ไม่ว่าพวกเราจะทำงานผ่านมากี่ที่ แต่เชื่อว่าความรู้สึกช่วงสัมภาษณ์ก็ยังเป็นโมเมนต์ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับเราอยู่ดี บางครั้งเรียกได้ว่านาทีต่อนาทีที่ตอบโต้กันระหว่างเรากับผู้สัมภาษณ์เราก็แทบทำนายได้แล้วว่าเราจะได้งานนี้หรือชวดต้องไปสัมภาษณ์ครั้งหน้า เพื่อให้ผู้ชายอย่าง เราสามารถโต้กลับการสัมภาษณ์ได้แบบไม่ต้องเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียว วันนี้ UNLOCKMEN ได้รวบแทคติคจิตวิทยาเพิ่มโอกาสพิชิตการสัมภาษณ์งานที่เขาทดสอบกันมาว่าพาวินกันนักต่อนัก จาก 5 สิ่งต่อไปนี้ให้ไปลองเลือกใช้กัน นัดเวลาสัมภาษณ์ให้อยู่ช่วงวันอังคาร 10.30 5 วันทำการโอกาสจะทำให้ HR มีแรงดลใจนัดเราในวันอังคารอาจจะยากสักหน่อย แต่ถ้าเลือกได้ก็ลองระบุเวลานี้กันดู เพราะเขาว่ากันว่าเวลานี้จะเป็นช่วงที่ให้การสัมภาษณ์รีแลกซ์ เนื่องจากยังเป็นช่วงเวลาที่ไม่เร่งรีบเท่ากับต้นสัปดาห์และไม่ปั่นเหมือนวันสุดสัปดาห์ ส่วนเรื่องเวลาเน้นหลีก 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงเช้าไว้ เพราะช่วงเช้าเป็นช่วงที่หลายบริษัทกำลังประชุมกันซึ่งเขาจะเอาเวลาช่วงนั้นไปโฟกัสกับสิ่งที่ต้องทำอยู่ กับช่วงบ่ายคล้อยเย็นไว้ด้วย เพราะคนสัมภาษณ์เขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรแล้วนอกจากอยากกลับบ้าน อย่าสัมภาษณ์ช่วงต่อจากผู้แข่งขันตัวเป้ง เราอาจจะไม่รู้ว่าใครเป็นคู่แข่งที่โหดสุดในการสัมภาษณ์ แต่ถ้าบังเอิญรู้เข้าก็ให้เลี่ยงการประเมินในช่วงใกล้กันไว้ เพราะมันเสี่ยงมากที่เราจะโดนปัดออกจากสนามแข่งแบบไม่รู้ตัว เนื่องจากนักวิจัยพบว่าผู้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่วางบรรทัดฐานการประเมินจากพื้นของผู้สมัครแต่ละคนในวันสัมภาษณ์นั้น จากการวิจัยของ University of Pennsylvania และ Harvard University จึงเผยความจริงหนึ่งว่า ระยะเวลาอันตรายของการสัมภาษณ์โดยมีผู้สมัครม้ามืดมาเป็นคู่เทียบซึ่งเราควรหลีกเลี่ยงนั้น นับตั้งแต่สัปดาห์เดียวกันผู้สมัครคนนั้นมาเหยียบบริษัทในฝันเราเพื่อสัมภาษณ์ ยาวต่อเนื่องไปถึงสัปดาห์ต่อไป ใครที่งงก็ให้จำไว้ว่าไปสัมภาษณ์อาทิตย์ที่ 3 หลังจากที่ไอ้ตัวเต็งนั่นมาสัมภาษณ์แหละที่ปลอดภัย เลือกเนื้อผ้าให้เหมาะกับเนื้องาน ไม่ใช่แค่สุภาพอย่างเดียวเท่านั้นที่จะชนะใจ แต่เรื่องสีเสื้อมันก็มีการวิจัยเช่นกันว่ามีผลกับการให้คะแนนของผู้สัมภาษณ์ โดยจากการสัมภาษณ์เพื่อเก็บสถิติของ Career Builder
แว่วมาสักระยะแล้วเรื่องการนำ AI มาทำตำแหน่ง Hr คัดคนเข้าทำงาน เราเชื่อว่าหลายคนที่ได้ยินอาจรู้สึกกลัวเพราะนับวันเจ้าปัญญาประดิษฐ์เริ่มจะมีอำนาจควบคุมเรามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เพื่อไม่ให้เป็นการปรักปรำและเท่าทันระบบการหางานในโลกวันนี้ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป UNLOCKMEN จึงได้ติดตามและไขภาพมัว ๆ ที่คนอาจจะคิดไม่ออกว่าทำไมถึงต้องมีการใช้ AI เข้ามาทำหน้าที่นี้ และมันยุติธรรมกับมนุษย์อย่างเราไหม JUST EXTENSION ก่อนจะพารานอยด์กับอาชีพ ว่า Hr จะโดนขโมยงานไปอีกอาชีพหนึ่งแล้วเหรอ ขอให้งดแตกตื่นเพราะการนำ AI มาช่วยคัดกรองคนเข้าทำงาน เขาใช้มันเป็นแค่ส่วนขยายที่เพิ่มเข้ามาเท่านั้น เนื่องจากสุดท้ายแล้วความกดดันระหว่างคนสัมภาษณ์กับคนสมัคร หรือการใช้จิตวิทยาเข้าประกอบการทดสอบเพื่อคัดเลือกคนมันก็ยังจำเป็นอยู่ วิชาชีพของการเป็น Hr ก็ยังคงสำคัญกับองค์กรเสมอ แต่นั่นจะเป็นขั้นตอนในสเตปที่ 2-3 ไม่ใช่ขั้นตอนแรกถ้าหากบริษัทที่เราจะเข้าไปทำงานเขาใช้ปัญญาประดิษฐ์มาร่วมในการกรองคน… MATCH ME WITHOUT BIAS ในเมื่อ Hr เดิมก็ไม่ได้หายไปแล้วทำไมเราถึงต้องมี AI ซึ่งไร้หัวใจมาเป็นผู้ร่วมตัดสิน Resume ที่เรามุ่งมั่นทำแทบเป็นแทบตายด้วย ถ้าคุณกำลังตั้งคำถามนั้นตอนที่กำลังอ่านอยู่ นั่นแหละ คำตอบมันอยู่ตรงนั้น “ความไร้หัวใจมันจำเป็นกับการคัดกรอง” มนุษย์ละเอียดอ่อนเรื่องอารมณ์กับการให้คะแนนมากเกินไป เราให้แต้มกับบางอย่างที่ถูกใจ และตัดแต้มเมื่อเหม็นขี้หน้าหรือไม่ถูกชะตา และไม่ว่าคุณจะทำเช่นไรคุณจะไม่มีวันเอาตัวเองออกจากความ Bias โดยสัญชาตญาณของตัวเองได้
วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ทำงานมาแป๊ปเดียวนี่ก็ขึ้นปีใหม่อีกแล้ว เราเชื่อว่าช่วงเวลานี้ผู้ชายเราส่วนใหญ่เพิ่มผ่านการเผชิญหน้ากับวิกฤตปลายปีอย่าง “การประเมินผลการทำงาน” ทำให้ต้องรีบปั่นความ Productive โค้งสุดท้ายเพื่อเรียกคะแนนโบนัสกันสักหน่อย เมื่อ “Measure is coming.” มันก็ถึงเวลาที่แบบประเมินอักษรภาษาอังกฤษจะกลับมาให้ได้ยินอีกครั้ง ทั้ง PDCA, KPIs (อันนี้ได้ยินบ่อย หลายบริษัทในไทยก็ยังทำอยู่) และ OKRs แต่ที่ดูจะมาแรงสุดจนหลายบริษัทออกมาโหมกระหน่ำทำตามกันตอนนี้คือ OKRs ซึ่งเราได้ไปเก็บข้อมูลและนำมาอธิบายให้ชาว UNLOCKMEN เห็นภาพกันมากขึ้น แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องนั้น คุณว่าระบบการประเมินการทำงานที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้มันเป็นอย่างไรบ้าง ดีไหม แล้วมันวัดคุณภาพของคุณได้จริงหรือเปล่า “ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน” เสี้ยวความจริงในวันนี้ ก่อนที่จะไปเข้าเรื่อง KPIs กับ OKRs เรามาพูดเรื่องการประเมินกันก่อนเลยดีกว่า อันที่จริงถ้าจะมีใครสักคนที่รู้และบอกว่าคุณทำงานนั้นได้ดี หรือเต็มความสามารถของตัวเองจริงหรือเปล่า มันก็มีแต่ตัวคุณเท่านั้นที่รู้ว่าความจริงมันเป็นอย่างไร เพราะคุณคือคนลงมือทำและรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันยากหรือง่าย แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อเข้ามาอยู่ในระบบของบริษัท คุณก็ต้องเข้าสู่ระบบตัดเกรดโดยผู้มีอำนาจสูงกว่า ด้วยมาตรฐานที่สามารถมองเห็นได้เป็นรูปธรรมมากกว่าความรู้สึก เพื่อให้ทางบริษัทรู้ว่าเขาจ้างคนได้สมราคาไหม หรือคนนี้ควรได้รับค่าตอบแทนคุ้มความเหนื่อยตลอดปีเป็นโบนัสก้อนโตหรือเปล่า และนั่นแหละคือที่มาของการประเมิน ยุคสมัยของการประเมินเกิดขึ้นครั้งแรกก่อนที่เราจะเกิดกันเสียอีก เพราะเริ่มต้นก่อนปี 1900 โดยเขาเรียกยุคนั้นว่า “The Age of Reform” เกิดขึ้นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี
เคยไหม เวลาที่เราทำงานแล้วดันพลาดเพราะจุดบกพร่องที่เรามองไม่เห็นแต่เจ้านายดันมองเห็นและเรียกเราเข้าไปรับฟังคำปรับปรุง หลังฟังคอมเมนต์เราก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะเงียบ ๆ เฝ้าบอกตัวเองว่าจะไม่ทำผิดอีก จับจดกับมันจนนอยด์ โทษตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่ากูมันไม่ดี กูมันห่วย ความคิดแบบนั้นบางคนอาจจะสามารถพลิกไปใช้ในทางบวกให้ทำงานดีขึ้นได้ แต่เชื่อเถอะว่าการเฆี่ยนตัวเองบ่อย ๆ จากความคิดลบเพียงอย่างเดียว มันจะรีดพลังงานและความกระหายที่จะทำงานของเราไปจนหมด ดังนั้น เพื่อให้ทำงานได้โปรดักทีฟแบบไม่ต้องเจ็บทั้งตัวจากการโดนตำหนิของคนอื่น แล้วยังมาเจ็บใจซ้ำเพราะตำหนิตัวเอง ลองมาเปลี่ยนความคิด แล้วใจดีกับตัวเอง ให้โอกาสกับความผิดพลาดเสียบ้าง แล้วคุณจะรู้ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ใช่ความเหลาะแหละ แต่เป็นประสิทธิภาพที่ดีเกินคาด หลักการนี้ไม่ใช่เรื่องหลักลอย แต่นำมาผลงานและการศึกษาของ 2 นักวิจัย คือ Leah Weiss ศาสตราจารย์ที่ Stanford University Graduate School of Business ที่เขียนผลงาน How We Work: Live Your Purpose, Reclaim Your Sanity, and Embrace the Daily Grind (เราทำงานกันอย่างไร: อยู่เพื่อเป้าหมาย ฟื้นฟูจิตใจ และโอบกอดงานประจำ) กับ Shauna
หนุ่ม ๆ เคยสังเกตกันมั้ยว่าทำไมแฟนหรือคู่รักของเรามักจะใช้เวลาในการนอนหลับพักผ่อนมากกว่าเรา จากที่นอนคุยกันอยู่ดี ๆ รู้ตัวอีกทีพวกเธอก็หนีเข้าห้วงนิทราไปเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่เรายังตาแป๋วไม่มีความง่วงมาเยือนเลยแม้แต่น้อย วันนี้เราจึงอยากมาบอกหนุ่ม ๆ ทุกคนให้เข้าใจว่าที่เธอเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะเธอขี้เซาหรือขี้เกียจ แต่มันเป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่มีคำอธิบายชัดเจน สมองต้องการพักผ่อน ศาสตราจารย์ Jim Horne ผู้อำนวยการแห่งสถาบัน The Sleep Research Centre at Loughborough University และผู้เขียนหนังสือ Sleepfaring: A Journey Through The Science of Sleep ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่สุดที่มนุษย์จำเป็นต้องนอนหลับคือในระหว่างวันสมองของเราจะทำงานอยู่ตลอดเวลา ช่วงเวลาเดียวที่สมองจะได้รับการฟื้นฟูและซ่อมแซมคือช่วงนอนหลับพักผ่อน สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำ, ภาษา, และพฤติกรรมจะเข้าสู่โหมดฟื้นฟูเมื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา” “นั่นหมายความว่า ในช่วงระหว่างวันยิ่งใช้งานสมองไปมากเท่าไร สมองยิ่งต้องการพักผ่อนมากเท่านั้น ซึ่งด้วยความจริงข้อนี้จึงทำให้ผู้หญิงต้องการการนอนหลับมากกว่า เนื่องจากสมองของผู้หญิงมักจะทำงานหลายส่วนพร้อมกัน มีความยืดหยุ่นมากกว่าของผู้ชายอย่างชัดเจน ถึงแม้จะเป็นผู้ชายที่ทำงานเกี่ยวกับการคิดคำนวณหรืองานที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจสำคัญ ๆ ซึ่งใช้งานสมองค่อนข้างหนัก แต่นั่นก็ยังไม่เท่าการใช้งานสมองของผู้หญิงอยู่ดี” ด้วยความซับซ้อนของสมองที่มากกว่า ผู้หญิงจึงต้องการการนอนหลับพักผ่อนที่มากกว่าผู้ชายโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 20 นาที อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับลักษณะสมองของแต่ละบุคคล คุณภาพการนอนและสุขภาพ มีอีกหนึ่งงานวิจัยที่ยิ่งตอกย้ำปัญหาการนอนหลับของผู้หญิงเข้าไปอีก
ถ้าพูดถึงประเทศสหรัฐอเมริกา เรามักได้ยินการนิยามว่าเป็น “ประเทศแห่งเสรี” ทำให้ครั้งหนึ่งคำว่า “American Dream” หรือการฝันอย่างอเมริกันจึงกลายเรื่องระดับโลก เป็นความฝันที่ใครก็ล้วนใฝ่หาและต้องการเดินทางไปตั้งรกราก เพราะมีทั้งความเจริญ ความเท่าเทียม และอิสระ เรียกได้ว่าเป็นดินแดนในฝันที่ใครก็สามารถเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเศรษฐีได้ จึงไม่แปลกที่ล่าสุดเมื่อผลสำรวจประชากรชาว Freelancer ในสหรัฐฯ ประจำปีนี้เผยตัวเลขว่ามีคนเลือกเป็นฟรีแลนซ์จำนวนถึง 56.7 ล้านคน เราจะรู้สึกไม่ประหลาดใจ แต่ไม่ใช่แค่ตัวเลขเท่านั้นที่น่าสนใจ UNLOCKMEN ยังมีเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสนใจเกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้มาแบ่งปันกันด้วย American Dream: Past & Present ใครที่ดูหนังต่างประเทศบ่อย ๆ จะได้ยินคำว่า “American Dream” กันมาบ้าง ซึ่งส่วนมากเรื่องราวจะออกแนวการเดินทางจากต่างดินแดนเข้าไปในอเมริกาเพื่อตามหาความฝัน ซึ่งความฝันเหล่านั้นมักจะผลิตซ้ำเรื่องการเป็น “Somebody” ด้านอาชีพ เช่น อยากจะเป็นนักมวยอาชีพ นักดนตรีอาชีพ ก็จะฝึกมันครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าจะได้เป็น หรือ Underdog เองก็มีสิทธิผันตัวเองเป็นเศรษฐีใหม่ได้เสมอ หากขยันและร่ำรวย อาชีพ Freelance หรือการรับจ้างเป็นมือปืน จึงอาจเป็นเรื่องของการหารายได้เสริมเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ค่านิยมความฝันของคนเราก็เริ่มเปลี่ยน ความรู้สึกอยากเป็น “Somebody” มันเริ่มจางลง
ความสุขในชีวิตคนเราตั้งแต่เกิดมาจนตายไปคืออะไร ? คำถามนี้สำหรับผู้ชายหลายคนอาจยังอยู่ในช่วงเดินทางตามหาคำตอบกันอยู่ แต่สำหรับ แทม หรือ พศิน อัธยาตมวิทยา เขาคงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ค้นเจอคำตอบพวกนั้นด้วยตัวเองแล้ว แม้ช่วงอายุจะอยู่ในรุ่นราวเดียวกันกับใครหลายคนซึ่งยังเลือกใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้ความท้าทายภายใน Comfort Zone ของตัวเอง จากเด็กหนุ่มอายุ 20 ที่ลงมือเรียนรู้ด้วยตัวเอง จนสามารถเขียนหนังสือที่คนรักการถ่ายรูปหลายคนต้องรู้จักอย่าง Speed Of Light ต่อด้วยบทบาทผู้กำกับงานโฆษณาฝีมือโดดเด่น รวมไปถึงเรื่องราวความชื่นชอบในรถยนต์ที่มีมาตั้งแต่เด็ก สู่ชีวิตที่หลงใหลการอยู่หลังพวงมาลัยความเร็วสูง อะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเขาจากเด็กหนุ่มหัวรั้นให้กลายเป็นผู้ชายที่มีคุณภาพทั้งด้านการทำงานและการใช้ชีวิต วันนี้เรามาหาคำตอบไปพร้อมกัน “ชื่อแทมนะครับ พศิน อัธยาตมวิทยา ตอนนี้เป็นผู้กำกับครับทำเกี่ยวกับหนังโฆษณาแต่ก่อนหน้านี้จริง ๆ คนอาจรู้จักผมในฐานะการเป็นช่างภาพครับเพราะผมเริ่มถ่ายรูปมาตั้งแต่ก่อนเรียนมหาวิทยาลัย ใช้เวลาอยู่ตรงนั้นประมาณ 7 ปี ในฐานะช่างภาพที่มีความถนัดในเรื่องของ แสง เคยเปิดสอนเกี่ยวกับเรื่องแสงเป็นเรื่องเป็นราวมาก่อนและตอนอายุประมาณ 20 ปีก็มีหนังสือของตัวเองออกมาครับ” ศาสตร์แห่งแสง มีความสำคัญยังไง ? “สำหรับผมแล้วแสงมันค่อนข้างเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมากเลยนะเพราะเราสามารถมองเห็นมันตลอด แต่เวลาที่มันลงมากระทบตัว มันก็แค่สะท้อนออกไปโดยที่เราไม่รู้สึกอะไร แถมสามารถนำมาปรับแต่งให้วิ่งสวนทางกันได้แบบต่างคนต่างไป นอกจากนี้ยังบอกเล่าถึงรูปทรงและลักษณะพื้นผิวในแบบต่าง ๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่นการถ่ายภาพรถยนต์ อีกเหตุผลหนึ่งคือถ้าเราเคยสังเกตดี ๆ จะมองเห็นว่าในที่เดียวกันแต่คนละเวลา ก็เป็นคนละแสง ในเวลาเดียวกันแต่อยู่คนละมุมโลกก็เป็นคนละแสง ทิศทางของมันเปลี่ยนไปอารมณ์ทุกอย่างก็เปลี่ยนหมด”
สิ่งที่เรา Spend เวลาไปกับมันเป็นส่วนใหญ่ของชีวิต คงไม่พ้นการทำงาน เพื่อให้ตัวเรามีเงินไป Spend สิ่งอื่นในชีวิตประจำวันได้ เราใช้เวลาไปกับงาน 5 วันต่อสัปดาห์ ใช้เวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตกในแต่ละวัน ไปกับการเดินทางไปทำงานและเดินทางกลับ ถ้าเราได้เจอกับงานที่ดีจนวันจันทร์ไม่ได้เป็นศัตรูตัวร้ายของเราถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอิจฉา เพราะยังมีอีกหลายคนที่ต้องสู้รบตบมือกับวันทำงานกันตั้งแต่เริ่มสัปดาห์ เพราะพวกเขาไม่ได้มีงานที่ตอบสนองความต้องการเขาได้ในทุกด้าน อาการหมดไฟ ห่อเหี่ยวกันตั้งแต่วันจันทร์ ไปจนถึงตอนหย่อนร่างกายลงบนเก้าอี้ในออฟฟิศ ยิ่งปรากฏชัดขึ้นทุกวัน หากเรารู้สึกว่าตัวเองเริ่มไม่มีความสุขกับสิ่งที่เคยทำแล้ว UNLOCKMEN อยากให้หนุ่ม ๆ ลองสังเกตตัวเองกันหน่อยว่าเริ่มหมดไฟแล้วหรือยัง กับสัญญาณของคนหมดไฟในการทำงาน พร้อมทางออกเจ๋ง ๆ ให้ไฟแห่ง Passion กลับมาลุกโชนอีกครั้ง ไม่มีไอเดียใหม่ ๆ เลย ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งคิดไม่ออก เหมือนสมองกลายเป็นซอยตันที่ไม่รู้ว่าจะกลับรถออกไปยังไงด้วยซ้ำ แม้เราจะเคยชำนาญในเรื่องนี้ชนิดที่ว่าหลับตาทำก็ยังได้ แต่พอมาถึงวันนี้กลับคิดอะไรไม่ออก มักจะเกิดในงานที่ต้องครีเอตอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ บางครั้งคุณก็รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่ายิ่งขุดลึกลงไปตอนนี้ก็ยังไม่เจออะไรหรอก แต่ก็สุดจะหาทางออกให้ตัวเอง ก็ได้แต่คิดซ้ำ ๆ เรื่องเดิมไปทั้งที่รู้ผลของมันอยู่แล้ว โดยเฉพาะถ้าหากอยู่ในตำแหน่งหน้าที่เดิมอยู่เป็นเวลานาน อาจทำให้รู้สึกหมดไอเดียกับสิ่งที่ทำ ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สเต็ปสำคัญคือการก้าวให้พ้นไอเดียตันแบบนี้ไปให้ได้ ทำเป็นเห็นด้วย ถึงแม้ความคิดจะไม่ใช่แบบนั้นก็ตาม ในตอนที่ก้าวเข้ามาทำงาน หากเรายังไม่สามารถรู้ได้ในทันทีว่าในองค์กรนี้เป็นยังไง
ถ้าเทียบกับสัดส่วนของการลาออกจากงานของพวกเราเหล่าพนักงานกับเรื่องเจ้านายมีอันต้องอันตรธานหายไปจากบริษัท เรื่องเจ้านาย “ลาออกหรือหายไป” ดูเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากกว่า โดยเฉพาะถ้าอยู่ในตำแหน่งสูง ๆ ระดับผู้ก่อตั้งด้วยแล้ว การออกมันถือเป็นการสั่นคลอนกับบริษัทเลยทีเดียวเพราะหมายถึงระบบ นโยบายการทำงาน ความผูกพันเหนียวแน่นของการทำงาน และการปกครองที่อาจกำลังเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างสิ้นเชิง แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันเหล่านี้ก็เกิดขึ้นแทบทุกวัน ทั้งในหน้าข่าวที่เราติดตามหรือเรื่องราวที่เราเขียน ไม่ว่าจะเป็นการขายบริษัท Winamp เปลี่ยนมือการ take over บริษัทที่ถึงจะให้ผู้ก่อตั้งเดิมบริหารงานต่อ ทว่าสุดท้ายนโยบายแบบใหม่ก็เข้ามาทำให้จำต้องยอมรับไม่ได้และลาออกไป หรือข่าวเจ้าสัววิชัย เจ้าของ King Power ที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จนกระแสความอาลัยของพนักงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องกระจายให้เห็นมากมายในโลกโซเชียล เมื่อร่มโพธิ์ร่มไทรหายไปแล้ว แต่เรายังคงต้องทำหน้าที่ของเราต่อ UNLOCKMEN ขอนำเสนอวิธีปรับใจ ปรับกระบวนท่า ให้พร้อมรับกับสถานการณ์จาก 5 หนทางต่อไปนี้ ยอมรับความเจ็บปวดและก้าวต่อไป เจ้านายคู่ใจแม้จะหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร แต่เราเชื่อว่าบางคนก็มีโอกาสได้เจอแล้ว เพราะเราก็เจอมาแล้วกับการทำงานที่ต่างฝ่ายต่าง challenge ให้สุดเพื่อให้งานออกมาดี เถียงกันแทบออกหมัด แต่พอออกนอกห้องประชุมก็กอดคอชนแก้วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น การทำงานโคตรเปิดใจ โคตรสนุก มันคงทำให้คุณรู้สึกเศร้าเมื่อเจ้านายคนนั้นหายไป แต่จงจำไว้ว่าความเศร้ามันไม่อยู่ตลอดกาล ยอมรับวันนี้และต้องเดินหน้าต่อไปเพื่อทำงานอย่างมืออาชีพคือคำตอบสำคัญที่สุดที่คุณไม่ควรละทิ้ง หยุดเปรียบเทียบ เจ้านายเก่าเจ้านายใหม่ การจากลาเป็นเรื่องการเหวี่ยงของโลก เหตุผลการเคลื่อนที่ของคนเราคงไม่เหมือนกัน เมื่อต้องอำลาเจ้านายคนเก่งที่เราชื่นชม สิ่งที่เราต้องหลีกเลี่ยงคือการตั้งป้อมกับเจ้านายใหม่ว่าจะไม่ดีเท่าคนเดิม และโฟกัสเรื่องการทำงานและการทำเพื่อองค์กรไว้ก่อน
ตั้งใจแค่ไหนก็ยังพังได้ คือสัจธรรมที่มีโอกาสเกิดขึ้นกับผู้ชายทุกคนบนโลกใบนี้ เพราะเส้นทางการเติบโตของการทำงานมันต้องเจอกับภาระความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ยิ่งเมื่อเราทำงานจนชำนาญและเจ้านายเห็น potential จนได้รับมอบหมายให้ทำงานสำคัญ ๆ ด้วยแล้ว แม้คำตอบของเราคือ “ห้ามพลาด” เด็ดขาด แต่เชื่อว่าเราทุกคนก็ยังมีโอกาสพลาดได้อยู่ดี ถ้างานในมือของคุณตอนนี้มันแหลกเป็นผุยผง หรือเห็นท่าว่าร่อแร่เต็มที่ UNLOCKMEN คิดว่าแทนที่จะแก้ตัวแบบแกน ๆ เรามาใช้ทั้ง 5 วิธีตามลำดับต่อไปนี้กู้ซากความล้มเหลวแบบแมน ๆ ไปใช้กันแทนดีกว่า เพราะถึงแม้มันจะไม่ได้ทำให้งานกลับมาเหมือนเดิม 100% แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นหนทางแลนด์ดิ้งนุ่ม ๆ อย่างลูกผู้ชาย 1. บอกตัวเองว่าใครก็ทำผิดกันทั้งนั้น เรื่องหนึ่งที่จะว่าสำคัญก็ว่าได้คือการฟื้นฟูจิตใจตัวเอง ก่อนที่จะรับผลของความผิดพลาดที่จะทำให้ผู้ชายร่างกำยำอย่างคุณใจเหลือนิดเดียว ให้บอกตัวเองไว้ว่าใครก็มีสิทธิพลาดด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครมันจะสมบูรณ์แบบทั้งหมด เมื่อยอมรับสิ่งนี้มันจะทำให้คุณมีกำลังใจลุกขึ้นแก้ไขอีกครั้ง และกล้ายอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแบบแมน ๆ โดยไม่ต้องหนีปัญหา 2. สงบใจเข้าไว้ เพื่อสยบทุกความเคลื่อนไหว เจองานพังปุ๊บ บางคนถึงกับสติแตกไปเลยก็มี แม้ชาว UNLOCKMEN จะคิดว่าผู้ชายอย่างเราไม่อ่อนไหวเท่าผู้หญิง แต่เรื่องนี้ไม่จริงเพราะจากการสำรวจโดย Accountemps เผยว่า 45% ของคนที่เป็นมือโปรที่เราเห็นในออฟฟิศล้วนเคยร้องไห้เสียน้ำตาในที่ทำงานมาแล้วทั้งนั้น ขณะที่ 52% ของพนักงานเหล่านั้นก็เคยระเบิดอารมณ์ระหว่างทำงานเช่นกัน ดังนั้น