นอกเหนือจากอาการลุ้นเรื่องราวที่ยังค้างคา รอให้ติดตามบทสรุปใน Stranger Things SS4 Vol.2 ซึ่งกำลังจะลงสตรีมมิ่งในวันที่ 1 กรกฎาคม นี้ เราเชื่อว่าสาวก Stranger Things หลายท่าน คงกำลังอินกับแฟชั่นยุค 80s จากพร็อพและคอสตูมต่าง ๆ ของเหล่าตัวละครในซีรีส์ ที่ทีมงานทำการบ้านมาอย่างดี หาไอเทมมากมายมาให้แต่ละคาแรกเตอร์สวมใส่กันแบบตรงยุค และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในไอเทมที่โดดเด้งสะดุดตาออกมาคือนาฬิกาสวย ๆ หลากรุ่นหลายแบรนด์ ที่บอกไปเป็นต้องรู้อายุ เพราะเพียงแค่เห็นโผล่มาในจอแค่ไม่กี่วิ เป็นต้องอุทานด้วยภาษากึ่งไม่ทางการว่า “เชี่ยย นี่มันรุ่นที่เคยอยากได้” หรือ “เฮ้ย เรือนนี้เราเคยมีใส่ไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนนี่นา” งานนี้ใครที่รู้สึกว่านาฬิกาของเหล่าตัวละครใน Stranger Things นั้นมันทัชใจ แต่จำได้แค่คลับคล้ายคลับคลา ไม่ได้รู้ลึกถึงขนาดว่ามันชื่อรุ่นอะไร บอกเลยว่าไม่ต้องไปเหนื่อยค้นหาให้ตาแตก เพราะเราได้รวบรวมลายแทงชื่อรุ่นเด่นจากตัวละครดังเกือบทุกคาแรคเตอร์เท่าที่เราสามารถหาได้ มาให้ชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายนำชื่อรุ่นลากเข้า Google เพื่อสะกดรอยไปตามสอยกลับมาครอบครองให้หายคิดถึง ข่าวดีคือมีหลายเรือนที่วางขายมาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยได้กลายเป็นงานวินเทจเข้าขั้น Rare Item ที่อาจต้องใช้กำลังกาย บวกกำลังใจ เสริมด้วยกำลังภายในกระเป๋าตังค์ในการตามล่าของดีมาประดับข้อมือ เอาเป็นว่าก่อนจะเวิ่นเว้อไปมากกว่านี้ เชิญไปดูกันเลยดีกว่าว่าตัวละครไหนใส่นาฬิกาอะไรเข้าฉากกันบ้าง เอ้า…
เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักกันดีกับชื่อเสียงของ ALBA เรือนเวลาดีไซน์สวย ที่การันตีคุณภาพโดย SEIKO แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น กับจุดเด่นเรื่องคุณภาพการผลิตที่ดีในราคาจับต้องได้ จนถือเป็นแบรนด์ในดวงใจของผู้คนซึ่งสนุกกับการแต่งตัวหลากสไตล์ ที่สามารถหามาสวมใส่อัพลุคเท่ได้ไม่รู้จบ ยิ่งในคอลเลกชั่นหลัง ๆ ของ ALBA ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “The Reflection Of Japan” ซึ่งชูจุดแข็งงานดีไซน์ที่สะท้อนถึงคุณภาพความเป็น Japan Product แถมยังตอกย้ำสไตล์ความเป็นเมืองแฟชั่นของญี่ปุ่นออกมาได้อย่างชัดเจน ด้วยการเน้นไปที่รูปลักษณ์ของเรือนเวลา Sport Style ทำให้แต่ละคอลเลกชั่นของ ALBA ที่เปิดตัวออกมาล้วนแล้วแต่เป็นไอเทมที่หนุ่ม ๆ อย่างเราสามารถหยิบมาสวมใส่ Mix & Match สไตล์สนุก ได้ในทุกโอกาส และต้องบอกว่าล่าสุดจิตวิญญาณสปอร์ตในนาฬิกา ALBA ได้ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งในแบบฉบับ Active เต็มขั้น กับ ALBA “SPORTIVE” Design Collection ที่มาพร้อมกับเรือนเวลา 4 สี 4 สไตล์ ซึ่งโดดเด่นด้วยดีไซน์สปอร์ตโฉบเฉี่ยว โดยแต่ละรุ่นนอกจากจะมาพร้อมตัวเรือนและสายแบบสเตนเลสสตีลแล้ว ยังมีสายซิลิโคนแบบ Accordion
เมื่อเอ่ยถึงแบรนด์เรือนเวลาเจ้าของโลโก้นาฬิกาทรายติดปีกอย่าง Longines เชื่อว่าสิ่งแรกที่ผู้หลงใหลในเสน่ห์ของเครื่องบอกเวลานึกถึง คงหนีไม่พ้นเรื่องราวเล่าขานถึงการเป็นอุปกรณ์บอกเวลาสุดแม่นยำที่เหล่านักบุกเบิกในตำนานระดับโลกต่างเลือกสวมใส่ระหว่างทำภารกิจ และหนึ่งในทริปสุดระห่ำของนักบุกเบิกที่ถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้ไฟแห่งความกล้าในการท้าทายอะไรใหม่ ๆ นั้นลุกโชนขึ้นในใจใครหลายคน ต้องย้อนไปในวันที่ 5 ตุลาคม 1931 กับภารกิจของ Clyde Pangborn และ Hugh Herndon, Jr. สองนักบินชาวอเมริกันผู้กล้าหาญ ซึ่งได้พิชิตภารกิจการบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกจากญี่ปุ่นไปยังสหรัฐอเมริกาด้วยระยะทาง 5,500 ไมล์ โดยไม่หยุดพักได้เป็นครั้งแรกของโลก โดยเบื้องหลังความสำเร็จของการผจญภัยครั้งนั้น นอกจากความบ้า และความมุ่งมั่นของ Clyde Pangborn และ Hugh Herndon, Jr. ยังมีอีกหนึ่งไอเท็มสำคัญอย่างนาฬิกา Longines ที่ช่วยบอกเวลาให้กับสองนักบินในไฟลท์ประวัติศาสต์ได้อย่างเที่ยงตรงแม่นยำ ทำให้เมื่อจบภารกิจนี้ทาง Hugh Herndon, Jr. ถึงกับเขียนจดหมายแสดงความขอบคุณไปยัง Wittnauer ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายนาฬิกา Longines ในขณะนั้น ว่านาฬิกาของ Longines นั้นทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมระหว่างที่พวกเขากำลังบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก แม้ในช่วงสุดท้ายของการบินที่ทั้งคู่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศอันหนาวจัดจนน้ำดื่มในกระติกของพวกเขากลายเป็นน้ำแข็ง แต่ถึงกระนั้นนาฬิกา Longines ก็ยังคงทำหน้าที่บอกเวลาอย่างแม่นยำได้ไร้ที่ติ พร้อมทิ้งท้ายใจความในจดหมายว่า “คุณคงรู้ดีว่าเวลาที่ถูกต้องแม่นยำคือหัวใจสำคัญของการบินที่ดี” ตอกย้ำให้เห็นบทพิสูจน์ถึงความปลอดภัยและแม่นยำที่เหล่านักบุกเบิกยุคก่อนต่างให้ความไว้วางใจ จวบจนถึงปัจจุบันเรื่องราวของวีรกรรมจากเหล่าคนกล้ามากมาย ได้กลายเป็นมรดกตกทอดอันยาวนานและแสนล้ำค่าของแบรนด์
เชื่อว่าในตอนนี้หากจะให้พูดถึงเรือนเวลาขั้นสุดของ Seiko หลายคนคงยกให้ GS หรือ Grand Seiko ยืนหนึ่งในมวลหมู่ Seiko ทั้งหลาย แต่สำหรับแฟนพันธุ์แท้ Seiko คงรู้กันดีว่าในอดีตยังมีอีกหนึ่งรุ่นตำนานอย่าง King Seiko ที่ตีคู่ขับเคี่ยวโชว์ศักยภาพความเป็นเรือนเวลาชั้นยอดมาโดยตลอด เรื่องของเรื่องต้องย้อนไปในช่วงทศวรรษที่ 1960 ซึ่งถือเป็นทองยุคแห่งความก้าวหน้าของ Seiko ทั้งในด้านการพัฒนาเชิงเทคนิคกลไกและความคิดสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ จนได้มีการพัฒนา Grand Seiko รุ่นแรกออกมาในปี 1960 ก่อนที่จะส่ง King Seiko ตามมาในปี 1961 ซึ่งเรือนเวลาทั้ง 2 รุ่น ที่มาจาก 2 แหล่งผลิต (Grand Seiko ผลิตที่ Suwa Seikosha / King Seiko ผลิตที่ Daini Seikosha) ต่างก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันในการเป็นสุดยอดเรือนเวลาของ Seiko แม้ตอนนี้จะเหลือเพียง GS ที่ครองตำแหน่งแบรนด์เรือนเวลาเรือธงจาก Seiko แต่เสน่ห์ความเป็นนาฬิกาจักรกลที่ได้รับการออกแบบและขัดแต่งอย่างสวยงามประณีต
Shaken, Not Stirred คือวลีเด็ดที่ทำให้นึกถึงใครไม่ได้นอกจาก James Bond สายลับมาดเนี้ยบที่มีหมายเลข 007 เป็นโค้ดเนมประจำตัว ผู้ซึ่งมี Vesper Martini สูตรเฉพาะตัวที่ต้องปรุงแบบ ‘เขย่าแต่ไม่คน’ เป็นเครื่องดื่มประจำกาย แต่นอกเหนือจากมาร์ตินี่สูตรพิเศษ สิ่งสะท้อนตัวตนของจารชนเจ้าเสน่ห์ที่สาวกหนัง James Bond อย่างเรา ๆ เห็นเป็นภาพจำมาตลอด หากไม่นับสาวบอนด์สุดสวยที่มีให้หนุ่ม ๆ ได้ปลื้มในทุกภาค ก็คงหนีไม่พ้นสูทสั่งตัดอย่างดี, รถ Aston Martin คู่ใจ, แกดเจ็ตล้ำ ๆ จาก Q รวมไปถึงนาฬิกาข้อมือ ไอเทมสำคัญที่เพิ่มความภูมิฐานให้สายลับ 007 คนเก่งคนนี้ดูดีทุกกระเบียดนิ้ว ซึ่งเราเชื่อเหลือเกินว่า OMEGA Seamaster เรือนงาม ซึ่ง James Bond คนที่ 5 ที่รับบทโดย Pierce Brosnan สวมใส่ในการถ่ายทำตอน GoldenEye น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้หลงใหลในเรือนเวลาทั่วโลกต่างหันมาจับจ้อง และอยากที่จะครอบครองไอเทมประจำข้อมือของสายลับขวัญใจมหาชนคนนี้ และเนื่องในโอกาสที่
หลังจากที่ ALBA แบรนด์นาฬิกาดีไซน์สวย ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องราคาที่สามารถจับต้องได้ภายใต้คุณภาพการผลิตที่การันตีโดยแบรนด์เรือนเวลาชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นอย่าง SEIKO ได้เปิดตัวคอนเซ็ปต์ใหม่ “The Reflection Of Japan” ซึ่งโดดเด่นด้วยงานดีไซน์ที่สะท้อนถึงคุณภาพความเป็น Japan Productโดยเน้นไปที่รูปลักษณ์ของเรือนเวลา Sport Style ที่หนุ่ม ๆ อย่างเราสามารถหยิบมาสวมใส่ได้ในทุกโอกาส จนทำให้ชื่อของ ALBA นั้นกลายที่นิยมในตลาดนาฬิกาแฟชั่นสำหรับผู้ชายไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ล่าสุดเพื่อตอกย้ำกระแสอันร้อนแรง ทาง ALBA ได้เผยโฉม “The Lumibrite” คอลเลกชันใหม่สุดพิเศษ ซึ่งเป็น “Thailand Creation” ที่ออกแบบและจัดจำหน่ายเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น!! สำหรับตัวเรือนของแต่ละรุ่นในคอลเลกชันนี้ยังคงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณความสปอร์ตดุดันกับ IP Black และยังแฝงความแตกต่างด้วยการสะท้อนสไตล์ของผู้สวมใส่ออกมาด้วยความหลากหลายของสีสัน ซึ่งถูกนำเสนอผ่านผ่านลูมิไบร์ทและขอบบาเซลได้อย่างลงตัว นอกจากตัวเรือนและสายทรงสปอร์ตสเตนเลสสตีลแบบรมดำ (Black IP Coating) สุดดุดัน คอลเลกชันนี้ยังมีสายนาโต้แบบพรีเมียมดีไซน์พิเศษเฉพาะรุ่นแถมมาให้อีก 1 ชุด เหมาะมากที่จะเป็นเรือนเวลาคู่ใจ สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์ได้กับทุกลุค ไม่ว่าจะมาดเท่ภูมิฐาน หรือแนวสตรีทสไตล์เท่สบายในวันลุย ๆ รับรองว่า ALBA “The Lumibrite” เอาอยู่แน่นอน และเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้
เชื่อว่าสาวกเรือนเวลาทั้งหลายที่ชอบแสวงหาความแปลกใหม่ไม่จำเจ คงคุ้นเคยกับชื่อของ ALBA แบรนด์นาฬิกาดีไซน์สวย ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องราคาที่สามารถจับต้องได้ภายใต้คุณภาพการผลิตที่การันตีโดย SEIKO แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง ALBA นั้นถือเป็นแบรนด์น้อง ที่รวมพลังร่วมบุกตลาดในไทย ยืนหยัดเคียงข้างแบรนด์พี่ใหญ่อย่าง SEIKO มายาวนาน ล่าสุดในปี 2021 นี้ ทาง ALBA ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมคอนเซ็ปต์ “The Reflection Of Japan” ด้วยงานดีไซน์ที่สะท้อนถึงคุณภาพความเป็น Japan Product โดยเน้นไปที่รูปลักษณ์ของเรือนเวลา Sport Style ที่หนุ่ม ๆ อย่างเราสามารถหยิบมาสวมใส่ได้ในทุกโอกาส และในวันนี้เราได้คัดเลือกเรือนเวลา 5 โมเดลใหม่ที่น่าสนใจจาก ALBA มาอวดโฉมความเท่ ให้ชาว UNLOCKMEN ได้สัมผัส และทำความรู้จักกับจุดเด่นของทั้ง 5 เรือนนี้ ที่พร้อมประทับลงบนข้อมือในฐานะไอเทมบอกเวลาคู่ใจซึ่งช่วยอัพความเท่ให้กับคุณได้ในทุกสถานการณ์ เริ่มต้นที่เรือนแรกซึ่งต้องบอกเลยว่าใครเห็นเป็นต้องสะดุดตา กับความหรูหราที่ผสานความสปอร์ตได้อย่างลงตัวกับ ALBA Automatic รุ่น AL4185X ตัวท็อปแห่งเรือนเวลาดีไซน์สปอร์ตขับเคลื่อนด้วยระบบออโตเมติก มาพร้อมหน้าปัดซันเรย์สีน้ำเงิน มีหลักชั่วโมงแบบพรายน้ำเหลือบทอง
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘SEIKO (ไซโก)’ คำภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า “นาที” “ความดีเยี่ยม” และ “ความสำเร็จ” เป็นคำคุ้นหูที่หลายคนรู้จักในฐานะชื่อแบรนด์นาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่นที่อยู่คู่กับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย นอกจากชื่อเสียงที่ชาวไทยคุ้นเคย ในระดับโลก SEIKO ยังถือเป็นแบรนด์ที่สร้างมาตรฐานใหม่บนหน้าประวัติศาสตร์วงการนาฬิกามาแล้วมากมาย ทั้งในฐานะแบรนด์นาฬิกาข้อมือแบรนด์แรกของญี่ปุ่นที่ริเริ่มผลิตนาฬิกาควอตซ์จนทำให้เกิดยุค Quartz Crisis และเป็นแบรนด์ที่ผลิตนาฬิกาดำน้ำไทเทเนียมรุ่นแรกของโลก รวมถึงนวัตกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย จากประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 140 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ SEIKO ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1881 จนกลายเป็นความเชี่ยวชาญที่ผลักดันให้ SEIKO ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทนาฬิกาชั้นนำในญี่ปุ่น เป็น House of Watchmaking ที่ผลิตทุกชิ้นส่วนของนาฬิกาด้วยโดยช่างผู้ชำนาญการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของนาฬิกา ภายใต้คติ Keep Going Forward ซึ่งหมายถึงการไม่หยุดพัฒนาและก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ ที่ SEIKO ยึดถือมาจนถึงปัจจุบัน และในปี 2021 นี้ ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสพิเศษของแบรนด์คุณภาพจากญี่ปุ่นที่เดินทางมาครบรอบ 140 ปีเท่านั้น ซึ่งพวกเราชาวไทยที่เป็นสาวก SEIKO มาตั้งแต่ยุคบุกเบิกน่าจะรู้กันดีว่าช่วงเวลานี้ถือเป็น “ช่วงเวลาพิเศษ” ของไซโก
ด้วยประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 145 ปี ทำให้ Audemars Piguet (โอเดอมาร์ ปิเกต์) แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ถือเป็นแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องบอกเวลาชั้นสูงที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งยังคงดำเนินธุรกิจสืบทอดกันในครอบครัวผู้ก่อตั้งมาจนปัจจุบัน (ตระกูลโอเดอมาร์และตระกูลปิเกต์) นับตั้งแต่ปี 1875 Audemars Piguet ยังคงผลิตเครื่องบอกเวลาที่เมือง Le Brassus (เลอ บราซูส์) โดยสืบสานฝีมือการทำงานของช่างผู้เชี่ยวชาญจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมทั้งพัฒนาทักษะและเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อขยายขอบเขตความชำนาญที่มีอยู่เดิม พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถอันนำไปสู่การก้าวข้ามขีดจำกัดที่เคยมีอย่างต่อเนื่อง ในช่วงปี 1970 โอเดอมาร์ ปิเกต์เริ่มต้นการเพิ่มสีสันบนหน้าปัดนาฬิกาด้วยอัญมณี ไม่ว่าจะเป็นโทนสีน้ำตาล สีเขียว และสีน้ำเงิน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเจเนอเรชันใหม่ที่ทั้งโดดเด่นและเปี่ยมชีวิตชีวาในช่วงปี 1990 และนับแต่นั้นเป็นต้นมาโอเดอมาร์ ปิเกต์จึงพัฒนาหน้าปัดสีสันต่าง ๆ มาจนถึงปัจจุบัน ล่าสุด Audemars Piguet แบรนด์เครื่องบอกเวลาชั้นสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์เผยโฉมเหล่าโมเดลใหม่ของนาฬิกาข้อมือจากคอลเลคชั่น Royal Oak ที่มาพร้อมหน้าปัดใหม่ในโทนสีเขียว โดยในครั้งนี้ยังได้นำเสนอ Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin ที่ถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยแพลทินัม 950 ซึ่งมาพร้อมกับหน้าปัดสีเขียวสโมคกรีนในเทคนิค Sunburst และพิเศษยิ่งขึ้นกับรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นอย่าง
แม้ท้องฟ้า และผืนน้ำไม่อาจมาบรรจบ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือสองสิ่งที่อยู่เคียงคู่กันตลอดมา เปรียบเสมือนนาฬิกานักบิน และ นาฬิกาดำน้ำ เรือนเวลายอดนิยมที่เรามักจะพบเห็นอยู่บนข้อมือของเหล่าสุภาพบุรุษทั้งหลาย ซึ่งหนุ่ม ๆ ผู้หลงใหลในเสน่ห์ของเครื่องบอกเวลาแทบทุกคน เป็นต้องมีนาฬิกาทั้ง 2 ประเภทเก็บเอาไว้ในคอลเลกชัน เพื่อเป็นไอเทมสำหรับสวมใส่เพิ่มความมั่นใจให้กับ Everyday Look รวมไปถึงโอกาสพิเศษต่าง ๆ และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ภาพของท้องนภา และห้วงมหาสมุทรซึ่งยังคงอยู่เคียงคู่ ณ เส้นขอบฟ้า จะมีโอกาสมาประดับบนข้อมือของสาวกเรือนเวลาอีกครั้ง กับ Avigation BigEye และ Legend Diver Watch คู่หูเรือนเวลาตัวแทนแห่งแผ่นฟ้า และ ผืนน้ำจาก Longines (ลองจินส์) แบรนด์เก่าแก่ระดับโลก อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของนวัตกรรมเวลาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ยืนหยัดมายาวนานกว่า 189 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ริเริ่มผลิตนาฬิกาในปี 1832 ที่เมือง Saint-Imier โดยนาฬิกาข้อมือ The Longines Avigation BigEye และ The Longines Legend Diver Watch รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวออกมา บอกเลยว่าแต่ละเรือนนอกจากจะคงความคลาสสิก