โลกของการทำงานที่พวกเราต้องเจอคนร้อยพ่อพันแม่ คงต้องมีสักครั้งที่เราเจอกับ “บุคคลมลพิษ” อุดมเรื่องแย่ ทั้งความเห็นแก่ตัว โม้เก่ง หลงตัวเอง ใช้ทุกวิถีทางเหยียบหัวคนอื่นให้ตัวเองดูดี โกงแค่ไหนก็ชิลได้เหลือเชื่อ เรื่องผิดจรรยาบรรณมันก็ทำได้สบาย แต่ตลกร้ายคือเจ้านายชอบโปรโมตคนพวกนี้เสียเหลือเกิน เพื่อคลายความสงสัยว่าทำไมเจ้านายดันไร้วิจารณญาณมองไม่เห็นด้านลบเหล่านี้ วันนี้เราจึงล้วงคำตอบจากการวิจัยมาบอก รับรองเลยว่าคุณจะเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นอย่างแน่นอน ที่สำคัญยังได้วิธีเอาชนะ จนเจ้านายมองเห็นค่าของตัวเราด้วย ไขความลับคนลบ ๆ ทำไมเจิดจ้าในสายตาเจ้านาย ผลวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ใน Personality and Individual Differences ที่ Klaus J Templer วิจัย ชี้ให้เห็นว่าทักษะด้านการเมืองมีอิทธิพลกับการเติบโตในหน้าที่การงาน ใครที่คิดภาพไม่ออกว่าทักษะพวกนี้มันหน้าตาเป็นอย่างไรก็ให้คิดถึงนักการเมืองสักคนเวลาทำงาน เขาจะมีคลังคำพูดจูงใจดี ๆ ขนมาใช้ มีความเป็นนักไกล่เกลี่ย ประนีประนอม และเก่งเรื่องแสดงความจริงใจในใบหน้าให้อีกฝ่ายเห็น ฟังดูทักษะการเมืองมันก็มีแต่ทักษะดี ๆ ใช่ไหมล่ะ? แต่เรื่องแปลกคือมันมักอยู่ในคนที่ไม่ดีซะงั้น ซึ่งเรื่องนี้เขาก็ไม่ได้พูดปรักปรำแบบส่ง ๆ แต่ใช้วิธีสุ่มสำรวจจากกลุ่มพนักงานจำนวน 110 คนให้ประเมินสกิลด้านการเมืองกันสักหน่อยว่าตัวเองมีมากน้อยแค่ไหน จากนั้นค่อยนำคนเหล่านี้ไปทำแบบสำรวจเช็กบุคลิกภาพจากหนังสือ H-factor of personality หนังสือที่ว่าด้วยหกมิติพื้นฐานของบุคลิกภาพมนุษย์ ใครที่ได้คะแนนสูงจัดว่าเป็นคนซื่อสัตย์อ่อนน้อม ส่วนคนไหนคะแนนปิ๋วค่อนไปทางต่ำก็แน่นอนว่าเป็นไปในทางตรงข้าม จากนั้นเอามาเทียบกันแล้วเอาไปสอบถามความเห็นจากหัวหน้าอีกที
ผู้ชายวัยทำงานอย่างเรา ๆ คงจะเข้าใจดีถึงการใช้ชีวิตในโหมดบ้าพลังตั้งใจทุ่มเททำงานอย่างหนักหน่วง เพื่อเป้าหมายปลายทางในการไขว่คว้าหาความสำเร็จมาครอบครอง เรียกได้ว่าบ่อยครั้งที่ลุยงานหามรุ่งหามค่ำกันแบบลืมเหนื่อย แต่ถึงแม้ใจจะไหวเกินร้อย สุดท้ายร่างกายที่ไม่ใช่เครื่องจักรยังไงก็ต้องมีวันหมดพลังเหนื่อยล้าอ่อนแรงกันบ้าง และถึงแม้หลายคนจะคิดว่า เหนื่อยกายแค่นี้มันจิ๊บจ๊อย เพราะมั่นใจว่าดูแลร่างกายตัวเองอย่างดี พักเดี๋ยวเดียวก็หาย แต่ถึงแม้จะฟิตแค่ไหนเมื่อต้องเจอกับการใช้ชีวิตรวมถึงการทำงานแบบใส่เต็มเหนี่ยวอย่างต่อเนื่องคงหนีไม่พ้นจากภาวะเหนื่อยล้าสะสม ครั้นจะหนีไปนอนพักร่างชาร์จพลังยาว ๆ มนุษย์งานเดือดอย่่างพวกเราก็คงไม่มีเวลามากขนาดนั้นวันนี้ UNLOCKMEN จึงขออาสามาแนะนำวิธีปลุกพลังให้ฟื้นคืนจากความเหนื่อยล้าแบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก เหมาะสำหรับเป็นหนทาง Boost Up Energy ในยามเร่งด่วน ให้ชีวิตกลับมาสดชื่นแจ่มใสพร้อมลุยเต็มที่ในทุก ๆ วัน PEPPERMINT ใครจะไปคิดว่าใบมิ้นต์หรือสะระแหน่ใบเล็ก ๆ จะช่วยพลิกฟื้นคืนพลังให้กับเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Sport and Exercise Psychology โดยศาสตราจารย์ Bryan Raudenbush ผู้อำนวยการฝ่ายงานวิจัยแห่ง Wheeling Jesuit University ได้ค้นพบข้อสรุปที่ว่ากลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์นั้นช่วยให้นักกีฬาแกร่งขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ ด้วยการทดสอบสมรรถภาพนักกีฬาจำนวน 40 คน ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง ทั้งที่มี และไม่มีกลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์ โดยขณะที่นักกีฬาอยู่ในห้องเปปเปอร์มิ้นต์นั้นจะสามารถวิ่งได้เร็วกว่า วิดพื้นได้จำนวนครั้งมากกว่า
เพิ่งจะ TGIF ไปไม่นาน เผลอแป๊ปเดียววันจันทร์มาเยือนอีกแล้ว แค่คิดว่าพรุ่งนี้ต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าก็รู้สึกท้อ ไหนจะต้องเผชิญกับการจราจรห่วยแตก งานน่าเบื่อ หัวหน้างานงี่เง่าอีก วันจันทร์เลยกลายเป็นวันที่ทุกคนพร้อมใจกันเกลียด แต่นอกจากเหตุผลเหล่านี้แล้วยังมีเหตุผลอีกหลายข้อที่ทำให้วันจันทร์เป็นวันที่ทุกคนไม่อยากให้มันมาถึง ใครที่เกลียดวันแห่งสีเหลืองวันนี้เหมือนกัน มาหาคำตอบไปพร้อมกัน และ UNLOCKMEN พอจะมีวิธีแก้คร่าว ๆ ให้ หลับสนิททั้งคืน แต่ตื่นมายังงัวเงีย หลังจากปาร์ตี้มาอย่างสุดเหวี่ยงในคืนศุกร์-เสาร์ วันอาทิตย์คือวันพักผ่อนของเหล่าคนทำงาน อยู่บ้านไม่ออกไปไหนและตั้งใจจะเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อจะได้ตื่นไปทำงานอย่างสดชื่น หลังจากที่คุณหลับสนิท 8 ชั่วโมงรวดโดยไม่มีการสะดุ้งตื่นกลางคันเลย แต่คุณกลับตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เชื่อว่าหลายคนคงเคยเป็น ถ้าคุณหลับสนิทดีแปลว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การนอนของคุณแล้วล่ะ น่าจะอยู่ที่ ‘แรงบันดาลใจ’ ต่างหาก เปรียบเทียบกับการออกทริปต่างจังหวัดกับเพื่อน ๆ เพื่อให้เห็นภาพชัด ๆ ในตอนนั้นคุณเที่ยวมาทั้งวัน แถมตอนกลางคืนยังปาร์ตี้กันจนเละเทะอีกต่างหาก แต่คุณกลับตื่นขึ้นมาอย่างแจ่มใส พร้อมจะลุยวันใหม่ นั่นเป็นเพราะคุณตื่นเต้นและรู้ดีว่าเมื่อตื่นขึ้นมาจะพบความสนุก แต่วันจันทร์ที่เป็นวันทำงานวันแรกและคุณรู้ว่าสิ่งที่น่าเบื่อกำลังรอคุณอยู่จึงทำให้คุณรู้สึกอยากนอนอยู่บนเตียงต่อไปมากกว่า ปัญหาของเรื่องนี้อาจจะอยู่ที่ว่าคุณไม่ได้รักงานของคุณมากพอหรือเปล่า? วิธีแก้: ลองหาส่วนที่คุณชอบที่สุดของงานของคุณดู บอกตัวเองว่าวันจันทร์เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้คุณได้กลับไปทำในสิ่งที่รักนั้น คุณน่าจะรู้สึกดีกับวันจันทร์มากขึ้นแน่ ๆ อย่าเพิ่งมา ยังไม่พร้อม! เหตุผลข้อนี้ตรงข้ามกับข้อแรก ด้านบนเป็นคนที่เตรียมตัวพร้อมสำหรับวันจันทร์แต่ก็ยังรู้สึกเบื่อ แต่ในข้อนี้สำหรับคนที่ยังเตรียมตัวไม่พร้อม คุณอาจจะมีงานค้างต้องทำในช่วงสุดสัปดาห์แต่คุณดันปาร์ตี้เพลินจนลืมหรือเหตุผลอะไรก็แล้วแต่จนคุณลืมทำงาน แน่นอนว่าคุณจะต้องโดนเจ้านายระเบิดใส่จึงเกิดกลัวและไม่อยากให้วันจันทร์มาถึง วิธีแก้: เหตุผลข้อนี้แก้ไม่ยากเลย
นาฬิกาก็ทำหน้าที่ของมันตามเดิม แต่ทำไมเข็มนาฬิกาแต่ละวันกลับเดินไม่ตรงกับใจพวกเราเอาเสียเลย 8 ชั่วโมงของการทำงานจันทร์ถึงศุกร์ที่เราทุ่มเทให้มัน ชาว UNLOCKMEN คงต้องเคยเจอช่วงว่าง ๆ เพราะความ Productive ของตัวเองที่ทำงานเร็วจนไม่เหลืออะไรให้ทำ หรืองานที่เคยโดน Assign มาช่วงนี้มันหดหายไปจนทำให้รู้สึกเบื่อกับการนับถอยหลังให้ถึงเวลาเลิกงานใช่ไหม ? เพื่อให้เวลามันกลับไปไวตามใจเหมือนเดิม ลองมาหากิจกรรมยามว่างที่มีค่ามากกว่าการหายใจทิ้งหรือขยับดู Netflix ไปเรื่อย ๆ แบบที่ทำประจำดีกว่า เราอยากแนะนำ 5 วิธีนี้ให้ไปทำกันดู รับรองว่ากว่าจะรู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็เตรียมลับขอบฟ้าแล้ว แถมเป็นการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าด้วย ปลุกพลังจากความชอบมาคิดโปรเจ็กต์ใหม่ โปรเจ็กต์เดิมเสร็จแล้ว โปรเจ็กต์ใหม่เกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นจงใช้เวลาว่าง ๆ นี้ไล่กวดความคิดความชื่นชอบอีกด้านของคุณเสีย ถ้าชอบวาดรูปก็ลองจับปากกาขึ้นวาดดู หรือถ้าชอบมาร์เก็ตติ้งก็ตามข่าวที่มีอยู่เต็มโลกออนไลน์ในด้านนั้นเสีย ไม่แน่ว่าระหว่างการไล่ล่าความฝันมันอาจปลุกพลังมาสร้างไอเดียไว้ต่อยอดเป็นโปรเจ็กต์ใหม่ในออฟฟิศที่ทำให้ KPI ปลายปีล้นช่องออกมาได้ก็ได้ ที่สำคัญยังเป็นการคิดไอเดียใหม่ ๆ ที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าได้อีกด้วย เปิด Podcast หรือฟังไฟล์ Audio ทั้งหลาย ถ้าวันนี้มีงาน Routine ง่าย ๆ มา แต่ไม่ต้องใช้สมาธิมากนักทำให้รู้สึกอยากฆ่าเวลา การฟังเสียงโดยไม่ต้องสนใจมองนาฬิกาข้างฝาหรือด้านล่างจอคอมฯ จะช่วยสร้างความบันเทิงให้เราลืมความเบื่อได้ เดี๋ยวนี้มี
ชีวิตที่ดีต้องมีแต่ความสุข คำพูดที่ถูกปลูกฝังมาจากหนังสือและแรงบันดาลใจจากกูรูหลากหลายอย่างหนัก ดูเผิน ๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ในชีวิตจริงคงเป็นไปได้ยากที่จะมีความสุขได้ตลอดเวลาขนาดนั้น วันนึงเราเกิดสงสัยในความจริงเรื่องนี้ว่า ยิ่งโดนปลูกฝังให้มีความสุขตลอดเวลา มันยิ่งรู้สึกเหนื่อยในการพยายามประคองรักษาระดับความสุขของตัวเอง เกิดเป็นปมเปรียบเทียบกับคนอื่นว่า คนอื่นเค้ามีความสุขกัน แล้วทำไมเราถึงต้องเศร้า ต้องอารมณ์ไม่ดี ทั้งที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวนอกเหนือการควบคุมนั้น พร้อมที่จะทำให้เราเสียใจได้ตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่การจราจร เพลงเศร้า ลูกค้าด่า เจ้านายคลั่ง ของหาย และอื่น ๆ อีกมากมาย “You should take the approach that you’re wrong, Your goal is to be less wrong”- Elon Musk สิ่งที่เราสนใจคือการได้อ่านบทสัมภาษณ์ของ Elon Musk ที่มีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาเหนือกว่าคนอื่น ส่วนนึงมาจากความสามารถรับมือกับความผิดพลาด ตัวเค้าผ่านความผิดพลาดมาชนิดนับครั้งไม่ถ้วน ด้วยความชอบทดลองลงมือทำอะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา Musk มองว่าเป้าหมายของเค้าไม่ใช่การไม่ผิดพลาด แต่เป็นการเอาชนะความเสียใจจากความผิดพลาดนั้น และพยายามผิดพลาดให้น้อยลง จนกระทั่งไม่ผิดพลาดเลย การใช้ข้อดีจากความเสียใจในข้อผิดพลาดของ
แพสชั่น ความหลงใหล หรือความชื่นชอบต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างถึงแก่น กลายเป็นเหมือนสูตรสำเร็จของผู้คนยุคสมัยนี้ไปแล้ว ผู้ชายอย่างเรา ๆ ก็หนีไม่พ้น ไม่ว่าจะได้งานที่ไหน ใคร ๆ ก็พากันพูดถึง “แพสชั่นในการทำงาน” กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น “หาแพสชั่นในงานนี้ให้เจอสิ” , “ทำงานแบบมีแพสชั่นหน่อย”, “ถ้าไม่มีแพสชั่น ทำงานแค่ไหน ก็ไปไม่ถึงจุดพีคหรอกเว้ย!” และอีกสารพัดบทท่องจำที่เมื่อไหร่ใส่คำว่า “แพสชั่น” เข้ามาในบทสนทนา คำพูดนั้นจะกลายเป็นคำพูดปลุกใจโคตรศักดิ์สิทธิ์ที่่ล่อลวงผู้ชายอย่างเราให้ไฟลุก รีบตามหาแพสชั่นของชีวิตกันแบบสุดหล้าฟ้าเขียว แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า UNLOCKMEN อยากบอกว่า “แพสชั่นไม่ใช่ยาวิเศษของชีวิตและการทำงาน” และมันอาจมีผลเสียมากกว่าที่คิด ถ้าเราเอาชีวิตไปผูกติดกับคำ ๆ เดียวอย่าง “การหาแพสชั่นให้เจอ” การท่องคำว่าแพสชั่นซ้ำ ๆ เหมือนล้างสมองตัวเองอาจต้องถูกพักเอาไว้ก่อน เพราะงานวิจัยที่มีชื่อว่า Implicit Theories of Interest: Finding Your Passion or Developing It? ที่เขียนขึ้นโดยนักจิตวิทยาจาก Yale-NUS College แห่ง National University
ผู้ชายอย่างเรามักคิดว่าคนที่รู้สึกผูกพันกับองค์กรคือคนเก่ง คนกระตือรือร้น หรือคนที่ทำงานได้ดีมากๆ แต่กลายเป็นเรื่องช็อกระดับโลกเมื่องานสำรวจชิ้นหนึ่งออกมาบอกว่าคนที่ทำงานเก่งหรือทำงานแบบมีประสิทธิภาพกว่า 42% ไม่มีความรู้สึกสัมพันธ์หรือเป็นส่วนหนึ่งกับองค์กรเอาเสียเลย! (โดยเขาก็นิยามความสัมพันธ์กับองค์กรไว้ว่ารู้สึกพอใจกับองค์กร รู้สึกมีแรงบันดาลใจจะทำงาน) ในขณะที่คนที่ทำงานได้มีประสิทธิภาพน้อยกว่าจะรู้สึกมีความสุขกว่า มีแรงบันดาลใจกว่า (เพราะทำงานได้เรื่อย ๆ ไม่กดดัน) เฮ้ย มันเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง ? คนที่เก่ง ๆ ทำงานประสิทธิภาพสูง ๆ ก็ควรจะเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจและมีความสุขกับงานสิ แต่ทำไมการเป็นคนทำงานเก่งจึงกลายเป็นความโศกเศร้าเจ็บปวดไปได้ ? ยิ่งทำงานเก่งยิ่งได้ทำงานที่แย่ที่สุด!? อย่าเพิ่งปฏิเสธข้อมูลนี้ แต่ลองสวมจิตวิญญาณบอสผู้กุมบังเหียนบริษัทข้ามชาติ ที่มีงานแต่ละชิ้นเป็นเดิมพันความเสียหายระดับหลายสิบล้าน แล้วบริษัทเราดันมีงานใหญ่ งานด่วนเข้ามาตอน 4 โมงเย็นวันศุกร์ แล้วต้องเสนอลูกค้าตอน 9 โมงเช้าวันจันทร์ งานนี้จะพลาดไม่ได้ เพราะการพลาดแค่ก้าวเดียวหมายถึงการเสียความน่าเชื่อถือครั้งใหญ่ ในฐานะบอส เราจะทำงานใหญ่ให้เสร็จด้วยตัวคนเดียวก็คงเป็นไปไม่ได้ และเมื่อเราต้องมองหาพนักงานในองค์กรสักคนที่จะเข้ามาช่วยรับมือโปรเจ็กต์ใหญ่ในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้ เราจะให้คนที่เพอร์ฟอร์แมนซ์การทำงานกลาง ๆ ช่วยเรา หรือจะให้คนที่เราเห็นว่าเพอร์ฟอร์แมนซ์ดีเกิน 90% มาช่วยเรา ? คงพอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมว่าบางครั้งการเป็นคนทำงานดี ทำงานเก่ง หรือทำงานเข้าตาบอสก็เจ็บปวดไม่เบา เพราะทุกครั้งที่มีงานด่วน งานเร่ง งานที่ต้องการการเสียสละมาก ๆ คนเก่งจะต้องรับหน้าที่นั้น จึงเป็นเหตุผลว่าคนทำงานดีต้องรับน้ำหนักความกดดันในงานแต่ละชิ้นมากกว่า
ถ้าเราบอกคุณว่า “อีกไม่กี่ปีข้างหน้าพวกเราอาจต้องเป็นทาส AI” คุณจะเชื่อมันไหม จะรู้สึกยังไง โกรธที่เราพูดแบบนี้ ท้อแท้ใจ หรือบ่นงึมงำในลำคอว่า UNLOCKMEN เชียร์ AI เก่งเหลือเกิน แต่ไม่ว่าคุณจะคิดแบบไหนก็ตามความก้าวหน้าที่กำลังจะได้เห็นต่อจากนี้มันคงไม่มีวันถอยหลังอย่างแน่นอน ทีนี้มันก็อยู่ที่ว่าพวกเราจะยอมแพ้ให้กับสิ่งที่เห็นไหม หรือฮึดลุกขึ้นมองหาลู่ทางอื่น และพยายามหาทางหวดคืนเพื่อก้าวเหนือมันให้ได้ Why AI might takes all? “จะเก่งแค่ไหนกันเชียว มันก็เป็นแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น?” อย่าเพิ่งพูดประโยคนี้ถ้าคุณไม่รู้ว่าวันนี้บรรดาสมองกลทั้งหลายทำอะไรได้บ้าง เรื่องแรก AI ไม่ได้เป็นแค่โค้ดลาย ๆ ในจอคอมพิวเตอร์ที่คอยดูดข้อมูลเราไปประมวลผลหรือแข่งขันเรื่องคำนวณเท่านั้น หลังตัดสายสะดือจากจอปุ๊ป มันจะกลายเป็นรูปแบบไหนก็ได้ชนิดที่เราคาดไม่ถึงทันที เรื่องที่สองเมื่อ AI โดดออกมาจากจอมันไม่ใช่หุ่นกระป๋องต๊อกต๋อยรูปทรงสี่เหลี่ยมอีกต่อไป และเรื่องที่สามอย่าประเมินต่ำว่า AI จะไม่มีวันเลื่อยขาเก้าอี้ของเราได้ เพราะเราไม่ได้ทำงานในอุตสาหกรรมประเภทโรงงาน แล้ววันนี้อาชีพที่ AI จะเข้าไป take over ได้เพิ่มเติมจากอาชีพที่เราเคยรู้คืออะไรกันบ้างมาเช็กดู HELLO INFLUENCER, HELLO STRANGER เชื่อว่าผู้ชายทุกคนต้องมีคนดังในใจที่เราคอยตาม follow กัน แต่แน่ใจได้จริงเหรอว่าคนในหน้าจอที่เราเห็นคือมนุษย์ตัวจริง ไม่ใช่กราฟฟิกสวมวิญญาณจากสิ่งแปลกปลอมอื่น เมื่อล่าสุดผลงานของ Hakuhodo Tokyo
เราเชื่อว่าโดยพื้นฐานของมนุษย์ ในวันเริ่มแรก ทุกคนน่าจะมีศักยภาพเท่ากัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันไปก็คือประสบการณ์ ความรู้ ต่างคนต่างมีลักษณะนิสัยขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัว คนที่รู้เยอะ จินตนาการเยอะ ก็อาจจะได้เปรียบคนที่ไม่ค่อยได้เสพความรู้รอบตัวมากนัก บางคนได้ท่องโลกบ่อย เข้าถึงความรู้ได้มากกว่า ก็ได้เปรียบไป แต่ในยุคของโลก INTERNET ทำให้ข้อจำกัดตรงนั้นถูกทำลายไป ทุกคนเข้าถึงข้อมูลได้เท่ากัน อยู่ที่แต่ละคนจะใช้มันเสพความรู้เรื่องอะไร แต่เคล็ดลับที่ BILL GATES และ ELON MUSK บอกไว้เสมอ ก็คือแหล่งความรู้ของพวกเค้านั้นมาจาก ‘การอ่าน’ แต่การอ่านเองก็มีทั้งอ่านแล้วได้ประโยชน์ กับอ่านแล้วได้บันเทิง เวลาเราเห็นสถิติที่บอกว่า คนไทยอ่านหนังสือปีละ 8 บรรทัด อาจจะคิดว่าไม่จริง เราก็อ่านอยู่ตลอดเวลา อ่านทั้งวัน อ่านทุกวัน โดยเฉพาะเรื่องดราม่าและข่าวบันเทิง ความต่างจากการอ่านที่ GATES และ MUSK บอกก็คือ เราจะได้ประโยชน์จากมัน ต่อเมื่อมันเป็นบทความหรือหนังสือที่มีประโยชน์ มีสาระ ช่วยพัฒนาความรู้และจินตนาการทางใดทางหนึ่ง BILL GATES บอกว่า “การอ่านเนื้อหาที่มีประโยชน์ สอนให้เราได้ความรู้ที่เราไม่รู้ มุมมองที่เราคิดไม่ถึง เหมือนเป็นการให้อาหารสมองตลาดเวลา จะบอกว่าการอ่านทำให้ผมประสบความสำเร็จ ก็ไม่ผิดเลย”
ฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้คงไม่มีใครเหมาะกับวลี ‘From Zero to Hero’ มากไปกว่า Gabriel Jesus กองหน้าดาวโรจน์ของทีมชาติบราซิลอีกแล้ว เพราะถ้าย้อนไปเมื่อ 4 ปีก่อน ฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลเป็นเจ้าภาพ Gabriel Jesus ในวัย 17 ปี ขณะนั้นเขาเป็นเพียงนักเตะฝึกหัดของสโมสร Palmeiras แน่นอนว่ารายได้ย่อมไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ดังนั้นเขาจึงรับจ็อบพิเศษด้วยการเป็นช่างทาสีตามกำแพงหรือพื้นถนนต้อนรับฟุตบอลโลกที่กำลังจะมาถึง แต่เพชรยังไงก็คือเพชร หลังจากจบศึกฟุตบอลโลก 2014 Gabriel Jesus ก็เริ่มโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมจนได้รับโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ Palmeiras และเขาก็ไม่ทำให้โค้ชและเพื่อนร่วมทีมผิดหวัง กระหน่ำประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนเป็นที่หมายปองจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป และก็เป็นทีมเรือใบสีฟ้า Manchester City ที่คว้าตัวเขาไปครองได้สำเร็จด้วยค่าตัว 27 ล้านปอนด์ ซึ่งนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น Gabriel Jesus ไม่หยุดการพัฒนาตัวเองไว้เท่านี้ เขาพิสูจน์ตัวเองว่าฝีเท้าเป็นของจริง ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม และสุดท้ายก็สามารถพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ Premier League ได้สำเร็จ เมื่อฟอร์มดีขนาดนี้ การมีชื่อติดทีมชาติบราซิลมาลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 จึงไม่ใช่เรื่องแปลก จากวันที่เขานั่งทาสีอยู่ข้างสนามฟุตบอล ถึงวันที่เขาเป็นซูเปอร์สตาร์พาทีมบ้านเกิดลุยฟุตบอลโลกใช้เวลาเพียง 4