เราเชื่อว่าทุกวันนี้มีคนพยายามเลิกสูบบุหรี่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อตัวเองหรือคนรอบข้าง ทว่าเรากลับพบว่ามีหลายคนต้องล้มเลิกความตั้งใจไปกลางคัน เพราะมันเป็นสิ่งที่ยากกว่าที่คิด เวลาเลิกจะทีต้องเจอสภาวะมึนศีรษะ เหม่อลอย บางคนถึงกลับนอนไม่หลับ แต่เชื่อเลยว่าถึงลำบากยังไงมันก็คุ้มค่ากับการเลิกได้อย่างแน่นอน เนื่องจากการเลิกสูบบุหรี่นั้น นอกจากจะดีกับตัวเองแล้ว ยังมี 5 เหตุผลที่จะทำให้ชีวิตการงานดีขึ้น เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ที่กำลังคิดจะเลิก ได้มีแรงบันดาลใจมากขึ้น ทำงานไปพร้อมร่างกายแข็งแรง ร่างกายแข็งแรงก็มาพร้อมกับจิตใจอันสมบูรณ์ เรื่องแบบนี้มันส่งผลดีหลาย ๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ ชีวิตเซ็กซ์หรือหน้าที่การงาน นอกจากนั้นยังเชื่อมโยงกับอารมณ์กระตือรือร้นและความทะเยอทะยานให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีผลต่อการทำงานโดยตรง แต่ทว่าคนที่ชอบดูดบุหรี่อาจจะคาดไม่ถึงว่ามีผลกระทบพวกนี้ด้วย เพราะการสูบบุหรี่มันเหมือนการไปหยุดยั้งสิ่งดี ๆ เหล่านั้นไว้ แล้วแทนที่ด้วยความง่วงและอ่อนเพลีย มันเหมือนกับขโมยตัวจิ๋ว ที่ค่อยเอาพลังงานล้ำค่าในตัวเราไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว และมันยังไปเป็นอุปสรรค์ต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะ กล้ามเนื้อ รวมทั้งสมอง ส่งผลให้ผู้สูบบุหรี่ไม่สามารถโฟกัสการทำงานได้ดีเท่าที่ควรจะเป็น ให้ความเชื่อในตัวคุณเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ ความมั่นใจเป็นส่วนผสมสำคัญในชีวิตลูกชายอย่างเรา เพราะไม่ว่าจะออกไปทำงาน เจรจาต่อรอง หรือ แม้กระทั่งจีบสาวล้วนแต่ต้องการความมั่นใจในตัวเองแบบสุด ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่เราคาดหวังเอาไว้ จนหลายครั้งเราต้องใช้ของแบรนด์เนม สินค้าหรูหรา หรือแม้กระทั่งเครื่องรางของขลังเพื่อเพิ่มความรู้สึกดี แต่ทว่ากลับมีบางคนตกม้าตายอย่างไม่รู้ตัวจากกลิ่นปากหรือซอกฟันที่ดำ ที่มาพร้อมการสูบบุหรี่เพราะมีคราบเผาไหม้ของน้ำมันดิบและนิโคติน ซึ่งเป็นกลิ่นสุดปวดหัวของคนไม่สูบบุหรี่
ความเป็นผู้นำมันอาจไม่ได้ติดตัวผู้ชายอย่างเรามาตั้งแต่โผล่หัวมาลืมตาดูโลก แต่ UNLOCKMEN เชื่อว่ามันเรียนรู้กันได้ โดยเฉพาะการเรียนรู้จากคนที่มีประสบการณ์โดยตรง ถือเป็นการเรียนรู้ทางลัดที่เราไม่ต้องลงแรงไปเจอสถานการณ์นั้นด้วยตัวเอง ดังนั้นสภาวะวิกฤตในเรือดำน้ำที่แม่งโคตรกดดันในการควบคุมคน ทั้งพื้นที่ที่แคบ คนจำนวนมาก ไหนจะสภาพการที่ไม่ได้อยู่บนดินตามปกติ จึงเป็นอีกสถานการณ์วิกฤตที่น่าเรียนรู้ว่าเราต้องงัดความเป็นผู้นำออกมาในรูปแบบไหน และวันนี้เราเอาทริคดี ๆ จากราชนาวีที่เคยคุมสถานการณ์บนเรือดำน้ำที่ตกอยู่ในสภาวะวิกฤตมาแล้ว (แม้ภาวะจะไม่วิฤตเท่ากระแสวิพากษ์เรื่องลุงตู่ซื้อเรือดำน้ำ แต่เราว่าก็วิกฤตมากไม่แพ้กัน) John DeVine คือเจ้าหน้าที่ราชนาวีคนหนึ่งที่เริ่มต้นอาชีพของเขาด้วยการทำงานในเรือดำน้ำ และใช้เวลากว่า 8 ปีในอาชีพนั้นก่อนจะผันตัวเองมาทำงานในองค์กรเอกชน John DeVine บอกว่าเรือดำน้ำไม่ต่างจากห้องปฏิบัติการความเป็นผู้นำที่หล่อหลอมให้เขาออกมาทำงานในภาคเอกชนแบบโคตรแข็งแกร่งชนิดหาตัวจับยาก เพราะการทำงานในเรือดำน้ำมันเต็มไปด้วยข้อจำกัด และการทำงานใต้ความลึกของมหาสมุทรระดับนั้น การตัดสินใจทุกอย่างก็มีเดิมพันสูงมากเพราะมันคือชีวิตของลูกเรือทุกคนเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเราอาจคิดว่า John DeVine คือคนที่มีตำแหน่งสูงสุดในเรือดำน้ำ แล้วการที่เขาจะแสดงความเป็นผู้นำอะไรออกมาใคร ๆ ในเรือก็ต้องวิ่งทำตามคำสั่งเขาแบบหูตาเหลือกอยู่แล้ว แล้วจะไปเรียนรู้บทบาทความเป็นผู้นำแบบเขาได้ยังไงในเมื่อเราเป็นผู้น้อย ยังต้องวิงตามตูดบอสต้อย ๆ อยู่ดี ? UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าคุณคิดผิดว่ะ เพราะขณะที่เกิดเหตุการณ์สุดวิกฤตครั้งสำคัญนั้นเขาเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ในเรือดำน้ำที่มียศต่ำกว่าคนอื่นด้วยซ้ำไป โดยเหตุการณ์ที่ชาวเรือดำน้ำเห็นว่าวิกฤตที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการที่เรือดำน้ำของเราดันไปซ้อนอยู่ใต้เรือดำน้ำอีกลำ ความพีคคือ John DeVine เป็นคนแรก ๆ ที่ตระหนักถึงวิกฤตนั้นแต่เขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับที่จะสั่งการได้ มันจึงมีอยู่ 2 ทางคือการรอจนกว่าผู้บัญชาการจะสั่งซึ่งไม่รู้ว่าจะช่วยชีวิตทุกคนได้ทันไหม หรือลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยชีวิตทุกคนไว้โดยไม่สนว่าผู้บัญชาการจะว่าอย่างไร นั่นคือการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตเขา
ทุกครั้งที่สมัครงานครั้งใหม่ หัวใจผู้ชายอย่างเราก็เต้นแรงไม่เป็นส่ำ เพราะลุ้นไปหมดว่าจะได้งานหรือไม่ได้งาน และที่กังวลไม่แพ้กันคือบอสคนใหม่จะกำลังจับตาดูเราบนโลกออนไลน์อยู่หรือเปล่า ? UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าพี่ไม่ต้องมัวสงสัยให้เสียเวลา เพราะผลสำรวจจากบริษัทจัดหางานพบว่า 70% ของบรรดาบอส ๆ เขาเสิร์ชดูประวัติออนไลน์ของผู้สมัครเข้าทำงานทั้งสิ้น! ดังนั้นแทนที่จะสวดมนต์ภาวนาให้ตัวเองเป็น 30% ที่บอสไม่เสิร์ชดูเฟซบุ๊กหรือลบทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไปตลอดกาล ก็ทำตามวิธีต่อไปนี้ดีกว่า รับรองว่าตัวตนในโลกออนไลน์ของเราใสสะอาดพร้อมทำงานใหม่แบบไม่ต้องกลัวใครมาแฉแน่นอน เสิร์ช Google ดูชื่อตัวเองหน่อยครับ แม้จะฟังดูหลงตัวเอง แต่เราก็ไม่ได้หลงตัวเองอยู่คนเดียวบนโลกแน่ ๆ เพราะผลสำรวจชี้ว่าผู้คนต่างก็เสิร์ชชื่อตัวเองใน Google กันทั้งนั้น แต่ถ้าไม่เคยทำก็ได้โอกาสลงมือทำแล้ว เพราะมันมีประโยชน์กับการสัมภาษณ์งานที่กำลังจะมาถึง ที่แน่ ๆ อะไรหลายต่อหลายอย่างทั้งที่เราคาดคิดและไม่คาดคิดจะโผล่ขึ้นมาให้เราเห็น จะได้เตรียมรับมือถูกถ้าถูกยิงคำถามใส่ถึงสิ่งที่เราไม่คิดว่ามันจะหาเจอใน Google ได้ แต่ถ้ายังลนลานทำอะไรไม่ถูกก็ลองพิจารณาตาม 2 ข้อต่อไปนี้ดู แล้วจะรู้ว่าเสิร์ชชื่อตัวเองใน Google ได้อะไรมากกว่าที่คิด Incognito Search : อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าเวลาเราเสิร์ชอะไรจาก Google ด้วยเครื่องเรา เราจะได้ผลอย่างหนึ่ง ถ้าลองไปใช้เครื่องของเพื่อนเราก็จะได้ผลอีกอย่าง หรือถ้าใช้เครื่องของบอสเสิร์ชก็ได้ผลอีกอย่างหนึ่ง เพราะ Google จะเก็บข้อมูลจากการเสิร์ชเก่า ๆ ของเรา ข้อมูลการล็อกอิน
การใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ แม้จะไม่ต้องเจอหน้าเจอตากัน แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ชีวิตยังไงก็ได้ บนนั้นก็มีความยาก มีกฎกติกาในการอยู่ร่วมกับคนอื่นเช่นกัน บางครั้งเราจะโพสอะไรที ต้องนั่งคิดหนักว่าจะโพสดีหรือเปล่า โพสโชว์ของแสดงความภูมิใจลงไป มันจะหาว่าเราขี้อวดไหมนะ? โพสถี่ไป มันจะหาว่าเราเวิ่นเว้อ เรียกร้องความสนใจหรือเปล่า? พาลทำให้ผู้ชายหลายคนไม่อยากโพสรูปอะไรมันซะเลยเพื่อตัดปัญหา ถ้าใครหันหลังให้โลกออนไลน์ไปแบบนี้ เราขอแชร์ข่าวด้านดีจากผลวิจัย Journal Health ประเทศอังกฤษ ที่พบว่า ‘การโพสรูปบน Social Network วันละครั้งก็มีข้อดีกับเค้าอยู่ไม่เบาเหมือนกัน’ Dr. Andrew Cox จาก University of Sheffield และ Dr. Liz Brewster จาก Lancaster University นักวิจัยทั้งสองคนร่วมกันค้นคว้าหาความเกี่ยวข้องของสภาพจิตใจและการโพสรูปออนไลน์ ได้ออกมาเป็นงานวิจัยที่ชื่อ “The daily digital practice as a form of self-care: Using photography for everyday well-being” โดยการสังเกตรูปที่โพส ภาษาที่ใช้สื่อสาร และการ Connect กันของคนบนโลกออนไลน์ พบว่าการถ่ายรูปและโพสอย่างน้อยวันละรูป
คุณเห็นด้วยไหม ? ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะรักษาประสิทธิภาพในการทำงานให้อยู่ในระดับสูงตลอดวันทำงาน ให้เป็นไปตามความคาดหวังของตัวเราเองและหัวหน้า แล้วเคยเป็นไหม ? ทำงาน 8-12 ชั่วโมงแต่ว่าไม่เสร็จสักงานตามที่วางแผนไว้ เนื่องจากความขี้เกียจ ไม่ก็ขาดความต่อเนื่อง หรือเสียสมาธิง่ายไปหน่อย บ้างก็โฟกัสผิดจุด ไปเน้นงานที่ไม่สำคัญก่อน สุดท้ายกลายเป็นเผาเวลาทิ้งไปเรื่อย ๆ ต้องยกงานของวันนี้ไปทำพรุ่งนี้ เข้าทำนองสำนวน “ดินพอกหางหมู” ไม่มีผิด แบบนี้ถ้าปล่อยไว้เรื่อย ๆ คงจะไม่ดีนัก เพราะเราจะกลายเป็นคนที่มี productivity ต่ำ คำว่า “Productivity” นั้นหมายถึงการวัด (Measure) ค่าเฉลี่ยของประสิทธิภาพ (Efficiency) การผลิต ซึ่งคำว่า “การผลิต” นั้นจะเป็นอะไรก็ได้ เช่น เงิน, งาน หรือ ผลลัพธ์อื่น ๆ โดยข้อมูลจาก องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โอซีดีซี) หรือ Organization for Economic Cooperation and Development (OECD) ะบุว่า ประเทศที่มี productivity มากที่สุด 5 อันดับแรกของปี 2017
แด่มนุษย์งานชายทุกคนที่กำลังปั่นงานอยู่ตอนนี้ เราเชื่อว่าหลายคนคงเริ่มชินกับการทำงานแบบ Multitasking หรือวิถีการทำงานในศตวรรษ 21 ที่ต้องการให้หนึ่งคนมีสกิลการทำงานเหมือนทศกัณฐ์ สิบหน้ายี่สิบมือรันพร้อมกันหมด ทว่าเริ่มสังเกตกันไหมว่าขณะที่เราทำตัวเป็นจิม แครี่ในหนังเรื่อง Yes Man ตอบเจ้านายว่า “ได้ครับ ๆ” ไปเสียทุกเรื่องเพื่อกันการเสียโอกาส ลงมือบู๊งานจนเฉียบ แววเลื่อนขั้นก็สดใส นานวันเข้าไอ้เรื่องธรรมดาที่เคยทำทุกวันมันกลับเริ่มฝืด ความจำทรงจำ Blank ไปเสียอย่างนั้น มาดูไปพร้อมกันว่าเหตุการณ์พวกนี้เกิดกับเราบ้างไหมและมันเกิดขึ้นจากอะไร ? WHO STEAL THE KEYS ? สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ระยะนี้เริ่มควานหากุญแจอยู่บ่อย ๆ แต่ไม่เจอ ทั้งที่เมื่อกี้เพิ่งเตรียมมาแหม็บ ๆ ดันไม่รู้เอาไปวางไว้ไหน หรือกระทั่งสมาร์ตโฟนที่ถืออยู่ในมือก็ยังลืมว่าถือ มันถือเป็นหนึ่งในสัญญาณที่บ่งบอกว่า Multi-tasking เริ่มทำให้ความทรงจำเราบกพร่องที่ตรงกันกับงานวิจัยของ Stanford University ที่ทดสอบเรื่องความจำกับคนทำงานสไตล์ Multi-tasking ทั้งหลายโดยหาคนมาเข้าร่วมทดลอง เปิดคอลเลคชั่นภาพวาดของสิ่งของบนจอ แล้วให้ทุกคนลองเล่น photo hunt ดูว่าจุดไหนในภาพที่ขยับ ผลสรุปออกมาว่าบรรดา Multitasker ไม่ใช่แค่ตอบไม่ถูก ยังสูญเสียความจำระยะยาวไปด้วยหลังบอกให้อธิบายว่าเห็นอะไรมาก่อนหน้านี้ จืดเต็มใบ
แม้เรื่องการทำงาน ผู้ชายอย่างเราจะเป็นสายลุยไม่มีถอย แต่ช่วงการทำงานแบบยาว ๆ ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์มาคอยปลอบใจเลย ก็เรียกความหงอยมาให้ชีวิตได้เหมือนกัน แต่เราจะปล่อยให้ตัวเองเฉาตาย พร้อมกับงานที่ไม่มีประสิทธิภาพคงไม่ใช่วิสัยผู้ชาย Work Hard Play Hard เท่าไหร่ ดังนั้นเราจะเปลี่ยนวันทำงานให้เป็นอีกวันที่ซาบซ่านเหมือนวันหยุดพักผ่อนได้ยังไง ? UNLOCKMEN พามาดู 5 วิธีปลดปล่อยจิตวิญญาณไปพร้อม ๆ กัน ตามหา vacation scent ของตัวเองให้เจอ กลิ่นคือสุดยอดของการกระตุ้นความทรงจำและความรู้สึกได้ดี ถ้านึกไม่ออกลองจินตนาการถึงเวลาเราเดินไปเที่ยวที่ไหนสักที่แล้วได้กลิ่นน้ำหอมของหวานใจคนเก่าลอยมา เชื่อได้เลยว่าร้อยทั้งร้อยเราก็ต้องคิดถึงความทรงจำ (ทั้งดีและร้าย) เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา หรือแม้แต่กลิ่นกับข้าวที่แม่ทำให้กินตอนเด็ก ๆ ที่กระตุ้นความผ่อนคลายให้เราได้เสมอ ดังนั้นตามหากลิ่นแห่งการพักผ่อนหย่อนใจของตัวเองให้เจอ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นที่เราได้กลิ่นแล้วผ่อนคลาย หรือจะเป็นกลิ่นของห้องจากโรงแรมที่เราไปพักมาทริปล่าสุด แล้วเอากลิ่นนั้นมาไว้ใกล้ ๆ โต๊ะทำงาน หลอกตัวเอง เอ้ย กระตุ้นความทรงจำตัวเองเบา ๆ ว่า เฮ้ย นี่แหละการทำงานอย่างมีความสุขอย่างหนึ่ง ต้นไม้ใบหญ้าจะเยียวยาคุณเอง แม้ผู้ชายอย่างเราจะแอบเหมารวมว่านิสัยการตกแต่งโต๊ะทำงานด้วยดอกไม้ ต้นไม้ จะดูเป็นนิสัยของสาว ๆ (ซึ่งก็ไม่จริงเสมอไป) แต่มีงานวิจัยที่บอกว่าการที่เราได้เห็นสีเขียว หรือต้นไม้ ใบหญ้า
“นอก-กรอบ” ไม่ใช่แค่วลีเท่ ๆ เพื่อบอกให้ผู้ชายอย่างเราคิดอะไรนอกกรอบเท่านั้น แต่อาจหมายถึงให้ออกไปนอกกรอบห้องสี่เหลี่ยมซะบ้างแล้วชีวิตจะดีขึ้นอีกเยอะ! เพราะงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นบอกเราว่า การพาตัวเองออกไปรับแสงจากภายนอก รับบรรยากาศจากภายนอก จะทำให้ผู้ชายอย่างเราทั้งครีเอทีฟขึ้น สุขภาพดีขึ้น และมีความสุขขึ้นได้แน่นอน ธรรมชาติลดความเสี่ยงจากภาวะซึมเศร้าได้ ด้วยการกระจุกตัวของความเจริญด้านเศรษฐกิจทำให้คนหลั่งไหลเข้ามาในเมืองมากขึ้น แน่นอนว่าภาวะวิตกกังวลและซึมเศร้าของผู้คนก็เพิ่มขึ้นตาม นักวิจัยจาก Stanford ได้ทำการทดลองที่แบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มหนึ่งให้เดินผ่านพื้นที่ในเมือง ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งให้เดินผ่านพื้นที่ที่มีธรรมชาติ ผลออกมาว่าคนที่เดินผ่านพื้นที่สีเขียว สมองส่วนที่เชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลทำงานลดลง ยิ่งไปกว่านั้นการออกกำลังกายในพื้นที่ธรรมชาติยังเกี่ยวเนื่องกับการเพิ่มขึ้นของการยอมรับนับถือตนเองและมีอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย รู้อย่างนี้แล้วก็อย่ามัวยัดตัวเองไว้ในตึกสี่เหลี่ยมอย่างเดียว ได้เวลาพาตัวเองไปซึมซับธรรมชาติบ้างแล้ว ธรรมชาติช่วยพัฒนาความจำระยะสั้น งานวิจัยที่ชื่อว่า The Cognitive Benefits of Interacting With Nature ได้ชี้ให้เห็นว่าการที่เราได้ออกไปเดินท่ามกลางธรรมชาตินั้นช่วยพัฒนาความจำระยะสั้นของเราเพิ่มขึ้นถึง 20% ใครที่คิดว่าตะบี้ตะบันทำงานในห้องสี่เหลี่ยมอย่างเดียวแล้วทุกอย่างจะเวิร์ค อาจต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ทำงานเป็นช่วง ๆ แล้วแบ่งเวลาพักออกไปเดินชมนกชมไม้บ้างก็ได้ รับรองว่าดีแน่นอน แสงอาทิตย์จะเยียวยาเราเอง ไม่ใช่แค่ธรรมชาติอย่างต้นไม้ใบหญ้าและสิ่งแวดล้อมเท่านั้นที่จะโอบกอดเรา แต่แสงอาทิตย์นี่แหละที่จะช่วยเยียวยาเราได้ดีไม่แพ้กัน เรื่องบ้าน ๆ ที่เรารู้อยู่แล้วก็คือแสงอาทิตย์มีวิตามินดีที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูกของเรา แถมยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราดีขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นแสงอาทิตย์ยังช่วยเราสู้กับการเป็นหวัด การเป็นไข้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการที่เราพาตัวเองออกไปรับแสงอาทิตย์เสียบ้างจะช่วยให้เราหลับได้ดีขึ้น
“ขอไอเดียที่น่าสนใจ ส่งภายในวันนี้” สิ้นเสียงหัวหน้าที่น่าสะพรึงกลัว เปลี่ยนเป็นเสียงถอนหายใจกังวาลลั่นไปทั่วห้องประชุม “งานเข้าเต็มใบ เอาไงดีวะกู” คิดไปพลางกลับไปนั่งหันหน้าประจันจอคอมพิวเตอร์ตัวเก่ง คิดซิคิด คิดก็ได้วะ ผ่านไปหลายชั่วโมง ไอ้ความคิดที่น่าสนใจมันหน้าตาเป็นยังไงวะ เจอแต่ความคิดอะไรก็ไม่รู้ที่ประสบการณ์บอกว่า…ไม่น่ารอด เราจะบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะถ้าถามบรรดา Creative หรือ Marketer มือฉมังทั้งหลายว่า “คุณคิดไอเดียดี ๆ ออกตอนไหน” รับรองว่าไม่มีใครตอบว่าคิดออกหน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน หรือระหว่างโดนหัวหน้าไล่ซักไซ้หาไอเดียหรอกนะ บ้างก็ตอบว่า คิดออกตอนลงไปสูบบุหรี่ บางทีก็มักจะฟลุคคิดออกตอนเข้าห้องน้ำ ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือผลบุญโชคช่วยใด ๆ แต่มีการวิจัยพบว่า ไอเดียดี ๆ เกิดขึ้นได้ตอนเราไม่ได้หมกมุ่นกับมัน แม้วิทยาศาสตร์จะยังไม่ล้ำถึงขั้นบอกได้ว่าความคิดสร้างสรรค์มันก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร แต่สิ่งนึงที่รู้คือมันทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ยิ่งไปรีดเค้นบีบบังคับให้มันออกมา มันยิ่งหดกลับเข้าไปซ่อนอยู่ในสมองทั้งสองซีก ในขณะที่เราหมกมุ่นอยู่กับมัน ก็เหมือนการที่เราถือของหนัก ๆ อยู่ตลอดเวลา ย่อมมีเมื่อยล้ากล้ามเนื้อกันเป็นปกติ งานวิจัยจาก Stanford University บอกว่าให้เลิกคิดถึงมัน แล้วหันไปทำอย่างอื่นแทน ออกไปเดินเล่น อาบน้ำ จูงหมา หาแฟน ก็เหมือนเป็นการ Relax
ในโลกที่ทุกอย่างมันผ่านไปเร็ว หากมองย้อนกลับไปผู้ชายอย่างเราจะรู้ทันทีว่าความมั่นคงของอาชีพในแต่ละ พ.ศ. มันไม่ได้ยั่งยืนไปตลอด ปีก่อนอาชีพวิศวะอาจจะยั่งยืน ปีถัดมาอาจจะเงียบเหงา วิธีแก้ที่จะทำให้ผู้ชายอย่างเราหางานได้แม้ไม่ตรงสายงาน หรือสมัครตรงสายงานแต่อยากจะโดดเด่นกว่าคนอื่น ก็ต้องเติมสกิลที่เป็นที่ต้องการ ใน พ.ศ. นั้นลงใน Portfolio สำหรับปี 2018 นี้เราก็สรุปทั้ง 8 สกิลโดดเด่นที่บอสในอนาคตอยากให้คุณมีมาให้เรียบร้อยแล้ว พร้อมคอร์สฟรีที่ช่วยเสริมสกิลนั้นมาฝากกัน Coding เขียนโค้ดดิ ! สังคมยุคนี้มัน 4.0 อะไรก็ต้องออนไลน์ไปหมด เรื่อง Tech จึงเป็นสิ่งที่ทุกบริษัทต้องการ แต่ทุกวันนี้คนที่มีสกิลนี้ก็ยังน้อยกว่าความต้องการในตลาดมาก คนที่มีสกิลเรื่องการเขียนโค้ดเลยตอบโจทย์ แม้หลายคนจะเห็นว่าตัวเลขหรืออักษรสำหรับเขียนโค้ดมันเข้าใจยาก น่าจะต้องใช้เวลาเรียนนาน แต่อย่าเพิ่งกลัว ทุกวันนี้มันมีช่องทางฟรีให้เรียนเพิ่มสกิล เอาเป็นว่าถึงเราจะไม่เซียนถึงขนาดเป็นโปรที่เขียนโปรแกรมได้เอง แต่การรู้เรื่องพื้นฐานบ้านมันก็เป็น shortcut ให้เราใช้ในการแก้ปัญหาได้ดี อย่างเราที่เป็น content creator เองก็ต้องรู้โค้ดไว้ใช้กับเว็บไซต์หรือแก้ป้ญหา ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำงานด้วยอาชีพไหนก็อาจจะต้องมีอันไปเกี่ยวพันกับเรื่องโค้ด ดังนั้นดูไว้ก็ไม่เสียหาย ดีไม่ดีจะเป็นช่องทางรับจ็อบเพิ่มอีกทางให้เงินตุงกระเป๋าได้อีกด้วย FREE COURSE Excel ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ หนึ่งในสกิลที่หลายคนมองข้ามแต่บอสในอนาคตของเราต้องการ แถมเป็นสกิลที่แสดงความโปรดักทีฟได้ดีคือโปรแกรมสีเขียวที่มีติด Microsoft Office