หลังจากตรากตรำทำงานติดต่อกันมา 5 วัน เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์เวียนมาถึงหลายคนคงไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นนอกจากการนอนอืดบนเตียงหรือถ้าเป็นสายปาร์ตี้ก็ตั้งใจเมาให้เละสมกับที่เก็บกดมาหลายวัน แต่สำหรับบางคนที่แค่ได้นอนตื่นสายสักหน่อยก็เป็นการพักผ่อนที่เพียงพอแล้ว เวลาที่เหลืออยากหาอะไรเป็นประโยชน์ทำ ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองว่างจนเกินไป วันนี้ UNLOCKMEN จึงมีวิธีพัฒนาศักยภาพตัวเองด้านต่าง ๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์มาฝาก เพื่อไม่ให้เสาร์-อาทิตย์ของคุณผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ Snooze คือสิ่งต้องห้าม “แป๊ป ๆ ก็วันจันทร์แล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” นี่คือวลียอดฮิตของเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่เราเห็นกันจนชินตาในโซเชียลมีเดีย แต่ถ้าเราลองเอาประโยคนี้มาวิเคราะห์หาสาเหตุว่าทำไมเวลาวันหยุด 48 ชั่วโมงจึงดูเหมือนน้อยเหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะว่าคุณนอนตื่นสายเกินไปหรือเปล่า วันหยุดทั้งทีก็อยากนอนขี้เกียจให้เต็มที่ รู้ตัวอีกทีพระอาทิตย์ก็ข้ามฟากมาอยู่ทิศตะวันตกแล้ว กว่าจะพาตัวเองลุกออกจากเตียง ทานข้าว อาบน้ำ ฟ้าก็ใกล้มืดหมดไป 1 วันแบบงง ๆ จะดีกว่ามั้ยถ้าในคืนวันศุกร์คุณไม่ต้องนอนดึกมาก และตื่นขึ้นมาในเช้าวันเสาร์ อาจจะตั้งนาฬิกาปลุกให้สายกว่าวันทำงานนิดหน่อยเป็นการให้รางวัลตัวเอง แต่กฎเหล็กเลยคือเมื่อนาฬิกาปลุกดังห้ามกด Snooze เด็ดขาด ให้รีบลุกออกจากเตียงทันที เพียงเท่านี้คุณก็มีเวลาเหลือเฟือที่จะทำอะไรมากมายเพื่อพัฒนาตัวเองแล้ว 2 ชั่วโมงแห่งการสร้างแรงบันดาลใจ เพียงแค่คุณแบ่งเวลา 2 ชั่วโมงจาก 48 ชั่วโมงในวันหยุดมาเป็นเวลาแห่งการสร้างแรงบันดาลใจ เชื่อเถอะว่าผลลัพธ์มันคุ้มค่ายิ่งกว่ากิจกรรมใด ๆ แน่นอน เป็นช่วงเวลาที่คุณจะเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ผ่านเข้ามาทางหน้าต่างชีวิตหลังจากที่คุณอยู่กับสิ่งจำเจมาตลอดสัปดาห์ การสร้างแรงบันดาลใจที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งน่าเบื่อเสมอไป มีกิจกรรมมากมายที่ทั้งสนุกและปลุกไฟในตัวคุณไปพร้อมกัน
สัจธรรมของโลกมนุษย์ใบนี้กล่าวไว้ข้อนึงว่า “รักใคร อย่าให้ยืมเงิน” หรือแม้แต่ฝรั่งก็ยังสอนไว้เหมือนกันว่า “Don’t lend money to friends in the first place” ไม่รู้ว่าอัจฉริยะท่านไหนเป็นคนคิดค้น แต่มันเป็นคำพูดที่มีมานานแสนนาน และมันพิสูจน์ได้ว่าการให้คนสนิทยืมเงินมักจะตามมาด้วยปัญหานั้น เป็นสัจธรรมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคก่อนมาจนถึงยุคปัจจุบัน มันจึงไม่เกี่ยวกับปัจจัยด้านสภาพเศรษฐกิจ ไม่เกี่ยวกับเรื่องของ Generation มันอยู่ที่ DNA ของลูกหนี้ ถ้าสังเกตดูให้ดี จะเห็นว่าปัญหาการทวงเงินนั้นมี Pattern ที่คล้ายกันอยู่ เริ่มจาก “พูดดีเมื่อถึงเวลายืม ทำลืมเมื่อถึงเวลาใช้ เป็นไข้เวลาโดนทวงเงิน” เพราะมูลค่าเงินในหัวของเราต่างกัน เหตุผลที่ลูกหนี้รู้สึกลำบากใจเวลาต้องควักเงินในกระเป๋าคืนให้เจ้าหนี้นั้น เป็นเพราะการยืมเงินคนรู้จัก ต่างจากการยืมเงินจากธนาคาร จากเหล่าเจ้าหนี้เถื่อน หรือการได้เงินจากโรงรับจำนำ นั่นคือการไม่มี ‘Collateral’ หรือไม่มีอะไรต้องเสีย เนื่องจากไม่มีเงื่อนไขในการคืน ไม่ต้องวางหลักประกันในการได้มาซึ่งเงิน ไม่มีผลเสียใด ๆ ตามมา จึงไม่รู้สึกเดือดร้อน ไม่รู้สึกจำเป็นในการคืนเงิน ในขณะที่การยืมจากธนาคารเสี่ยงต่อการเสียเครดิต โดนยึดบ้าน ยืมจากคนปล่อยเงินกู้ ก็มีความกลัวจากอันตราย เมื่อไม่ต้องเสียอะไร ไม่มีความกลัวคอยกดดัน การได้เงินมาจากคนรู้จักนั้น แม้จะเริ่มด้วยความรู้สึกเกรงใจ หรือความรู้สึกมั่นใจว่าจะคืนเงินอย่างแน่นอน แต่อะไรที่ได้มาง่ายมักจะไม่เห็นความสำคัญ
8 ชั่วโมงทำงานในแต่ละวันของพวกเรา เชื่อว่าหลายครั้งคงต้องเจอกับภาวะงานกองพะเนิน ทำอย่างไรก็ไม่เสร็จสักที ย่ิงคิดยิ่งปวดหัวเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มสางมันตรงไหนก่อน เพื่อให้พวกเราสามารถควบคุมงานในมือให้อยู่หมัดและปัดมันออกไปจาก “To do list” โดยไม่ต้องเก็บไปฝันร้ายที่บ้าน UNLOCKMEN ได้เตรียมวิธีรับมือง่าย ๆ ทั้ง 5 หนทางต่อไปนี้ เริ่มต้นเตรียมพร้อมก่อนไปหาทางออกกันด้วยการ “หายใจ” โดยใช้วิธีหายใจเข้าแบบ “ช้า ๆ” เพราะการหายใจช้า ๆ จะช่วยแก้ไขอาการตื่นเต้นและการโฟกัสให้ยาวขึ้น เหมือนการปลุกสมองให้เตรียมพร้อมสู่การวางแผน ตอนนี้รู้สึกใจนิ่งขึ้นแล้วหรือยัง? ถ้านิ่งแล้วเราลุยต่อขั้นถัดไปกันได้เลย พูดเองเออเองคนเดียวบางทีก็ช่วยได้ พูดคนเดียวอาจจะเป็นวิธีโคตรฝืนสำหรับใครหลายคน เพราะกลัวคนรอบข้างจะคิดว่าเราบ้า แต่ถ้าได้ลองสักครั้งเราจะรู้ว่าความเป็นจริงมันเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้เราควบคุมความสงบในมือและวางแผนสิ่งที่จะทำต่อได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยบรรเทาความกังวลที่เกิดจากจากความรับผิดชอบซึ่งกำลังล้นมือเราในตอนนี้ด้วย ใครที่ยังคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร ลองพูดด้วยประโยคเหล่านี้ดู “ถึงงานจะเยอะแค่ไหน แต่ฉันก็โฟกัสมันได้แค่อย่างเดียวที่กำลังอยู่ตรงหน้าเท่านั้น และเราจะรู้สึกดีกว่าแน่นอนถ้าได้ทำแบบนั้น” “ฉันชอบให้งานจบภายในวันนั้น แต่จะยอมรับความเป็นไปได้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย” “ฉันสนุกกับการทำงานของฉัน ดังนั้น ถึงงานจะยุ่ง ๆ ฉันก็สนุก มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่บางครั้งจะรู้สึกว่างานล้นมือ ฉันสามารถจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นและปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ” เคล็ดลับของการใช้วิธีพูดคนเดียวเพื่อบำบัดเป็นเทคนิกที่เราแนะนำ เพราะการเปลี่ยนคำชวนเครียดอย่าง “ควร” เป็น “ชอบ” หรือ “ทำได้” มันช่วยให้เรารู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้นและคลายความกังวลได้มากกว่า
ปัจจุบันกระแสการลงทุนการบริหารความมั่งคั่ง เป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่ต่างให้ความสนใจ ทว่าด้วยผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อน ความรู้ความเข้าใจในการลงทุนที่เรายังมีไม่เพียงพอ และคำว่า “ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน” จึงมาแตะเบรก ทำให้แม้เราจะอยากลงทุน แต่ก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยง เพื่อตอบโจทย์กระแสการลงทุนนี้ จึงเกิดเป็นเทรนช่องทางการบริการทางการเงินแบบใหม่ที่เรียกว่า Wealth Management หรือการบริหารความมั่งคั่งขึ้น โดยมี “Wealth Personal Banker” หรือผู้แนะนำการลงทุนที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการบริหารเงิน รับหน้าที่ดูแล ปกป้อง และเพิ่มพูนของมั่งคั่งให้กับเรา เพื่อเจาะลึกเบื้องหลังของอาชีพสุดท้าทายนี้ ทีมงาน UNLOCKMEN จึงมุ่งหน้าไปเสาะหาข้อมูลจากคนที่ทำอาชีพนี้และอยู่ในวงการนี้จริงโดยแวะเวียนมาที่ SCB Investment Center โดยได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ ทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ คุณก้อย – กาญจนา คล่องอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส SCB FIRST: SA, Executive and Professional Segment และผู้บริหารศูนย์ SCB Investment Center กรุงเทพฯ คุณปอย
ลมหายใจเข้าออกของผู้ชายขั้นสุดอย่างพวกเรานอกจากการใช้ชีวิตแล้ว คงหนีไม่พ้นเรื่องงาน การทำงานคือหลอดเลือดสำคัญที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและความฝันของเราให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่เพียงเท่านั้นหนังสือ The Brain and the Meaning of Life ที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยายังระบุไว้ว่า “การทำงานคือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มนุษย์รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า” เวลา 1 ใน 3 ของชีวิต Urban Men อย่างเราจึงใช้ไปกับการทำงานในแต่ละวัน เพราะการทำงานทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า และตอบสนองความก้าวหน้าแบบบ้าพลังสุด ๆ ของเราได้อย่างเต็มสูบ แต่การก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว โดยหลงลืมด้านอื่น ๆ ของชีวิตไป อาจทำให้ชีวิตขาดความสมดุลได้ เหมือนที่ Heather Schuck นักธุรกิจและ CEO กล่าวไว้ว่า “การทำงานจะไม่มีวันทำให้คุณมีความสุขได้อย่างแท้จริง จนกว่าคุณจะมีความสุขกับชีวิตเสียก่อน” “Life Well Balanced” หรือการใช้ชีวิตอย่างสมดุล ระหว่างการทำงานอย่างเต็มที่และการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่จึงเป็นเรื่องที่ผู้ชายผู้แสนบ้าคลั่งกับการงานอย่างเรา ๆ ต้องให้ความสำคัญกับมันมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพราะความรู้สึกสมดุล ผ่อนคลายและมีความสุขในชีวิตเท่านั้น แต่งานวิจัยชื่อว่า Worked to Death: The Relationships of
งานเป็นอะไรที่อยู่กับเรามากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากตัวเราเอง สัปดาห์นึงเรา Spend เวลากับมันไปกว่า 5 วัน หากมันไม่สามารถจรรโลงให้เราอยากอยู่กับมันไม่ว่าจะเพื่อเงินหรือ Passion ความชอบ ความถนัดแล้ว เราก็ต้องพิจารณาแล้วว่า ขนาดแรงจูงใจที่เคยมียังไม่อาจรั้งเราไว้ได้ มันอาจจะไม่ใช่ที่ของเราจริง ๆ ก็ได้ หาคำตอบให้ตัวเองให้ได้ว่าตอนนี้จริง ๆ แล้วคุณต้องการอะไรกันแน่ แล้วจัดการตัวเองให้เรียบร้อยว่าจะสู้ต่อหรือเดินหน้าไปทางอื่น UNLOCKMEN จะมาแนะนำวิธีที่จะช่วยให้คุณได้เตรียมทั้งตัวและใจแบบเบื้องต้น สำหรับปัญหาสุดลำบากใจ เราเลือกได้ว่าจะ Challenge ตัวเอง เอาชนะปัญหาให้ได้ หรือไม่อยากจะทน เปิดโหมด Change ให้มันรู้แล้วรู้รอดกันไป ทางออกของคนอยาก Challenge ดีแค่ไหนที่ได้งานทำ ไม่ว่าจะเกลียดงานของคุณแค่ไหน ลองคิดถึงคนอีกเป็นล้านที่ยังเดินเตะฝุ่น ไม่มีงานทำ เดินหางานเช้าจรดเย็น ถึงงานที่ทำอยู่ของคุณมันจะไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ เป็นงานในฝัน แต่มันก็คืองานที่ให้รายได้ ให้เราได้จ่ายค่าครองชีพที่ต่อคิวรอให้เราจ่ายอยู่ทุกเดือน เราไม่ได้บอกให้เราทนกับมันไปจนวันตาย แต่ถ้าหากวันนี้เรายังไม่พร้อมที่จะละทิ้งรายได้ของเราไป เพียงเพราะเราไม่พอใจในงาน ขอให้ใช้เวลาในการแก้ปัญหา มองปัญหาอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจเรื่องใหญ่แบบนี้ อย่าหุนหันพลันแล่น เพราะถ้าหากเราออกจากที่นี่โดยที่ยังไม่มีงานใหม่รองรับ นั่นจะยิ่งทำให้เราตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าตอนนี้ บอกความต้องการของคุณกับหัวหน้า เราเข้าใจว่าการพูดกับหัวหน้า แม้จะสนิทแค่ไหน แต่ด้วยตำแหน่งที่สูงกว่า หรือไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม มันจะมีความกระอักกระอ่วนแทรกอยู่ในบทสนทนาเสมอ แต่ถ้าหากเราไม่ยอมพูด
ในวันที่ไลฟ์สไตล์ของผู้ชายอย่างเราเริ่มกลายเป็นธุระสำหรับคนใกล้ชิดที่ต้องออกมาแสดงความเป็นห่วงและบีบบังคับกลาย ๆ ให้ทำโน่นนี่และตราหน้าเราว่าขี้เกียจ แน่นอนว่าพวกเรารู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบที่เขาบอกสักกะนิด แต่บอกยังไงเขาก็ยังไม่เชื่อสักที เพื่อยืนยันว่าจริง ๆ พวกเราไม่ได้ขี้เกียจ UNLOCKMEN จึงได้รวบรวมข้อมูลผลวิจัยที่ว่าด้วย 5 พฤติกรรมที่คนทั่วไปมองว่า “ขี้เกียจ” แต่มันคือสิ่งที่บอกว่าเราฉลาดล้วน ๆ ลองมาเช็กดูกันอีกทีว่าเราเป็นแบบนี้ไหม ถ้าใช่…ยินดีด้วย คุณไม่ใช่คนขี้เกียจ 1. ไม่ได้อยากโซเชียลตลอดเวลา สาว ๆ และเพื่อนฝูงโปรดเข้าใจ เวลาเราเห็นกรุ๊ปแชทเด้งตลอดเวลาแต่ไม่ได้เข้าไปอ่านหรือไม่ตอบแค่กด ๆ ให้มันขึ้น read ให้จบ ๆ ไปโดยไม่สนใจจะตอบ หรือช่วงปาร์ตี้หลังเลิกงานเราก็แอบลี้หนีนัดตลอด มันไม่ได้แปลว่าเราไม่โปรดักทีฟเท่าคนอื่น ๆ หรือไม่ใส่ใจโลก เพราะมีผลวิจัยของนักจิตวิทยาจาก London School of Economics and Singapore Management University ที่ออกมายืนยันว่าคนฉลาดกว่าหรือคนที่ IQ สูงทั้งหลายเขาไม่ได้ชอบสังสรรค์กับเพื่อนฝูงสักเท่าไหร่ตรงกับความเห็นของ Washington post ที่เคยรายงานไว้ในเรื่องเดียวกันว่า คนเราถ้ายิ่งโซเชียลกับคนใกล้ชิดยิ่งกระตุ้นความสุขส่วนตัวให้เพิ่มขึ้น ยกเว้น “คนฉลาด” 2. ชอบชิลจับแมวนั่งตักมากกว่าพาหมาวิ่ง
สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเชื่อว่าผู้ชายหลาย ๆ คนเคยผ่านช่วงรับน้องใหม่มาแล้ว แม้หลาย ๆ มหาวิทยาลัยจะยกเลิกการทำกิจกรรมที่สร้างความรุนแรงหรือบังคับให้ทำสันทนาการโดยไม่เต็มใจ แต่ UNLOCKMEN ก็เชื่อว่ามีหลาย ๆ มหาวิทยาลัยที่ยังเชื่อว่าการตะโกนใส่รุ่นน้อง บังคับให้ออกมาเต้นไก่ย่าง หรือทำท่าทางประหลาด ๆ เรียกเสียงหัวเราะเป็นการละลายพฤติกรรม บางคนสนุกด้วยก็ดีไป แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสนุกด้วย หลังจากจบการศึกษาผู้ชายหลายคนจึงโล่งอกโล่งใจที่ไม่ต้องทำอะไรที่ถูกละเมิดสิทธิแบบนั้นแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อเราเข้าทำงานที่ใหม่ มักจะมีกิจกรรมละลายพฤติกรรม หรือทำ Team-Building โดยกิจกรรมก็เหมือนเราได้กลับไปเป็นเด็กปีหนึ่งอีกครั้งมีทั้งออกไปเต้น มีทั้งกิจกรรมกลางแจ้ง หรือกิจกรรมยิ่งเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์ จนเราอดสงสัยไม่ได้ว่ากิจกรรมเหล่านี้มันพัฒนาการทำงานร่วมกันเป็นทีมได้จริงไหม ? องค์กรใหญ่ ๆ อย่างเฟซบุ๊ก กูเกิล แอปเปิลเขาจับพนักงานมาเต้นไก่ย่างเหมือนเราหรือเปล่า ? และทำไมการบังคับให้ทำกิจกรรมแบบนี้ถึงไม่เวิร์ค ? ความอับอายไม่ใช่การละลายพฤติกรรม “ละลายพฤติกรรม” คือกิจกรรมแรก ๆ ที่เราต้องเจอไม่ว่าจะตอนเข้าเรียนที่ใหม่ หรือทำงานที่ใหม่ เราคิดว่าคนเราจะรู้จักหรือสนิทใจกันด้วยการทำท่าทางตลก ๆ ใส่กัน เต้นแร้งเต้นกาสุดเหวี่ยงใส่กัน บางคนอาจสนุกกับกิจกรรมสันทนาการแบบนี้ แต่นี่ไม่ใช่วิธีที่มืออาชีพที่สุด เพราะการเรียกร้องให้คนออกมาทำท่าทางประหลาด ๆ ต่อหน้าคนที่เพิ่งรู้จักกัน หลายครั้งสร้างความอับอายและอึดอัดให้เกิดขึ้น แทนที่คนในองค์กรจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับทีม กลับกลายเป็นสร้างกรอบขึ้นมากั้นเอาไว้ และรู้สึกแปลกแยกมากไปกว่าเดิม หากต้องการสร้างความมีส่วนร่วมกับทีมลองหากิจกรรมที่สร้างสรรค์กว่านั้นโดยไม่ต้องบังคับให้ใครอับอาย
“แค่คิดว่าอยากแก้ จะรื้อแล้วให้ผมเสกขึ้นมามันทำไม่ได้หรอกนะ” “ช้าที่พี่แล้วมาบีบเวลาผมตอนท้ายให้งานมันเสร็จ มันไม่ได้นะพี่” “ก็พี่บรีฟไว้อย่างนี้ ทำไปจนเสร็จแล้วโละ บอกไม่ใช่ที่อยากได้ได้ไง” เราเชื่อว่าใครที่ต้องทำงานกับคนหลายคน หรือทำงานที่ควบคุมให้จบในตัวไม่ได้ คงต้องเคยพูดประโยคด้านบนกันสักหนสองหนหรือมากกว่านั้น เผลอ ๆ ระหว่างพูดคงมีเงื้อหมัด พูดสบถระบายอารมณ์กันบ้าง การทำงานที่เฟืองทุกชิ้นของระบบไม่ได้ทำงานเต็มร้อยพร้อมกัน หรือต่อให้ทำงานได้เต็มที่สุดฝีตีนแต่ผลสุดท้ายก็ยังพังไม่เป็นท่าเพราะลูกค้าปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า “เห็นภาพงานไม่ตรงกัน” ส่วนมากมักเกิดจากจุดอ่อนของกระบวนการทำงานแบบดั้งเดิมที่แต่ละงานทุกคนจะส่งต่องานกันแบบไม้ผลัดซึ่งคนในวงการ IT นิยามการทำงานแบบนี้ว่า Waterfall Waterfall คือระบบการทำงานแบบส่งต่อไม้ผลัด ลองคิดภาพตามว่าถ้าเราลงวิ่งผลัดในสนามที่ทีมเรามีสมาชิกวิ่งอยู่ 4 คน คนแรกออกวิ่งส่งต่อให้คนที่สอง คนแรกก็จะไม่รู้เรื่องของคนอื่นนอกจากคนที่สองที่ตัวเองต้องส่งไม้ให้ หรือถ้ามีปัญหาระหว่างทาง กว่าจะไปถึงคนที่ 4 ที่เป็นไม้สุดท้าย ทุกอย่างก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วเพราะมันมาถึงจุดที่หวนกลับไปแก้ไม่ได้อีก สุดท้ายจึงต้องลงเอยด้วยการกลับไปนับหนึ่งอีกครั้ง ถ้านั่นเป็นวิถีการทำงานที่ผู้ชายอย่างเราทำอยู่ UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับแนวทางการทำงานแบบใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่าง “Agile” เทคนิกการทำงานที่ทำให้เราไหวตัวทันต่อทุกปัญหาและแก้ไขได้เสมอซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่บริษัทใหญ่ยักษ์แบบ Google หรือ Facebook ใช้งานจริง AGILE คืออะไร คำว่า “Agile” มีต้นกำเนิดจากสายพัฒนาซอฟต์แวร์ ตั้งแต่ปี 2001 โดยเกิดขึ้นจากจุดประสงค์ที่กลุ่มคน
ผู้ชายอย่างเราคุยกับใครก็อยากคุยกันแบบตรงไปตรงมา หนักแน่นมั่นคง ไม่ต้องมานั่งใส่หน้ากากปั้นแต่งคำตอบใส่กันให้เสียเวลาอันมีค่าในชีวิต แต่บทสนทนาบางรูปแบบก็ถูกวางบทบาทมาเพื่อพูดแต่เรื่องดี ๆ เท่านั้น ลองจินตนาการถึงการสัมภาษณ์งานกับองค์กรที่เราอยากทำงานด้วยใจจะขาดดูสิ เราจะเลือกตอบคำถามแบบตรงไปตรงมาทุกคำถาม หรือว่าเราก็ต้องเลือกตอบบ้าง เลี่ยงตอบบ้าง เพื่อสร้างโปร์ไฟล์ให้ดูดีกันแน่ ? บางทีคนก็ไม่ได้อยากโกหกนักหรอก แต่บางสถานการณ์เราก็จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการพูดความจริงบางอย่าง เพื่อรักษาสถานะเอาไว้ ปัญหาก็คือถ้าวันหนึ่งเราต้องเป็นฝ่ายถาม แต่อยากล้วงความจริงจากอีกฝ่ายได้แบบไม่มีหมกเม็ดล่ะ เราควรต้องถามคำถามแบบไหนออกไปกันแน่ ? มีงานวิจัยจำนวนมากที่พูดถึงการถามตอบ โดยมุ่งประเด็นไปที่วิธีถามคำถามว่ามันมีอิทธิพลต่อคนตอบในรูปแบบไหน โดยเฉพาะเมื่อผู้ตอบอยู่ในสภาวะที่จำเป็นต้องปกปิดอะไรบางอย่าง เช่น ในการเจรจาทางธุรกิจ การสัมภาษณ์งาน การขายของ งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้นำกลุ่มตัวอย่างมา โดยกำหนดให้บุคคลเหล่านั้นทำหน้าที่เป็นพนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสองให้กับลูกค้า (ซึ่งลูกค้าก็เป็นทีมนักวิจัยที่ปลอมตัวมานั่นแหละ) ก่อนจะทำการซื้อขาย ก็จะมีคนมาบรีฟข้อมูลให้ทีมขายก่อนว่าสินค้าชิ้นนั้นเป็นอย่างไร โดยข้อมูลอย่างหนึ่งคือเจ้าเครื่องใช้ไฟฟ้านี้มันเคยพังมาแล้ว ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ไม่ว่าคนซื้อของมือสองที่ไหนก็ต้องอยากรู้อยู่แล้ว แต่ผลปรากฏว่าคนขายทุกคนไม่ได้บอกข้อเท็จจริงว่าเครื่องใช้ไฟฟ้ามือสองนี้เคยพังมาก่อน ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะถ้าบอกไปก็มีแนวโน้มว่าพวกเขาอาจจะขายของชิ้นนั้นไม่ออกเลยก็ได้ อย่างไรก็ตามผู้ขายหลายคนก็ยอมบอกความจริงออกมาว่า เฮ้ย สินค้านี้มันเคยพังนะครับคุณ ซึ่งความแตกต่างระหว่างคนที่เผยความลับกับคนไม่เผยความลับก็คือ “วิธีการถาม” นั่นเอง ถ้าถามถูกวิธี ก็จะได้คำตอบที่เราต้องการได้ไม่ยาก “สินค้าชิ้นนี้มีปัญหาอะไรบ้าง?” คือคำถามที่ล้วงคำตอบมาได้มากที่สุด โดยผู้ขาย 89% ยอมบอกว่าสินค้าชิ้นนี้เคยพังมาก่อนจริง ๆ แถมเล่าประวัติการพังให้ฟังด้วย ในขณะที่คำถามที่ดูซอฟต์ลงมาหน่อยอย่าง “สินค้าชิ้นนี้มันไม่มีปัญหาอะไรหรอกเนอะ ใช่ไหม ?” จะมีผู้ขาย