“เงินคือปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต” คงไม่มีใครปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้ แต่การที่คนจำนวนมากคิดแบบนี้ จึงไม่แปลกใจที่หลายองค์กรคิดว่าแค่มีค่าตอบแทนสูง ๆ ไว้ซื้อใจคนมาทำงานด้วยก็คงพอแล้ว แต่ความเป็นจริงก็คือแม้ค่าตอบแทนจะสำคัญ แต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าบรรยากาศภายในองค์กรไม่เอื้อให้คนอยากทำงานด้วยนาน ๆ ดังนั้นในฐานะผู้บริหาร หรือเจ้าขององค์กร เราควรปลดล็อกความเข้าใจเดิม ๆ เพื่อเข้าถึงคนในองค์กรได้มากขึ้น ทำงานได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นและทรงประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย การได้ทำงานแบบไม่ถูกจำกัดกรอบ “งานที่ทำให้เราแฮปปี้ในการทำงานทุก ๆ วันไปได้แบบไม่เบื่อ ไม่ตั้งคำถามว่าทำไมวันจันทร์อีกแล้ววะ? สนุกกับงานได้ทำงานแบบไม่ตีกรอบ” ก้อย – Marketing Executive ไม่ว่าค่าตอบแทนจะสูงแค่ไหน แต่ถ้าเนื้องานไม่ชวนให้เราอยากทำงานก็คงเปล่าประโยชน์ งานที่มีความหมายสำหรับพนักงานจึงต้องเป็นงานที่ไม่ทำให้พวกเขารู้สึกว่ามันน่าเบื่อจนไม่อยากให้ถึงวันจันทร์ ซึ่งคำว่าน่าเบื่อในที่นี้ไม่ได้หมายถึงว่าเราต้องทำงานไป เล่นไป หรือเอาใจคนในองค์กรจนถึงขั้นสปอยล์ แต่หมายถึงการเปิดโอกาสให้เขาได้คิด ได้แสดงความสามารถ ไม่จำกัดกรอบและติ โดยที่เขายังไม่ได้ลงมือทำอะไร ทำให้เขาไม่กล้าคิดอะไรใหม่ ๆ นั่นแหละคือนิยามของคำว่างานที่น่าเบื่อในทัศนคติคนทำงาน ทัศนคติต้องไปในทางเดียวกัน “เคมีของงานกับความเป็นเรา เงินก็สำคัญแต่ถ้าต่าง attitude วันนึงก็ต้องไป” แก้วใจ – Content Creator การมีเป้าหมายตรงกันก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้คนในองค์กรเห็นภาพใหญ่ว่าเรามีเป้าหมาย มีทัศนคติตรงกับองค์กรหรือไม่ งานหรือองค์กรที่มีเป้าหมายชัดเจนจะยิ่งดึงดูดคนทำงานไว้ได้ ดังนั้นอย่าลืมตรวจสอบทัศนคติและเป้าหมายขององค์กรกับคนในทีม เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันอยู่เสมอ สำหรับคนที่ทัศนคติตรงกันก็จะสามารถทำงานร่วมกันไปได้ยาว
“เดินออกจากห้องประชุมหรือวางสายทันที่ที่คุณรู้ตัวว่าอยู่ไปก็ไม่ได้เพิ่มมูลค่าอะไร มันไม่หยาบคายหรอก ถ้าคุณจะเดินออก การที่ผมจะให้คุณนั่งเสียเวลาอยู่ต่างหากที่หยาบคาย” ข้อความอันลือลั่นนี้มาจาก Elon Musk CEO ระดับโลก นับเป็นถ้อยความที่คนไทยอ่านแล้วตะลึงกันเป็นแถว บางคนก็ตะลึงที่ Elon Musk พูดอะไรขวานผ่าซากแบบนั้น ในขณะที่บางคนก็ตะลึงเพราะโคตรเห็นด้วยกับข้อความนี้ เพราะเราต่างก็ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานของเรา นอกจากหมดไปกับการทำงานแล้ว เชื่อเหลือเกินว่าหลายคนหมดเวลาไปกับการเข้าประชุมใหญ่ ประชุมเล็กสารพัด อาทิตย์ละหลายชั่วโมง บางคนอาจคิดว่ายิ่งประชุมก็ยิ่งดี แต่การประชุมที่ยาวนาน เยิ่นเย้อ แล้วต้องกลับมาประชุมใหม่ซ้ำ ๆ อาจหมายถึงการประชุมที่ไม่มีประสิทธิภาพก็เป็นได้ การประชุมคือการพูดถึงการทำงาน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการทำงาน ใครบางคนพูดถึงการประชุมไว้แบบนั้น ถ้าเราเอาแต่พูดเรื่องวิธีการทำงาน วางแผนฟุ้งฝัน ถกเถียงแบบไร้การรวบรัด ไร้ข้อสรุป ปล่อยให้มันยืดยาวไม่มีที่สิ้นสุดมันจะเป็นแค่ “การพูดถึงการทำงาน” แต่มันไม่ใช่ “การลงมือทำงาน” จริง ๆ ดังนั้นลองมาดูวิธีรวบรัดการประชุมจากเดิมที่กินเวลาไปมากมาย ให้รวบรัด ตัดจบ ครบประเด็นสไตล์มืออาชีพ เพื่อไปปรับใช้ในองค์กรได้อย่างมืออาชีพเช่นกัน ลองยืนประชุมดูบ้าง ห้องประชุมแอร์เย็นเฉียบ กาแฟร้อน ๆ ถ้วยโปรด เก้าอี้ห้องประชุมแสนสบาย ฟังคนอื่นได้ยาว ๆ โดยที่เราไม่ต้องพูดอะไร แถมได้หลุดจากโต๊ะทำงานและงานตรงหน้าชั่วขณะ สิ่งเหล่านี้คือความสบายของการประชุมที่ทำให้ทุกคนสามารถประชุมได้ครั้งละนาน
ชีวิตมนุษย์เต็มไปด้วยการสื่อสาร ไม่ว่าจะการทำงาน ความสัมพันธ์ หรือเรื่องยิบย่อยอะไรก็ตาม เมื่อใดก็ตามที่เราพูดถึงการสื่อสาร เราก็มักเชื่อมโยงมันเข้ากับการพูดหรือการส่งเสียงเสมอ ใครจะรู้ว่า “ความเงียบ”ก็เป็นการสื่อสารที่ทรงพลังได้เช่นกัน และนี่คือ 6 วิธีที่เหล่าผู้นำและผู้มีอิทธิพลเลือกใช้ เพื่อแปรเปลี่ยนความเงียบใบ้ให้การเป็นการสื่อสารสุดทรงพลังได้ เงียบเพื่อสร้างความเชื่อใจ ถ้าเราคือคนหนึ่งที่ต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงขั้นที่ทรงประสิทธิภาพ อย่างหนึ่งที่เราจะขาดไม่ได้คือการสร้าง “ความเชื่อใจ” กับคนตรงหน้า และความเชื่อใจนั้นจะเกิดไม่ได้เลยถ้าเราไม่รู้จักเงียบลงบ้าง ดังนั้นความเงียบจึงเป็นอีกหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อใจในบทสนทนา การเงียบเพื่อฟัง จะทำให้เราเรียนรู้ตัวตนอีกฝ่ายมากขึ้น และเมื่อใดที่เขาสัมผัสได้ว่าเรากำลังรับฟังเขา เมื่อนั้นเขาก็จะรับฟังเราเช่นกัน เงียบเพื่อเน้นประเด็นให้ชัด คำพูดคือการสื่อสารที่ทรงพลัง แต่ถ้าพูดมากไป อาจทำให้ผู้ฟังไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าเราสนใจประเด็นไหนที่สุด หรือประเด็นไหนที่เราให้ความสำคัญที่สุดกันแน่ ? ดังนั้นในที่ประชุม การใช้ความเงียบในบางประเด็นที่เรารู้ไม่จริง หรือไม่ได้มีความเห็นเป็นพิเศษ เราอาจแค่นิ่งเงียบไว้ รอจังหวะที่เรารวบรวมประเด็นได้ดีแล้ว หรือถึงหัวข้อที่เราสนใจเป็นพิเศษแล้วแสดงความเห็นออกมา ประเด็นที่เราพูดจะได้รับความสนใจมากกว่าการพูดไม่หยุดตลอดการประชุมแน่นอน เงียบเพื่อเป็นฝ่ายเหนือกว่าในการต่อรอง ระหว่างการต่อรองอะไรบางอย่าง ความเงียบอาจทำให้เรากลายเป็นผู้คุมเกมที่เหนือกว่า จินตนาการถึงการต่อรองอะไรสักอย่างที่ดุเดือด เมื่อคู่สนทนาของเราเงียบลง เรามักจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นวะ!? เขาคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ? เราเองก็ใช้ไม้นี้ได้เช่นกัน หรือเมื่อมีคนถามคำถามเพื่อหยั่งเชิงอะไรเราบางอย่าง แทนที่เราจะตอบรับหรือปฏิเสธไปในทันที ลองนิ่งเงียบดูสักพัก ให้เขาเกิดความลังเลสงสัย หลายครั้งที่คู่สนทนาเราจะทนไม่ได้ ต้องสร้างบทสนทนาขึ้นมาเติมเต็ม และเมื่อนั้นเราจะเป็นต่อทันที เพราะเราจะได้ข้อมูลจากฝั่งนั้นมาเพื่อพิจารณามากขึ้น เงียบเพื่อเพิ่มพลังให้คนอื่น ผู้นำที่ดีต้องรู้จักเงียบเพื่อรับฟังความคิดเห็นคนในปกครอง
ถ้าปี 2017 เป็น ‘ปีชง’ ของ Uber ที่เจอมรสุมข่าวฉาวจน ทราวิส คาลานิก ผู้ร่วมก่อตั้งยอมออกจากตำแหน่งซีอีโอ ผู้รับไม้ต่อในปี 2018 ก็คือ Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ยักษ์รายนี้ถูกเพ่งเล็งและโจมตีต่อเนื่องว่าเป็นต้นเหตุสำคัญของข่าวปลอม (Fake News) ระบาดในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และยิ่งตกเป็นเป้าโจมตีหนักหน่วงในกรณีข้อมูลของผู้ใช้รั่วไหลโดยบริษัท Cambridge Analytica มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ได้ขึ้นให้การเป็นพยานเพื่อชี้แจงข้อพิพาทต่างๆ ของ Facebook ต่อหน้าสภาคองเกรสในสหรัฐอเมริกา และรัฐสภายุโรปไล่เลี่ยกันเดือนเมษายน-พฤษภาคม “เราไม่ได้มีมุมมองที่กว้างพอในเรื่องการแสดงความรับผิดชอบ และนั่นคือความผิดพลาดครั้งใหญ่” “ผมก่อตั้งเฟซบุ๊กขึ้นมา บริหารมัน และผมก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น” Mark Zuckerberg F8 2018 Keynote Photo: Anthony Quintano / Creative Common แม้ว่ามาร์กจะพยายามกอบกู้สถานการณ์ด้วยการขอโทษสาธารณชนทั่วโลก ปรับ News Feed หนุนเรื่องคนกับคอมมูนิตี้เต็มที่ แต่คนแวดวงธุรกิจและสื่อต่างวิพากษ์เป็นเสียงเดียวกันว่า Facebook สูญเสียความน่าเชื่อถือไปมาก ผู้ใช้งานบางส่วนรู้สึกถูก ‘ทำลายความไว้วางใจ’ (trust)
ต่อให้บริษัทสร้างระบบอีเมลทั้งหลายจะพยายามสร้างเงื่อนไขการตั้งพาสเวิร์ดให้มันยาก ทั้งอักขระ ตัวเลข และตัวอักษรให้ผสมกันเพื่อป้องกันคนภายนอกแฮ็กได้ แต่ถ้ารู้ความจริงว่าสิ่งที่ตั้งใจช่วยรักษาแทบตาย บรรดาพนักงานที่ใช้ดันมีพฤติกรรมไม่แคร์ หรือแจกคนอื่นให้เข้าอีเมลตัวเองกันได้สะดวกคงต้องถอดใจเพราะไม่รู้จะแก้ยังไง Confidential หรือการรักษาความลับของอีเมลสำคัญแค่ไหน คนที่ยังไม่เจอกับตัวอาจจะยังไม่รู้ แต่ตามบริษัทใหญ่เขารู้ดี เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่มีมือดีเข้ามาแฮ็กข้อมูล อาจหมายถึงความเสียหายทางธุรกิจจำนวนมหาศาล ส่วนใหญ่บริษัทที่โชคดี หวยออกเข้าอย่างจังมักจะเป็นบริษัทที่มีไซซ์ขนาดเล็กหรือขนาดกลางเท่านั้น โดยรายงานระบุจำนวนบริษัทที่ถูกโจมตีทางไซเบอร์มีมากถึง 4,000 ครั้งต่อวันแถมมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นด้วย! และปลายทางของบริษัทที่โดนแฮ็กส่วนใหญ่จะอยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือนหลังจากนั้น จากรายงานของ Switchfast บริษัทให้คำปรึกษาและให้บริการการจัดการด้านไอทีใน Chicago เผยข้อมูลการสำรวจที่จัดทำกับผู้บริหารบริษัทขนาดเล็กจำนวนกว่า 600 บริษัทเกี่ยวกับพฤติกรรมการรักษาความปลอดภัยด้านไอที พบว่าส่วนมากพนักงานทุกระดับคือต้นตอเรียกแขกอย่างแฮ็กเกอร์มาด้วยเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ บริษัทขนาดเล็กหรือกลางมักไม่มีมาตรการรับมือความปลอดภัยด้านไอที 35% ของพนักงานและ 51 % ของหัวหน้ามักคิดว่าบริษัทของตัวเองไม่ใช่เป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์ 44% ของพนักงานและ 66% ของหัวหน้าเชื่อมต่ออีเมลกับ Wi-Fi สาธารณะ หรือสถานที่ภายนอกองค์กรอย่างร้านกาแฟหรือล็อบบี้โรงแรม ความเสี่ยงเรื่องงานมีมากไม่พอ แต่เรื่องที่น่าตกใจเป็นเงาตามตัวคือ บรรดาผู้นำทั้งหลายมักใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ออฟฟิศเข้าโซเชียลมากกว่าพนักงาน โดยคิดสัดส่วนได้เป็น 3 ใน 5 ของทั้งหมด (ผู้นำและผู้จัดการ 62%
สุภาพบุรุษทั้งหลาย เราต่างรู้ว่าการที่เรามีอายุมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะเป็นผู้มากขึ้นตามตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเสมอไป เป็นความจริงที่ว่าผู้ชายวัย 30 กว่า หรือ 40 กว่าบางท่านยังคงไม่ค่อยมีวุฒิภาวะเท่าที่ควร อันนี้ไม่ได้ว่าหรือตำหนิกัน แต่ผู้เขียนเองก็ยอมรับว่าตัวเองยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอในบางเรื่อง ก็เลยคิดว่าอยากจะนำแนวคิดที่จะช่วยให้ผู้ชายอย่างเราพัฒนาตัวเองไปด้วยกัน การโตเป็นผู้ใหญ่ในที่นี่ไม่ใช่การเป็นรุ่นใหญ่หรือมีอำนาจ แต่เป็นการซื่อสัตย์กับตัวเอง พัฒนาคาแรกเตอร์ และใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะและศีลธรรม มาดูด้วยกันว่าพวกเรามีสัญญาณแห่งความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วกี่ข้อ ขาดเหลือตรงไหนได้พัฒนาไปพร้อม ๆ กัน ทุกคนเชื่อมั่นว่าคุณจะทำตามสัญญา สิ่งหนึ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากการเป็นผู้ใหญ่ก็คือ ความน่าเชื่อถือนั้นเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ล้ำค่า คุณคงไม่อยากจะมานั่งกุ้มใจเวลาที่มีใครมาลับหลัง โดยเฉพาะบรรดา hater ทั้งหลาย ลองจินตนาการดูว่าเวลาที่เราไม่อยู่ในวงสนทนา ผู้คนในกลุ่มนั้นจะพูดถึงเราว่าอย่างไร คุณอยากเป็นคนที่เชื่อมั่นในคำพูดไม่ได้ ? คุณอยากเป็นคนที่เชื่อถือไม่ได้ ? หรือคุณอยากเป็นคนที่ทุกคนต่างไว้เนื้อเชื่อใจ ? คนที่ทำอย่างที่ให้คำมั่นไว้ ? ใช่ เราควรพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่ทุกคนเชื่อใจอย่างไร้ข้อกังขา แต่งตัวเหมาะสม การลงทุนจ่ายเพื่อซื้อเสื้อผ้ารองเท้ามาแต่งตัวให้ดีไม่ได้เป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัว หรือการทำตัวเองให้น่าสนใจเสมอไป แต่การแต่งตัวให้ดูดีและเหมาะสมไม่ได้ช่วยส่งเสริมบุคลิกเท่านั้น แต่มันยังเปลี่ยนความรู้สึกของเราได้อีกด้วย หากเราหมั่นใส่ใจและสนใจในการรักษาลุคของเราในทุกรายละเอียด ก็จะทำให้เรามีระเบียบวินัยมากขึ้น คล้าย ๆ กับการเซ็ตเอาไว้ว่าต้องออกกำลังกายเป็นประจำแล้วทำตามจนคุ้นชิน หากห่างหายก็จะรู้สึกขาดหายไปด้วย Tom Ford เคยบอกไว้ว่า
‘ใครอยากเป็นเศรษฐี ฉันนะซิ ฉันนะซิ’ นี่คือมุขที่คนอายุ 30+ คุ้นหูเป็นอย่างดีจากเวทีตลกคาเฟ่ แต่วันนี้กลายเป็นมุขไม้ตายก้นถุงของผู้ชายอารมณ์ดี ดีกรีนายแบบ Domon Mini พระเอกภาพยนต์ ดารานักแสดง และบทบาทล่าสุดที่ไม่ต้องขายคาแรคเตอร์ แต่เป็นการขายตัวตนของคนเฮฮาอารมณ์ดี ผู้ชายคนนี้คือ พี่ตูน บริบั๊ก พี่ตั๊ก บริบูรณ์ นั่นเอง มักจะมีคำพูดว่า เบื้องหลังนักแสดง Comedian ส่วนใหญ่ จะต้องเป็นคนจริงจัง ซีเรียส เครียดกับงาน ไม่เล่นมุขพร่ำเพรื่อ ซึ่งดูจากลุคของคุณตั๊กแล้ว เราจินตนาการว่าจะต้องเป็นคนแบบนั้นแน่นอน แต่ภาพในหัวทั้งหมดต้องสลายไปจากประโยคแรกที่ทักทายกัน “ไม่นะ ตัวจริงพี่ก็เป็นแบบนี้แหละ” พี่ตั๊กพูดแทรกขึ้นมา ใช่ครับ สำหรับตั๊ก บริบูรณ์ หน้าจอเราเห็นเค้าเป็นยังไง หลังจอ เค้าก็เป็นคนแบบนั้นล่ะครับ หรือแม้แต่พี่เนี้ยบ คุณเอลซี่ภรรยา และน้อง Believe หลังจอครอบครัวเค้าก็เฮฮาแบบที่เราเห็นเป๊ะเลย สำหรับผู้ชายคนนี้ ไม่ต้องแสดงคาแรคเตอร์อะไร เป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ เป็นวิวัฒนาการจากการเข้าวงการในฐานะนายแบบ Domon Mini ดาราพระเอกสุดหล่อ ซึ่งนั่นคือการแสดง มาสู่บทบาทที่เป็นตัวเองมากกว่าในฐานะ Comedian ที่พวกเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เมื่อเราตั้งใจทำงานแล้วรู้สึกว่าการฟังเพลงผ่านทางแพล็ตฟอร์ม streaming music หรือ podcast ต่าง ๆ มันช่างรู้สึกทำให้เสียสมาธิ งานไม่ค่อยเดิน เพราะดันเพลินไปกับเนื้อหาของเพลง แต่จะให้ไม่ฟังอะไรเลยก็รู้สึกเหงาหูอีก แบบนี้ต้องหาทางออกให้กับชายที่เป็นผู้ฟังที่ดีกันหน่อย จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับผลกระทบของเสียงที่มนุษย์ได้ยิน และอิทธิพลของมันที่มีต่อการทำงาน การเรียน หรือการทำกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องการสมาธิพบว่าความเงียบน่าจะดีที่สุด แต่ในขณะเดียวกันหากเราเลือกเสียงที่เหมาะสมกับการจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ก็ส่งผลให้เรามีประสิทธิภาพในการในการทำงานมากขึ้นได้เหมือนกัน UNLOCKMEN ขอแนะนำซาวด์ที่เหมาะสมกับการโฟกัสของคุณ และเสียงที่ควรหลีกเลี่ยงหากต้องการรักษาสมาธิ สุนทรพจน์ทำหมดสมาธิ จากการวิจัยของ Cambridge Sound Management พบว่า speech หรือการกล่าวสุนทรพจน์ ทั้งที่มีซาวด์ดนตรีประกอบหรือไม่มี สามารถรบกวนสมาธิในการทำงานได้ถึง 48% เพราะว่าความหมาย และความทรงพลังของถ้อยคำที่ร้อยเรียงเป็นประโยคหล่านั้นจะดึงให้คุณหันเหไปใส่ใจจนได้ ทางที่ดีควรฟังแต่เพลงบรรเลงจะดีกว่า งานบางอย่างฟังเพลงไปด้วยแล้วโคตรเพลิน ถ้าหนึ่งใน job description ของคุณคือการคีย์ข้อมูลลงใน spreadsheet แบบนี้ดนตรีจะสร้างความเพลิดเพลินให้กับคุณได้โดยไม่เสียงาน โดยการศึกษาของ University of Birmingham ในอังกฤษ พบว่า เสียงเพลงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่มีลักษณะทำซ้ำเป็นแพตเทิร์นได้ดี ยิ่งถ้าเป็นเพลงที่มีโครงสร้างเป็น loop
หลายคนบ่นกันเหลือเกินว่า 24 ชั่วโมงมันไม่พอ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์เคลียร์ Duty ทั้งหลายไม่ค่อยลงเท่าไหร่ หัวฟูตั้งแต่ต้นสัปดาห์ยันวันหยุด ลองมาเปลี่ยนตัวเองให้ใช้เวลากันแบบชาญฉลาดดีกว่า UNLOCKMEN ขอแนะนำเทคนิคบริหารเวลาที่มีแบบเจ๋ง ๆ หายใจเข้าลึก ๆ แล้วมาจัดการตัวเองแบบมีสติ จะได้มีเวลาเหลือ ๆ นอนชิลกันบ้าง เพื่อให้ทุกวันจันทร์ของเราไม่เป็นวันที่แสนน่าเบื่ออย่างที่คนอื่นเขามีกัน แถมยังเป็นวันที่เราอยากให้มาถึง เพื่อที่จะได้ปล่อยพลังของเราให้เต็มที่ และใช้ชีวิตในวันหยุดแบบสุดเหวี่ยงได้แบบไม่มีภาระมาเกาะหลัง ปรับนิสัย รู้ว่านิสัยไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ แต่เคยลงมือหรือยังว่าตัวเองจะเปลี่ยนได้มากน้อยแค่ไหน การทำอะไรซ้ำ ๆ กัน 21 วัน หรือ 30 วัน ถูกยืนยันมาแล้วว่าช่วยให้เปลี่ยนพฤติกรรมของเราได้จริง ๆ ไม่ว่าจะเคยมีนิสัยแบบไหนมาก่อน ดูอย่างเวลาเข้างาน ไม่ว่าเราเคยตื่นสายตอนมหาวิทยาลัยแค่ไหน แต่พอมาทำงาน เราก็ต้องปรับตัวเองไปเรื่อย ๆ แม้ว่าช่วงแรกมันจะรู้สึกยากแค่ไหน แต่ถ้าหากความจำเป็นมันบังคับ เราจะค่อย ๆ หาทางให้ตัวเองทำมันได้ในที่สุดเอง ปรับพลัง แพลนก็ก็อปเพื่อนมาเลยนี่หว่า ทำไมของเรายังไม่ลงตัวซะที จริง ๆ แล้วแพลนที่เรามีมันอาจจะลงตัวแล้วก็ได้ แต่เราอาจจะทำมันด้วยพลังที่ไม่มากพอ ลองเติม Energy เข้าไปให้ตัวเองมากขึ้นมากกว่านี้
นั่งทำงานไปนาน ๆ ก็ออกจะเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ลุกขึ้นไปยืดเส้นยืดสาย บุหรี่ยามบ่ายสักตัว และถ้าได้ฟังเพลงปลุกพลังสักหน่อยคงจะช่วยให้สดชื่นขึ้นไม่น้อย สำหรับใครที่เป็นสายปลุกพลัง เพลงมันส์ ๆ เร้าใจ เราขอแนะนำ WAKE UP YOUR PASSION PLAYLIST : 10 เพลงปลุกไฟให้ลุกพรึบสำหรับปั่นงานให้หมดโต๊ะ แต่สำหรับใครที่สายชิล อยากจะได้เพลงชวน Keep Calm ยามบ่าย ปลุกไฟด้วยความชิล ลองกด PLAY กับเพลย์ลิสต์นี้กันสักหน่อย แล้วปล่อยสมองให้โลดแล่นไปกับเสียงเพลง สำหรับใครที่สะดวกฟังบน Spotify เราจัด Playlist ไว้ให้ฟังกันง่าย ๆ เหมือนเดิม Elliott Smith – Say Yes Iron and Wine – Time after Time Bon Iver – Holocene Fleet Foxes – If You