ภาษากายนั้นเป็นสื่อในการสื่อสารอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนสามารถแสดงความหมายต่าง ๆ ออกมาได้แม้ไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ ก็ตาม มันมีทั้งประโยชน์มากมาย แต่ก็เป็นโทษได้หากเราไม่ระมัดระวัง ยิ่งถ้าเป็นภาษากายที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกในแง่ลบแล้ว ยิ่งต้องสำรวจตัวเองกันหน่อยว่าเราเองทำบ่อยมั้ย มันกลายเป็นความเคยชินหรือเปล่า ? และที่แย่ที่สุดก็คือ มันอาจทำให้เราสูญเสียโอกาสดี ๆ ที่นาน ๆ จะมาทีก็ได้ จากผลการสำรวจของ TalentSmart ที่ทดสอบกับคนกว่าล้านคนพบว่า ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มคนที่มีตำแหน่งงานในระดับสูง มักจะมีตัวเลข EQ ที่ค่อนข้างพุ่ง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้รู้ดีว่าพลังของภาษากายนั้นมีมากแค่ไหน และมักจะสำรวจตัวเองในเรื่องนี้เสมอ เพราะฉะนั้น เพื่อความไม่ตายน้ำตื้นของผู้ชายที่กระหายความสำเร็จอย่างเรา มาดูกันดีกว่า ว่าภาษากายแบบไหนที่อาจพาเราดำดิ่งได้แบบไม่รู้ตัว จะได้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ก่อนสายเกินไป ใช้มือมากเกิน อย่าคิดลึกครับหนุ่ม ๆ การใช้มือมากเกินในที่นี้คือการขยับมือไม้มากเกินเวลาสนทนา ราวกับว่าคุณกำลังจะใช้กำลังภายในอะไรอย่างนั้น ซึ่งมันดูเหมือนกับว่าคุณปรุงแต่งสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารมากเกินไป พยายามควบคุมมือไม้ให้ดี ใช้เท่าที่จำเป็น อาจจะผายมือออกมาช้า ๆ โชว์ฝ่ามือให้ทุกคนเห็นเวลาที่พูดอะไรออกไป แบบนี้จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าคุณไม่ได้เสแสร้ง ดูรุ่นใหญ่ และมั่นใจ กอดอกตลอด การกอดอกเป็นภาษากายกึ่งอัตโนมัติเวลาที่คุณสร้างกำแพงทางความคิดขวางไอเดียของคนที่สนทนาด้วย แม้ว่าจะยิ้มอยู่ หรือกอดอกหลวม ๆ ก็อาจทำให้คนข้างหน้ารู้สึกอึดอัดได้ไม่มากก็น้อย พยายามอย่ากอดอกแบบเหมือนทากาวไว้
สิ่งที่ผู้ชายส่วนใหญ่คาดหวังกับชีวิตการงานคือการเจองานที่ชอบ เอ็นจอยกับงานที่ใช่ และได้รับการยอมรับในสังคมการทำงาน ทว่าการทำงานเก่งเพียงอย่างเดียวอาจไม่ไช่คำตอบของการถูกยอมรับก็ได้ มีบางคนเหมือนกันที่ทุ่มเทกับการทำงานอย่างหนักทุกวัน แต่ก็ยังถูกเพื่อนร่วมงานเบือนหน้าหนี แถมโดนผู้บริหารเพ่งเล็ง แบบนี้มันเป็นเพราะอะไร ? ถ้าเราทำงานอยู่ในบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ ที่ต้องร่วมงานกับผู้อื่น มันย่อมมีกฏกติการ่วมกัน มีความเป็นสังคม และมันเป็นสิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นวิญญาณไร้ความหมาย ไร้คนเคารพได้หากชอบแตกแถว หรือวางตัวไม่เหมาะสม พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเราก็จะรู้สึกขาดความสุขในการทำงาน แม้ว่าลักษณะงานและรายได้จะดีก็ตาม ชีวิตที่ออฟฟิศก็จะหมดสนุก ถ้าปล่อยไว้แบบนี้รับรองว่าเซ็งแย่ ไม่ก็ท้อแท้จนแค่ทำงานไปวัน ๆ ความมันส์ก็จะค่อย ๆ ลดลงไปจนเหลือศูนย์ แต่เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่นอน UNLOCKMEN มีวิธีเหมาะ ๆ ที่จะช่วยให้คุณได้รับการยอมรับรอบด้านในที่ทำงานมาฝากกัน อย่าไปจริงจังมากเกิน ผู้ชายอย่างเรามักจะหมกมุ่นกับเรื่องงาน ราวกับว่างานตรงหน้าคือคู่เดท จนบางครั้งก็เหนื่อยมากเกินไป ถ้ารู้สึกรักงานขนาดนั้นก็อยากให้ลองเปรียบเทียบเรื่องงานกับเรื่องความรักไปเลย คุณต้องแสดงความชัดเจน นายจ้างของคุณก็ต้องเห็นความทุ่มเทของคุณเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าโหมหนักมากเกินถึงค่ำมืดดึกดื่นไม่เว้นวันหยุด แบบนี้อาจเป็นความรักที่ไม่ค่อยรักตัวเองเท่าไหร่ บนโลกที่โหดร้ายแบบนี้โชคคงไม่ได้เข้าข้างเราเสมอไป ถ้าเราทุ่มเทกับอะไรมากเกินไปแบบไม่เตรียมใจ เกิดพลาดพลั้งขึ้นมาด้วยความซวย ก็ไม่รู้จะช่วยใจของตัวเองอย่างไรเหมือนกัน เพราะฉะนั้นลดความจริงจังเรื่องงานลงมาบ้าง ย้ำว่าลด “ความจริงจัง” ไม่ใช่ลด “ความตั้งใจ” บางคนอาจจะคิดว่าการทุ่มเทแบบไม่ลืมหูลืมตาจะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เขาตกงาน แบบนี้เป็นการสร้างความกดดันให้กับตัวเอง และถมความเหนื่อยเข้าไปอีก ทางที่ดีควรทำงานให้เต็มที่แบบไม่เกินตัว และหาแผนสำรองให้กับชีวิตบ้าง
มองไปทางไหนก็พาให้รู้สึกเบื่อไปหมด ยิ่งหมดไฟในใจแล้ว ต่อให้เปลี่ยนไปนั่งทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้มีไฟขึ้นมาเอาซะเลย ปลุกไฟจากภายนอกอาจไม่ช่วยเท่าไหร่ ลองหันมาปลุกไฟในใจให้กลับมาลุกโชนอีกครั้งจะดีกว่า UNLOCKMEN ชวนคุณมาดู 5 หนังที่จะให้คุณได้เจอมุมมองใหม่ ๆ ในการทำงาน เผื่อว่าจะมีเรื่องไหน สะกิดความคิดของเราให้เกิดไฟขึ้นมาได้อีกครั้ง ต่อให้ไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้เราได้ข้อคิดอะไรบางอย่างผ่านตัวละครหลากหลายแนวที่พร้อมจะมาเล่าเรื่องราวชีวิตการทำงานของตัวเองให้ฟัง The Secret Life of Walter Mitty (2013) Director : Ben Stiller เรื่องราวยอดฮิตที่เราอยากให้ดูจริง ๆ สำหรับใครที่รู้สึกอุดอู้เหลือเกิน เมื่อก้าวพ้นประตูออฟฟิศเข้าไปสู่โลกของการทำงานแบบลูปเดิม ๆ มาผจญภัยไปพร้อม ๆ กับ Walter Mitty (Ben Stiller) หนุ่มออฟฟิศที่เบื่อชีวิตไม่แพ้กับเรา ๆ ที่ทำงานในบริษัทนิตยสาร LIFE แต่แล้วเมื่อโลกหมุนไป สื่อสิ่งพิมพ์ไม่อาจคงอยู่ได้เหมือนแต่ก่อน LIFE จึงจะผันตัวไปทำสื่อออนไลน์แทน เมื่อฉบับสุดท้ายมาถึง เขาดันทำภาพถ่ายที่ต้องใช้ในเล่มหายไป เรื่องราววุ่นวายมันเกิดขึ้นตรงนี้ เขาต้องออกไปตามหาช่างภาพของภาพใบนั้น การออกตามหาช่างภาพครั้งนี้ เขาต้องเดินทางไปเจอเรื่องราวผจญภัยแบบที่ชีวิตของหนุ่มออฟฟิศจืด ๆ คนนึงไม่เคยพบเจอมาก่อน โดยในเรื่องจะเล่นกับความช่างฝันของเขา ให้เราได้เดาเอาเองว่าฉากนี้คือเรื่องจริงหรือจินตนาการของเขา
ในวันที่สมองตีบตัน หันไปทางไหนก็ดูจะไม่ได้ Inspiration จากอะไรเลย อยากจะเป็นเหมือนคอมพิวเตอร์ กด Restart สักทีก็กลับมาใช้งานได้คล่องปรื๋อ แต่คนเรามันทำแบบนั้นไม่ได้น่ะสิ หมดสนุกกับสิ่งที่ทำ ตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่านี่กูกำลังทำอะไรอยู่ ? หากเราประสบปัญหาแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า บอกเลยว่ามันคืออาการของคนหมดไฟ ฟังดูเศร้า แต่อย่าเพิ่งท้อไปเลยหนุ่ม ๆ UNLOCKMEN จะพามาปลุก PASSION ในตัวให้ร้อนแรง ด้วยคำถามเจ๋ง ๆ ที่จะทำให้มองเห็นทางไปต่อให้กับตัวเอง พร้อมวิธี Relax ให้สมองลื่นไหล พร้อมจะลุยต่อกับไอเดียที่พรั่งพรูในหัว ทำไมอาการ “หมดไฟ” มาไวกว่าที่คิด ? ถึงเราจะบอกว่า Passion เนี่ย มันไม่จำเป็นต้องลื่นไหลกันตลอดเวลา แต่ชีวิตจริงของเรามันร่ำร้องบอกให้เราวิ่งเข้าหา “Dream Job” เพราะเราจะเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางทะเล Passion ที่ไม่มีวันหมด แม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องก็ตาม เพราะความจริงแล้ว Dream Job มันอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ในเรื่องของรายได้ที่น่าพอใจ หรือเหตุผลอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากเหตุผล “กูอยากทำว่ะ” เรื่องของอาชีพก็ยังคงเป็นอะไรที่ซับซ้อนพอ ๆ กับการใช้ชีวิตของเรานั่นแหละ
ความเครียดจนปวดหัว ความกังวลจนมวนท้อง และความตื่นเต้นจนตัวสั่น เป็นความรู้สึกปกติของมนุษย์ที่มักจะเกิดขึ้นก่อนที่จะเผชิญกับสิ่งท้าทาย ถ้ามองในแง่บวก ความรู้สึกดังกล่าวนั้นก็พอที่จะสะท้อนความตั้งใจจริงของเราที่จะฝ่าฟันมันไปให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องชีวิต หรือเรื่องใด ๆ ที่มีความหมายพอที่เราจะมุ่งมั่นกับมัน แต่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือความกลัวที่จะลงมือทำสิ่งใหม่ โปรเจ็คต์ที่คิดไว้ก็ไม่กล้าทำเสียที กลัวเจ๊ง กลัวไม่เท่ กลัวเขว กลัวมันออกมาบูด ๆ สุดท้ายไม่ยอมย้ายตูดออกมาจาก safe zone แล้วลงมือทำซะ เพราะกลายเป็นคนที่วิตกกังวลเกินเหตุ ถ้าเป็นแบบนี้นาน ๆ เข้า อาจจะทำให้เราไม่มีการพัฒนาตัวเองได้ ทีมงาน UNLOCKMEN เชื่อว่าผู้ชายทุกคนมีศักยภาพ แต่อาจจะมีความรู้สึกบางอย่างที่มาขวางกั้นการปลดล็อกตัวเอง จึงขอนำเหตุผลหลักที่ทำให้เราไม่กล้าลงมือทำมาตีแผ่ และไอเดียที่จะช่วยเปลี่ยนมุมมองให้คุณลุยอย่างไม่กลัวมาแนะนำกัน ตามนี้เลยครับ “มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย” เรื่องเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย นั้นเราอาจควบคุมไม่ได้ แต่ไอ้ประโยคที่ว่า “มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย” นี่แหละ ทำให้คนเราขาดพลังในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ มาเยอะแล้ว ถ้าเราคิดว่าความฝันของจะกลายเป็นความจริงจากการใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในเวลาว่าง แบบนี้คิดใหม่ดีกว่า เราต้องทุ่มเทสุดตัวเพื่อเป้าหมายของเรา ถ้าแค่ครึ่งหนึ่งของผลงานที่ออกมาก็พาเราเซ็งแล้ว ก็อย่าทุ่มเทแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ และถ้ารู้สึกไม่แฮปปี้กับสิ่งที่เป็นอยู่
คุณว่าที่มาของ “อำนาจ” ที่ทำให้คนแต่ละคนแตกต่างกันคืออะไรหากไม่นับรวมต้นทุนที่บางคนคาบติดตัวมาตั้งแต่เกิดอย่างทรัพย์สินเงินทอง ถ้าคำตอบของคุณคือ “ความสามารถ” หรือทักษะที่เราจะวัดกันจากผลงานอย่างเดียวมันก็ออกจะเป็นการฝันกลางวันไปหน่อย เพราะในโลกความเป็นจริง “คนเก่ง” ที่ไม่ได้ไปต่อ กองตายเกลื่อนมีอยู่เป็นกองทัพเพราะขาดสกิลสำคัญคือ “การนำเสนอความเก่ง” หรือ “การสร้างอำนาจจากคำพูด” กว่าจะได้แสดงความเก่งสู่สายตา “คำพูด” มันจึงต้องผ่านด่านก่อน เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ไต่อันดับขึ้นไปท็อปฟอร์ม โดดไปอยู่แนวหน้าที่พูดอะไร แบบไหนใครก็ฟังก็เชื่อ เราคัดวิธีสร้างความมั่นใจมาให้ทดสอบด้วยตัวเองกันแล้ว บอกเลยว่างานนี้ดึง insight มาจากการวิเคราะห์เหล่า CEO ที่เคยให้ข้อมูลกับการนำเสนอของ IPO road-show หรือการขายหุ้นสดใหม่ที่ไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้ว่ามันรุ่งหรือร่วง ซึ่งแค่ 30 วินาที นักลงทุนก็รู้ทันทีว่าคำพูดพวกนั้นจะแหกกระเป๋าพวกเขาไปได้หรือเป็นแค่เรื่องแหกตาปาหี่ จากปัจจัยการมองเพียง 5 อย่างนี้เท่านั้น ชุดเนี้ยบกว่าคนทั้งห้อง 25 % เลิกพูดเถอะว่าแต่งตัวยังไงก็ไม่สำคัญ หากกางเกงเจเจหรือขาก๊วยที่สวมมามันไม่ได้ยัดเงินตุงมาเต็มกระเป๋ากางเกง เพราะทันทีที่เดินก้าวเข้ามาในห้องเพื่อจะพูดนำเสนออะไรก็ตาม คนเขาก็มองและตัดสินคุณตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว เพราะฉะนั้นความประทับใจแรกและความเป็นมืออาชีพเลยเกาะอยู่ตามเสื้อผ้า ซึ่งคีย์สำคัญมันอยู่ที่ 25% ที่คุณต้องบวกมันเพิ่มขึ้นมาให้เหนือกว่าคนทั้งห้อง ต้องมีสไตล์กว่า ต้องเป็นทางการกว่า นั่นคือการช่วงชิงความเชื่อที่ดีได้ EXPERT RECOMMEND: Matt Eversmann
เรื่องงานผู้ชายอย่างเราไม่มีหวั่น เรื่องเล่นผู้ชายอย่างเราก็ไม่กลัว แต่ถ้าพูดถึงช่วงเวลาพักในวันทำงานผู้ชายอย่างเรามักจะงง ๆ ว่าจะกินข้าวแล้วเล่นมือถือดีไหม ? จะพูดคุยวางแผนงานกับเพื่อนในออฟฟิศโอเคหรือเปล่า ? หรือจะหอบหมอนไปแอบงีบชาร์จพลังไปเลย ? เพราะเวลาพักที่มีมากสุดแค่ 60 นาทีที่จะพักยังไงก็ดูไปไม่สุดทาง ยิ่งเวลาพักช่วงบ่าย 30 นาที หรือเวลาที่เราพักเอง 5-15 นาทีซึ่งดูน้อยนิดจนนั่งถอนหายใจก็หมดเวลาแล้วก็ยิ่งทำให้ผู้ชายอย่างเราต้องกุมขมับว่าจะใช้เวลาพักเหล่านี้ไปกับอะไรดี ? ที่สำคัญใช้เวลาพักอย่างไร ถึงจะกลับมาปั่นงานได้เต็มสูบ เรามีสูตรลัดมาให้เลือกใช้กัน พัก 5-15 นาที : จิ๋วแต่แจ๋ว ถ้าขยับตัว ทำสมาธิและมองต้นไม้ แม้เวลา 5-15 นาทีจะดูเป็นเวลาที่ไม่มากและไม่สำคัญเอาเสียเลย แค่ใช้เวลานั่งดูลิสต์สิ่งที่ต้องทำหรือตอบอีเมลแป๊ป ๆ ก็หมดเวลาแล้ว แต่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง Maura Thomas ที่เขียนหนังสือเกี่ยวกับการทลายกำแพงในการทำงานบอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับการพัก 5-15 นาทีคือ “ต้องพาตัวเองออกไปเคลื่อนไหว” โดยอาจจะเดินขึ้นลงบันไดสัก 1-2 ชั้น เดินออกไปนอกออฟฟิศสักหนึ่งช่วงตึก หรือแม้แต่ยืดแข้งยืดขาอยู่ในออฟฟิศก็ได้ การเคลื่อนไหวเหล่านี้จะช่วยเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการโฟกัสให้คุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนั้นการสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อทำสมาธิกับตัวเองอาจจะ 2 นาที หรือมากกว่านั้นก็จะช่วยให้การกลับมาทำงานเป็นไปอย่างสดชื่นมีชีวิตชีวามากขึ้น
ผู้ชายสายบ้าพลังที่ทำงานเต็มสูบมาโดยตลอดอย่างเรา มักชินกับวิธีคิดที่ว่าอารมณ์ดีคือพลังบวก เราต้องอารมณ์ดีตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่เกิดอารมณ์ลบ ๆ อารมณ์แย่ ๆ ขึ้นมาเราเลยยิ่งหัวร้อนหงุดหงิดจัดการตัวเองไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าอารมณ์เชิงลบเหล่านี้แม่งไร้ค่าจริง ๆ แต่ UNLOCKMEN อยากให้ปรับความคิดใหม่ เพราะอารมณ์ลบ ๆ มันก็สำคัญเหมือนกัน เพราะมันเป็นสัญญาณที่กำลังเตือนให้เราปรับตัวกับอะไรบางอย่างตรงหน้า แต่ถ้าไม่รู้ว่ามันกำลังเตือนอะไรวันนี้ UNLOCKMEN จะมาตีแผ่ให้เห็นกัน ความโกรธคือเครื่องเตือนถึงความไม่ยุติธรรม! ความหัวร้อนอย่างอารมณ์โกรธมักเป็นอารมณ์ลบอันดับต้น ๆ ที่ถูกสังคมมองว่าควรสะกดมันไว้ให้มิด อย่าได้แหลมขึ้นมาให้ใครเห็นเห็นเป็นอันขาด ยิ่งบ้านเราที่พุทธศาสนามักพูดว่าโกรธคือโง่ด้วยแล้ว เราจึงมองอารมณ์โกรธในแง่ลบตลอดมา แต่จริง ๆ แล้วความโกรธช่วยกระตุ้นและขับเคลื่อนไปสู่การกระทำบางอย่าง รวมถึงคอยบอกเราว่าเมื่อไหร่ได้เวลาที่ต้องวางขอบเขตให้ชีวิตการทำงานแล้ว เพราะเมื่อเราโกรธนั่นแปลว่ามีใครบางคนกำลังล้ำเส้นความอดทนที่เราตั้งไว้ขึ้นมา ที่สำคัญความโกรธนี่แหละที่จะเป็นแรงกระตุ้นให้เราเรียกร้องอะไรบางอย่างเมื่อความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น ความโกรธจึงเป็นสัญญาณสำคัญในการบอกว่ามีคนกำลังล้ำเส้นเราอยู่ สิ่งที่เราต้องดูคือ เราวางเส้นไว้แคบเกินไปไหม ? ขยายเส้นได้หรือเปล่า ? แต่ถ้าเรามั่นใจว่าเส้นเราคือมาตรฐานปกติแต่มีคนล้ำเข้ามา นั่นแปลว่าได้เวลาลงมือเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองแล้วล่ะ ความวิตกกังวลเป็นสัญญาณว่าเราจะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาด หลายครั้งเวลาจะทำโปรเจกต์ใหญ่ ความวิตกกังวลมักจะมาเยือน แม้หลาย ๆ คนจะบอกว่า โธ่ ถ้าคุณเตรียมตัวดีคุณจะไม่วิตกกังวลเลย ซึ่งไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะบางคนต่อให้เตรียมตัวดีแค่ไหน ความวิตกกังวลก็ยังตามติดเหมือนวิญญาณอาฆาตอยู่ดี อย่ามัวคิดว่ามันทำให้ทุกอย่างพัง เพราะจริง ๆ
“ความไม่แน่นอน คือความแน่นอน” นี่คือประโยคเตรียมใจที่ใช้ได้กับทุกเรื่องบนโลกที่โคตรไม่แน่นอนใบนี้ หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องงาน ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม แต่เหตุการณ์สุดเซ็งอย่างโดนไล่ออก โดนเลย์ออฟ ยังคงเป็นเรื่องนอยด์ ๆ ที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน เพราะฉะนั้นการหางานใหม่ย่อมเกิดขึ้นทุกนาทีเช่นกัน ซึ่งเราอาจจะคุ้นชินกับวิธีเดิม ๆ อย่างท่องเว็บไซต์หางาน เข้าร่วม networking event ต่าง ๆ อัพเดท resume แล้วส่งอีเมลสมัครงานแบบกราด ๆ รอ HR บริษัทนั้น ๆ โทรมานัดสัมภาษณ์ แต่สำหรับผู้ชายที่ล้มแล้วลุกไวอย่างเรา คงจะไม่ใช้วิธีการแบบทั่วไปที่ดูเหมือนกับเป็นการรอคอยโอกาส แต่เราจะพัฒนาตัวเองให้มีคุณค่ามากขึ้น และหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการหางานใหม่ ชาว UNLOCKMEN ที่กำลังหางานใหม่อยู่ และเห็นด้วยว่าเราควรเงยหน้าขึ้นสู้ ลองทำตามวิธีการเหล่าที่เรานำมาแนะนำดู แล้วจะรู้ว่าคุ้มตั้งแต่ยังไม่รู้ผล รู้จักการขายตัวเองให้เจ๋งพอ “สิ่งที่จำเป็นมาก ๆ สำหรับคนที่กำลังหางานใหม่ก็คือความพร้อมในตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘ทำไม ?’ ” Mark Anthony Dyson โค้ช และผู้ก่อตั้ง Voice of Job Seekers ให้ความเห็นที่สนับสนุนวิธีการแรก คำถามเบสิคแต่ลึกซึ้งที่เรามักจะถูกถามเวลาสัมภาษณ์งานก็คือ “ทำไมคุณถึงอยากทำงานนี้
ขึ้นแท่นเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่ขายดีที่สุดตลอดกาลแบบไม่มีใครกล้าเทียบไปแล้วสำหรับ One Piece เรื่องราวของกลุ่มโจรสลัดที่นำโดยมังกี้ ดี ลูฟี่ และออกเดินทางสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่เพื่อตามล่าความฝันในการเป็นจ้าวแห่งโจรสลัด โดยล่าสุดซีรีส์การ์ตูนเรื่องนี้ทำยอดขายรวมทั่วโลกกว่า 440 ล้านเล่ม ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง Dragon Ball ซึ่งทำยอดขาย 240 ล้านเล่มแบบไม่เห็นฝุ่น อะไรคือปัจจัยของความสำเร็จนี้? หนึ่งในวลีที่เหล่าผู้ประสบความสำเร็จมักจะพูดกันเสมอคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการจะประสบความสำเร็จนั้นคือคุณต้องคลั่งไคล้กับสิ่งที่คุณทำ ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องนี้ Eiichiro Oda ผู้เขียน One Piece ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน เราไปดูกันดีกว่าเคล็ดลับและวิธีการทำงานของเขากัน ว่ากว่าจะพาการ์ตูนเรื่องหนึ่งเดินทางขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลกได้ต้องฟันฝ่าอะไรมาบ้าง เพราะการเดินทางแสนยาวไกลจึงไม่อาจพักผ่อน “ทำไม One Piece ออกช้าจังไม่ทันใจเลย”, “One Piece อาทิตย์นี้งดอีกแล้ว เซ็งว่ะ” ถ้าคุณเคยเป็นคนหนึ่งที่เคยมีความคิดแบบนี้ลองฟังความจริงข้อนี้ก่อนรับรองว่าความคิดคุณจะเปลี่ยนไปแน่นอน ชีวิตประจำวันของชายวัย 43 ปีนาม Eiichiro Oda เริ่มต้นลุกจากเตียงตั้งแต่ตี 5 ฟ้ายังไม่ทันสว่างด้วยซ้ำ และเริ่มต้นทำงานทันทีโดยไม่ลุกไปไหน ไม่มีการพัก เว้นแต่ตอนทานข้าวหรือเข้าห้องน้ำเท่านั้น จนกระทั่งเวลาตี 2 เขาถึงจะลุกจากโต๊ะทำงานไปนอน สรุปแล้ว Eiichiro Oda ทำงานวันละ 21