่แล้วอีกด้านหนึ่งก็ต้องรู้จักปล่อยวางลงบ้าง ไอ้ความเครียดที่สุมหัวอยู่จะได้เบาบางลงไปสักที อะไรที่เหนือการควบคุมของเรา เราต้องปล่อย เราควบคุมตัวเองได้ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่บางครั้งความเครียดก็มาพร้อมความคิดที่ว่าเราต้องการควบคุมทุกอย่างให้ได้เบ็ดเสร็จเหมือนที่เราควบคุมตัวเอง ซึ่งถามจริง มันทำได้หรอวะนาย? ไม่ได้หรอก ปัจจัยการทำงานมันผสมผสานกันเป็นสิบเป็นร้อยอย่าง เราควบคุมตัวเองได้ดีแต่บางทีเราควบคุมคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นวิธีที่จะไม่เครียดเกินไปต้องยอมรับว่ามันมีปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้อยู่ และเมื่อมันอยู่นอกเหนือศักยภาพเราแล้ว เราก็ต้องปล่อยมันไปบ้าง อย่าฝืน ขีดเส้นแบ่งเขตงานกับชีวิตให้ดี งานคือส่วนสำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิต เราควรแบ่งเขตให้ชัดเจนว่างานควรหยุดอยู่แค่ไหน เราอาจให้เวลากับงานไปเลย 8-10 ชั่วโมง แต่ถ้านอกเหนือจากเวลานั้นเราก็ต้องขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจยว่าเราควรมีเวลาหยุดพักผ่อน ไม่ปล่อยให้งานรุกล้ำเข้ามาในขอบเขตพื้นที่ส่วนตัว ไม่อย่างนั้นเราก็จะเครียดกับงานตลอดเวลา ไม่ว่าจะกินข้าว เดินเล่น หรือกำลังจะเข้านอน