การเป็นเจ้าคนนายคนได้ต้องสะสมพระเดชพระคุณและบุญบารมีจากชาติปางก่อน ความเชื่อจากประโยคที่ว่านี้อาจยังไม่เพียงพอสำหรับการเป็นหัวหน้าที่ดีในสายตาพนักงานทุกคน เพราะ ‘หัวหน้า’ เป็นอีกแรงขับเคลื่อนที่ช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย และช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างมีความสุข นอกจากจะต้องใช้ทักษะและความเชี่ยวชาญในการทำงานแล้ว อาจจะต้องอาศัยความสามารถในการปกครองคนด้วยเช่นกัน หนุ่ม ๆ บางคนอาจโชคดีที่ได้เจอกับหัวหน้าใจดี มีเหตุผล ยอมรับฟัง และเข้าใจหัวอกพนักงาน แต่เชื่อว่าคงมีผู้ชายหลายคนที่ต้องผจญกับหัวหน้าสุดทน จอมบงการ เอาแต่ใจ และไม่เคยเปิดอกรับฟังพนักงานตัวน้อย ๆ อย่างเราเลย จนบางครั้งก็เผลอคิดว่า ถ้าลาออกไปก็คงไม่ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ทุกวี่วันละมั้ง ไม่ว่าคุณจะเป็นหัวหน้าที่พยายามคิดหาวิธีทำให้ลูกน้องทุกคนรัก หรือเป็นพนักงานธรรมดาที่ใฝ่ฝันว่าสักวันจะเป็นหัวหน้าที่ดีให้ได้ UNLOCKMEN อยากให้หนุ่ม ๆ มาเรียนรู้ 5 คุณสมบัติของหัวหน้าที่ดีที่ลูกน้องทุกคนจะต้องหลงรัก เชื่อว่ามันจะมีประโยชน์ต่ออาชีพการงานของพวกคุณอย่างแน่นอน! กำหนดวิสัยทัศน์ที่แน่วแน่ หากจะเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องทุกคนรัก คุณต้องมีวิสัยทัศน์การบริหารที่แน่วแน่และมั่นคง เพราะคงไม่มีลูกเรือคนไหนอยากล่มหัวจมท้ายกับกัปตันเรือที่ไม่รู้ว่าจะเดินเรือไปในทิศทางใด วิสัยทัศน์ในการบริหารจึงเป็นสิ่งสำคัญที่หัวหน้าทุกคนพึงมี แทนที่จะเร่งพนักงานให้ทำงานไปวัน ๆ อย่างไร้จุดหมาย ให้ลองกำหนดเป้าหมายยิ่งใหญ่เอาไว้ข้างหน้า เพื่อให้คุณและทีมมองเห็น รับรู้ และตั้งใจทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายและความสำเร็จร่วมกัน กำหนดความก้าวหน้าให้พนักงานแต่ละคน ไม่ว่าพนักงานคนไหนก็ต่างตั้งใจทำงานเพื่อความสำเร็จในอาชีพการงานด้วยกันทั้งนั้น อีกหนึ่งคุณสมบัติของหัวหน้าที่ลูกน้องทุกคนรัก คือต้องสามารถกำหนดเป้าหมายความสำเร็จให้กับพนักงานทุกคนได้ การกำหนดเป้าหมายให้พนักงาน นอกจากจะเป็นการวัดความก้าวหน้าและการเติบโตของพวกเขาแล้ว ยังกระตุ้นให้ทุกคนในทีมขยันและตั้งใจทำงานเพื่อความสำเร็จของพวกเขาแต่ละคน แถมการทำงานไปวัน ๆ กับการทำงานที่มีเป้าหมาย ก็คงให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต
“ลาออก” เมื่อพูดถึงคำนี้ในชีวิตมนุษย์ทำงาน จะว่าเป็นเรื่องยุ่งยากลำบากใจก็อาจใช่ แต่เมื่อตัดสินใจเป็นมั่นเหมาะแล้วจะเอาอะไรมาฉุดรั้งยั้งไว้ก็คงไม่อยู่ และเมื่อนั้นการลาออกก็ดูเป็นเรื่องง่ายแสนง่าย แค่เดินไปบอกเจ้านายว่า “พี่ครับ ผมขอลาออก” ก็ดูเหมือนทุกอย่างจะจบสิ้น ใช่ การลาออกไม่ยากเกินไป แต่การลาออกอย่างมืออาชีพเพื่อให้จากกันด้วยดีและแสดงถึงวุฒิภาวะของเรานั้นมีความหมายต่องานต่อไป หรือแม้แต่คอนเนคชันในอนาคตอย่างมาก ดังนั้นไม่ใช่แค่อยากลาออก แล้วก็ออก จบ ๆ ไป แต่จะลาออกทั้งที จงลาออกอย่างสง่างามและมืออาชีพ ลาออกเมื่อสถานการณ์ปกติ เมื่อเราถูกวิจารณ์งานเละเทะ แล้วขอลาออก เมื่อเราล้มเหลวกับโปรเจกต์ล่าสุดไม่เป็นท่า แล้วขอลาออก เมื่อเราเหม็นขี้หน้าเพื่อนร่วมงาน แล้วขอลาออก สถานการณ์เหล่านี้เรียกว่าสถานการณ์ไม่ปกติ การลาออกอย่างมืออาชีพ เราเองควรรอให้ตัวเองเผชิญหน้าหรือแก้ไขกับปัญหาที่เกิดขึ้นเสียก่อน หรืออย่างน้อยที่สุดก็ควรพยายามแก้ไขหรืออยู่กับปัญหานั้นมาสักระยะ เพื่อบอกตัวเองว่าเราทำดีที่สุดแล้ว และดูด้วยว่าเมื่อปราศจากอารมณ์ ณ ขณะนั้น เรายังอยากลาออกอยู่ไหม อีกทั้งเพื่อให้ตัวเอง รวมถึงองค์กรเห็นว่าเราไม่ได้ลาออกเพื่อหนีปัญหาแต่อย่างใด ลาออก ต้องบอกล่วงหน้า แต่ละองค์กรมีระยะเวลาขั้นต่ำที่กำหนดให้เราบอกว่าจะลาออกล่วงหน้าอยู่ หากแน่ใจแล้ว เราไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงเวลาขั้นต่ำแต่อย่างใด เมื่อเรามั่นใจเมื่อใด ควรบอกให้องค์กรสามารถเตรียมตัวหาคนมาแทน หรือแม้แต่ให้เราสามารถสอนงานคนที่มาแทนเราได้อย่างราบรื่น รับรองว่ายิ่งบอกล่วงหน้าให้องค์กรได้เตรียมคน เตรียมตัว เตรียมใจ มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นมืออาชีพมากเท่านั้น ลาออก อย่าบอกเรื่องเท็จ เมื่อต้องการลาออก อาจไม่ต้องถึงขั้นบอกละเอียดยิบว่าเราได้ทำงานที่ใหม่ในตำแหน่งไหน เงินเดือนพุ่งกระฉูดลิบขึ้นเท่าใด
‘ความเหงา’ เป็นความรู้สึกปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกคน ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะเหงาตอนที่ต้องอยู่คนเดียว บ้างเหงาตอนที่สายฝนโหมกระหน่ำยามค่ำคืน แต่ผู้ชายบางคนกลับรู้สึกเหงาขึ้นมาดื้อ ๆ ในที่ทำงาน แม้ตลอด 8 ชั่วโมงที่วุ่นวายดูจะไม่มีเวลาว่างให้ความเหงาเข้าแทรกได้ แต่ผลสำรวจของเว็บไซต์ CV-Library เผยว่ามีพนักงานกว่าครึ่งกำลังรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว และเปล่าเปลี่ยวในที่ทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นไอ้ความเหงาที่แสนธรรมดานี้ดันส่งผลเสียต่อการทำงานของพวกเขาอย่างไม่น่าเชื่อ CV-Library หนึ่งในเว็บไซต์จัดหางานของอังกฤษได้สำรวจพนักงาน 2,000 คน เรื่องความรู้สึกเหงาในที่ทำงาน แม้พนักงานที่มีอายุระหว่าง 35-44 ปี จะเป็นช่วงวัยที่เหงามากที่สุด แต่ก็มีพนักงานกว่าครึ่งในบริษัทที่กำลังเผชิญปัญหาเช่นเดียวกันนี้ ปัจจัยที่ทำให้พนักงานรู้สึกเหงา เป็นเพราะพวกเขาต้องนั่งทำงานท่ามกลางหนุ่มสาวหน้าใหม่ไฟแรง เลยอดคิดไม่ได้ว่าตนแตกต่างจากเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ จึงเลือกจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับตัวเองมากกว่าเข้าไปทักทายหรือพูดคุย นานเข้าชีวิตที่ไร้บทสนทนากับเพื่อนร่วมงานจึงก่อตัวเป็นความเหงาโดยที่พวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยง หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังรู้สึก ‘เหงา’ ในที่ทำงาน ไม่ว่าจะด้วยความต่างของช่วงวัย ลักษณะนิสัยส่วนตัว หรือบรรยากาศในออฟฟิศ นี่คือ 5 วิธีที่จะช่วยกำจัดความเหงาและทำให้คุณกลับมามีความสุขกับการทำงานอีกครั้ง! เริ่มบทสนทนากับเพื่อนร่วมงาน ออฟฟิศของคุณมีบรรยากาศเงียบเหงาหรือตัวคุณเองที่เงียบกันแน่? ถ้าไม่อยากรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายในที่ทำงาน หนุ่ม ๆ อาจต้องพยายามสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ให้มากขึ้น เริ่มจากคำทักทายสั้น ๆ “อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนเป็นไงบ้าง” หรือประโยคบอกลาง่าย ๆ
การพูดต่อหน้าที่สาธารณะ การนำเสนองานหรือขายงานไม่ว่ากับลูกค้า คนภายนอกองค์กร หรือคนภายในองค์กรถือเป็นหัวใจสำคัญที่อีกฝั่งจะซื้อไอเดียหรือโปรเจกต์ที่เรานำเสนอ แม้เนื้อหาเราจะมีคุณภาพมากแค่ไหน แต่ถ้าขั้นตอนการนำเสนอเราทำได้ไม่ดีพอ เนื้อหาดี ๆ ที่ทุ่มเทมาตลอดอาจพังทลายได้ง่าย ๆ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าการนำเสนอนั้นคือหัวใจสำคัญ เตรียมตัวมาอย่างหนัก แต่พออีกไม่กี่นาทีจะออกไปพรีเซนต์งานทีไรก็เหมือนสติจะแตก! มือสั่น ปากสั่น ที่สำคัญใจสั่นรัวเร็วยิ่งกว่าได้เดตกับสาวฮอต ในเมื่ออุตส่าห์เตรียมตัวมาอย่างดี จะมาพังเพราะเรื่องแค่นี้คงไม่ได้ จะทำยังไงดี? UNLOCKMEN มี “6 กลยุทธ์แกล้งทำเป็นมั่นใจ”ในวันที่ใจไม่ไหว แต่งานต้องดี มาฝากกัน จากนี้ไปไม่ว่าคุณจะหวาดหวั่นในสมรภูมิการพรีเซนต์สุดเดือดแค่ไหน FAKE IT UNTILL YOU MAKE IT ตามวิธีต่อไปนี้ แล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้อย่างราบรื่นแน่นอน สบตาผู้ฟัง ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ ต่อให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะแค่ไหน หนึ่งหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ทุกคนในที่ประชุมรู้สึกว่าเราไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย คือการสบตากับผู้ฟัง เพราะดวงตาคือประสาทสัมผัสอันทรงพลังที่สุด เมื่อใดก็ตามที่เราพรีเซนต์ไป พร้อม ๆ กับที่มองเข้าไปในดวงตาของผู้ฟังแต่ละคน จะทำให้ทุกคนเชื่อว่าเราเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังนำเสนอ มั่นใจในตัวเอง และที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาจะไม่อาจละสายตาไปจากเราได้เลย ยืนได้ยืน ยืนไม่ได้ ต้องนั่งอย่างราชา หนทางแกล้งทำเป็นมั่นใจคือการจัดระเบียบร่างกายของเรา เพราะเมื่อเวลาเราไม่มั่นใจ ร่างกายของเรามักจะฟ้องได้ชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการงอตัว ห่อไหล่
คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าตนกำลังใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจขาลงที่ขัดกับค่าครองชีพที่ทะยานสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นทุ่มเทกับการทำงาน และหวังว่าสักวันสิ่งที่ทำมาอย่างเหน็ดเหนื่อยจะสร้างความก้าวหน้าและมั่นคงให้กับชีวิตได้ เมื่อระบบทุนนิยมบีบบังคับจนเราไม่สามารถบริหารเวลาได้อย่างเหมาะสม แนวคิดเรื่อง Work-Life Balance ก็ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาในสังคมและมีอิทธิพลกับชีวิตประจำวันของคนมากขึ้น Work-Life Balance เป็นแนวคิดที่ไม่ได้มุ่งเน้นให้ทำงานหนักอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่ได้อยากให้พักผ่อนสบายเกินจนหลงลืมหน้าที่การงาน หากตอกย้ำวิถีการดำเนินชีวิตแบบทางสายกลางที่ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป ซึ่งมันผนวกเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี แทบไม่อยากเชื่อว่าแบ่งเวลาทำงานและใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างสมดุล จะเพิ่มประสิทธิภาพของคนและประสิทธิผลของงานได้จริง แต่บริษัทไมโครซอฟต์ (Microsoft) ในญี่ปุ่นพิสูจน์แล้วว่า การทำงาน 4 วัน และหยุด 3 วัน นั้นมีศักยภาพมากกว่าการทำงาน 5 วัน และหยุด 2 วันเสียอีก! บริษัทไมโครซอฟต์ในประเทศญี่ปุ่นจัดแคมเปญ “Work Life Choice Challenge 2019 Summer” เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาโดยเพิ่มวันหยุดให้กับพนักงาน 2,300 คน จากที่เคยหยุดทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เปลี่ยนมาเป็นหยุดทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ของเดือนแทน แถมยังให้พนักงานทำงานเต็มเวลาและจ่ายค่าจ้างเท่าเดิมตามปกติ นอกจากจะกำหนดระยะเวลาการประชุมสูงสุดไว้ที่ 30 นาที ยังตัดการประชุมใหญ่ ๆ ให้สั้นลง และเลือกประชุมด้วยข้อความอิเล็กทรอนิกส์แทนตัวบุคคล
ถ้าความฝันคือ “สูตรสำเร็จ” ที่คนในยุคนี้ต้องการ ถ้า “ธุรกิจของตัวเอง” คือทางออกของอิสระการใช้ชีวิต เคยสงสัยไหมว่าทำไมถึงยังมีคนคิดต่างจากเราและมีความสุขกับการเป็นลูกจ้าง ไม่ต้องลุกมาเป็นเจ้าของธุรกิจอะไรไปจนเกษียณ ทำไมเวลาเราดูรายการญี่ปุ่น เรามักเห็นพนักงานมีอายุหรือคนหนุ่มสาวที่ทุ่มเทและตั้งใจทำงาน ทั้งที่เขาเป็นเพียงพนักงานตัวเล็ก ๆ แต่กลับมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่และมีความสุขจนทำให้เรารู้สึกอิจฉา คำตอบนี้เราได้มันมาหลังจากมีโอกาสได้พูดคุยกับ ดร. กฤตินี พงษ์ธนเลิศ อาจารย์สอนการตลาดที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ที่หลายคนรู้จักเธอในชื่อ “เกตุวดี Marumura” นี่ถือเป็นหนึ่งในคำถามที่ผุดขึ้นมาระหว่างพูดคุยกันช่วงสัมภาษณ์ยาว (ใครอยากดูฉบับเต็มรอติดตามได้) แต่เชื่อว่าประเด็นนี้ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจ คิดว่าชาว UNLOCKMEN น่าจะอยากรู้เหมือนกัน เราเลยสรุปและนำมาแบ่งปันแล้วด้านล่าง แรงงานต่างชาติน้อยกว่า ดร. กฤตินี เริ่มประเด็นแรกด้วยเรื่องแรงงาน ชี้ปัจจัยความต่างเบื้องต้นว่า “สังคมญี่ปุ่นเขาไม่ได้มีแรงงานจากประเทศข้างเคียงมากเท่ากับไทย” นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนที่ทำงานตลอดสายพาน ตั้งแต่งานในโรงงานจนถึงงานนั่งโต๊ะ ส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่นทั้งหมด ดังนั้น เรื่องนี้คงต้องบอกว่าปัจจัยทางสังคมส่งเสริมให้คนญี่ปุ่นเขาเป็นลูกจ้างด้วย ขณะที่ไทยอาจจะมีคนที่เข้ามาทำหน้าที่นี้ทดแทนได้ เพราะมีแรงงานจากประเทศข้างเคียงทั้งพม่า ลาว ฯลฯ ที่เข้ามาทำงานในไทยมากกว่า องค์กรทำงานเป็นทีมและร่วมแรงร่วมใจกัน ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ถึงทุกข์กับการเป็นลูกจ้าง แต่ญี่ปุ่นกลับไม่ใช่อย่างนั้น? เหตุผลที่เราอยากอยู่เหนือคนอื่น อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ อยากเติบโตไว ส่วนหนึ่งจะมองว่าเป็นเรื่องขั้นบันไดการเติบโตที่จำเป็นจะต้องไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็ได้
ขึ้นชื่อว่า “งาน” มันจึงอาจไม่ได้หอมหวานสวยงามเหมือนการเป็นเจ้าชายในเทพนิยายเสมอไป แต่หลายครั้งงานก็ไม่ได้เลวจนเป็นปีศาจร้ายทำลายชีวิตของเราขนาดนั้น แต่ “ทัศนคติ” เรื่องการทำงานต่างหาก ถ้าเราเผลอพลาดนิดเดียวโดยไม่หมั่นสำรวจมัน ทัศนคติเลวร้ายเหล่านั้นจะทำให้เราเกลียดงานเข้าไส้ และเอาแต่เฝ้าถามตัวเองว่าเราก็ทำงานหนักปางตาย ทำไมอะไร ๆ ไม่ดีขึ้นสักที? UNLOCKMEN ชวนสำรวจทัศนคติเลวร้ายที่อาจเป็นภัยต่องานและความสุขของคุณ มาดูกันว่าที่งานหนัก เงินก็น้อย มันผิดที่งาน ผิดที่เรา หรือผิดที่ทัศนคติของเรากันแน่? จะได้แก้ได้อย่างตรงจุด คนนั้นหรอ ไม่เห็นจะเก่งเลย งานของเขาผมก็ทำได้สบายมาก ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกว่าในที่ทำงานของเรามีคนที่ทำงานมากกว่าเรา ทำงานน้อยกว่าเรา หรือบางตำแหน่งสูงกว่าเราแต่ทำไมดูสบายกว่าจังเลยนะ แต่มันจะแปลกถ้าคุณเอาแต่คิดว่าตำแหน่งสูง ๆ หรือตำแหน่งอื่น ๆ ทำงานสบายและคุณเอาแต่ดูถูกและคิดว่าตัวเองเก่งอยู่ไกล ๆ โดยไม่คิดจะพิสูจน์ตัวเองเลย ทัศนคติแบบนี้จะประกอบคุณขึ้นให้กลายเป็นคนที่คิดว่าตัวเองเก่ง คิดว่าตัวเองทำได้ดีกว่าทุกคน แต่ปัญหาก็คือมันเป็นแค่ความคิดและจินตนาการของคุณเท่านั้น ท้ายที่สุดจะลงเอยด้วยการที่คุณเอาแต่โทษคนอื่นว่าไม่เห็นจะทำอะไรแต่ได้ดี ในขณะที่คุณเก่งขนาดนี้แต่ไม่ไปไหน เรากำลังจะบอกว่า ยิ่งรู้สึกว่าตำแหน่งที่สูงกว่าหรือตำแหน่งอื่น ๆ ทำงานได้ไม่ดีหรือเก่งเท่าคุณ คุณยิ่งต้องพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็นว่างานที่ดีและมีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร โดยอาจทั้งทำให้เห็นหรือเสนอความเห็น อย่างน้อยการที่คุณพยายามพิสูจน์ตัวเองวันหนึ่งคุณอาจได้ไปอยู่ในตำแหน่งเหล่านั้นแทนคนพวกนั้นจริง ๆ ก็ได้ แต่ถ้าคุณเอาแต่คิดอยู่ในหัว คุณจะทำได้แค่อิจฉาพวกเขา โกรธตัวเอง และไม่มีความสุขในการทำงานอีกเลย ทำงานไปวัน ๆ แต่หวังความก้าวหน้า
Benjamin Franklin คือหนึ่งในบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา แม้เราจะพอคุ้นหน้าคุ้นตากับใบหน้าขาวดำที่ปรากฏอยู่บนธนบัตร 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนยังไม่รู้ว่าเขาคือผู้ชายที่ถูกขนานนามว่า “ประสบความสำเร็จแทบทุกเรื่องในชีวิต” เขาเป็นทั้งช่างพิมพ์ นักเขียน นักปรัชญา นักการเมือง นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ และนักการทูต มีพรสวรรค์ในการเขียนหนังสือ แต่งเพลง เล่นไวโอลิน ทั้งยังมีทักษะการเล่นกีตาร์ในระดับสูง Benjamin Franklin คือผู้ให้กำเนิดหอสมุดแห่งแรกของสหรัฐอเมริกา ก่อตั้ง The University of Pennsylvania และเป็นหนึ่งในคนสำคัญแห่งยุคเรืองปัญญาที่คิดค้นสายล่อฟ้า จุดเริ่มต้นความรู้ครั้งใหญ่ของสาขาวิชาฟิสิกส์โลก แล้วที่สำคัญที่สุด Benjamin Franklin คือผู้นำการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้แยกตัวออกจากอาณานิคม และก่อตั้งชาติสหรัฐอเมริกาขึ้นมาจนทุกวันนี้ ด้วยรางวัลความสำเร็จที่การันตีและชื่อเสียงจากหลากหลายแขนงวิชา ทำให้เราสงสัยว่า ทั้งที่มีเวลาเพียง 24 ชั่วโมงเฉกเช่นมนุษย์คนอื่น แต่ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงประสบความสำเร็จได้แทบทุกเรื่องในชีวิต? 9 กุญแจไขความสำเร็จของ BENJAMIN FRANKLIN ทำให้มันง่าย ในหนังสืออัตชีวประวัติของ Benjamin Franklin เผยว่าเขาแบ่งตารางกิจวัตรประจำวันอย่างเรียบง่าย โดยมีเพียง 6 เรื่องเท่านั้นที่ต้องทำในแต่ละวัน ไม่จำเป็นต้องมีกิจกรรมมากมาย
ถ้าคุณมองหาหนังสือพัฒนาตัวเองสักเล่ม “Eat That Frog!” ของ Brian Tracy หน้าปกกบตัวโตสีเขียวไดคัตแปะบนพื้นหลังสีส้มจะเป็นหนึ่งเล่มที่มีคนแนะนำคุณซ้ำ ๆ พอ ๆ กับเวลาเริ่มเล่นหุ้นแล้วมีคนแนะนำว่า “นายต้องไปอ่าน Rich Dad Poor Dad นะ เล่มนี้มันดีจริง ๆ” น่าสนใจว่าหลังจากเราได้ยินคำว่า “กินกบ” เป็นครั้งแรกแล้ว และคิดว่ามันค่อนข้างแปลกพอสมควร เราก็มีโอกาสได้ยินการสำนวนต้มยำทำแกงเกี่ยวกับ “กบ” ต่อไปอีกหลายรูปแบบครั้งไม่ว่าจะเป็นการ “จูบกบ” หรือการ “ต้มกบ” ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็ตามแต่ เจ้าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำประเภทนี้ก็มักจะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการพัฒนาตัวเองเสมอ เพื่อสรุปให้จบเรื่องกบ ๆ ภายใน 10 นาทีแล้วเอาไปใช้ได้เลย UNLOCKMEN จึงตั้งใจว่าจะเล่าถึงแก่นของหลักการทฤษฎีให้เพื่อน ๆ ทำความเข้าใจกันแบบง่าย ๆ ใครที่ทำได้ในไม่กี่บรรทัดก็เป็นเรื่องดี แต่ใครที่อยากไปหาอ่านฉบับเต็มต่อให้ละเอียดเพื่อลงลึกเราก็ไม่ว่ากัน ใครที่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วเชิญไปพับกบ เอ้ย! พบกับ กบทั้ง 3 ตัวต่อไปนี้เลย กินกบตัวนั้นซะ! เริ่มต้นกันที่กบตัวแรกกันก่อนคือการ “กินกบ” ใครที่คิดว่าจะไปสั่งกบปิ้ง ย่าง ทอดมากินให้ลาภปากแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้หัวหน้าก็ชมเรา
ในยุคที่ผู้ชายเราไม่ได้มีหน้าที่แค่ล่าสัตว์เหมือนยุคหิน แต่ต้องทำ Multi-Tasking หลายอย่างพร้อม ๆ กัน เปลี่ยนจากการใช้แค่แรงกายไปให้น้ำหนักกับแรงสมองมากกว่า ภาวะความกดดัน การตัดสินใจมากมายที่รออยู่ รวมทั้งการลงมือสะสางทุกอย่างให้จบลงในแต่ละวันมักทำให้พวกเราหมดไฟไปดื้อ ๆ เหมือนกัน “อยากมีเวลาคิดให้มากกว่านี้” ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณได้แต่คิดกับตัวเองมาหลายหนแต่ไม่มีโอกาสทำกับเขาสักที ลองหาวันตัดขาด วางมือจากทุกอย่าง จัดเวลาเพื่อ “คิด” เพียงอย่างเดียวสักครั้งดู เพราะนี่เป็นเทคนิคที่เจ้าพ่อ Microsoft อย่าง Bill Gates ใช้อยู่สม่ำเสมอช่วงที่เขาทำงานเป็น CEO ของ Microsoft และเรียกวิธีการนี้ว่า “Think Week” Think Weeks คือเทคนิคที่ Gates คิดค้นและลงมือทำในปี 1980 เพื่อสร้างประสิทธิภาพด้านการตัดสินใจ ต่อกรกับความกดดันที่พุ่งเข้าใส่แทบทุกวันจากความรู้สึกหมดพลัง หมดไฟ และหมดใจ ด้วยการลี้เข้าถ้ำไปอยู่ลำพัง 1 อาทิตย์ เดินทางไปยังกระท่อมลับส่วนตัวในแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ หรือที่เรียกว่า Cascadia และลงมืออ่านเอกสารต่าง ๆ ที่ได้มาจากพนักงาน Microsoft ในภาวะที่ตัดขาดจากทุกคน เมื่อสิ้นสุดการปลีกวิเวกเข้าถ้ำไปใช้เวลากับการใช้ความคิดช่วง Think Weeks แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือการเปิดตัวของ