การเลือกตั้งในประเทศกำลังใกล้เข้ามาทุกที ไทยเราห่างหายจากการเลือกตั้งไปเกือบ 5 ปี หลังจากรัฐประหารเมื่อปี 2557 ดังนั้นก่อนที่จะเข้าคูหากาเบอร์พรรคที่ตัวเองชื่นชอบ UNLOCKMEN จะพาไปดูเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศแถบทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างฟิลิปปินส์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจของการต่อสู้ทางการเมือง เรื่องราวที่ยาวนานและยืดเยื้อเริ่มต้นขึ้นเมื่อ เฟอร์ดินานด์ เอ็มมานูเอล มาร์กอส ได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 10 ของฟิลิปปินส์ ดำรงตำแหน่งเป็นเวลาเกือบ 21 ปี (1965-1986) เขาสร้างชื่อจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะความร้อนแรงและอุดมการณ์อันเต็มเปี่ยมในการต่อต้านจักรวรรดิญี่ปุ่น เมื่อเขาตัดสินใจเล่นการเมือง ชื่อเสียงตั้งแต่ช่วงสงครามโลกของเขารวมถึงนโยบายต่าง ๆ ของพรรคสามารถซื้อใจชาวรากหญ้าและชนชั้นกลางทำให้มาร์กอสชนะการเลือกตั้งในปี 1965 และดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ แรกเริ่มเดิมทีเหมือนทุกอย่างจะดำเดินไปได้ด้วยดี แต่แล้วกลับไม่เป็นอย่างที่ชาวฟิลิปปินส์คาดคิด เมื่อมาร์กอสดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาได้ปรับเปลี่ยนรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ต่าง ๆ สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองและกลุ่มพรรคพวก อีกทั้งนโยบายประชานิยมของเขาจะต้องยืมเงินมาจากต่างประเทศ ทำให้ประเทศมีหนี้สินจำนวนมาก เมื่อได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยที่สอง มาร์กอสได้ประกาศกฎอัยการศึกในปี 1972 รวบอำนาจทั้งหมดมาไว้ในมือ เปลี่ยนเป็นผู้นำเผด็จการที่ทำให้ทั้งนักข่าว สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ วุฒิสมาชิกถูกจำกัดเสรีภาพด้วยกฎอัยการศึกและถูกจับตาอยู่ตลอดเวลา สำนักข่าวที่เห็นต่างถูกปิดตัวลงโดยอ้างว่าถ้าสื่อมีเสรีภาพมากเกินไปจะทำให้อำนาจกระบวนการสร้างชาติไม่สามารถดำเนินไปได้ ไม่ว่าจะเป็นสภา ทหาร ไฟฟ้า น้ำมัน สื่อสิ่งพิมพ์ ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความดูแลของบริษัทเครือข่ายพรรคพวกของประธานาธิบดี เขายังวางแผนที่จะอยู่ในอำนาจยาว ๆ โดยในช่วงเวลาที่มาร์กอสดำรงตำแหน่ง ธนาคารโลกได้เปิดเผยว่าฟิลิปปินส์กลายเป็นประเทศที่มีหนี้สินมากที่สุดในเอเชียจากเดิมราว 2,670
สำหรับคอหนังแอคชั่นคงต้องเคยได้ดูผลงานการแสดงของพระเอกตลอดกาลอย่าง เลียม นีลสัน นักแสดงชาวไอร์แลนด์มากฝีมือ ที่ใครหลายคนคุ้นตากันดีกับบทคุณพ่อสุดโหดจากเรื่อง Taken ในครั้งนี้จะไม่ได้มาพูดถึงภาพยนตร์ที่เขาแสดง หรือประวัติของเลียม แต่จะพูดถึงประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นเมื่อพระเอกชื่อดังวัย 66 ปีให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Independent ของอังกฤษในระหว่างการโปรโมตภาพยนตร์เรื่อง Cold Pursuit ว่าช่วงสมัยวัยรุ่นเขาเคยมีความคิดอยากฆ่าชายผิวสี เขาเล่าถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว เพื่อนผู้หญิงที่ของเขาถูกข่มขืนอย่างทารุณ เรื่องเศร้าของเธอได้กระตุ้นความรู้สึกของเลียมเป็นอย่างมาก และเขาถามเธอว่ารู้จักชายที่ทำร้ายหรือเปล่า เธอตอบกลับมาว่าเป็นชายผิวสีที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เลียมเล่าต่อว่า หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เขาเริ่มออกไปเดินกลางถนนในช่วงกลางคืนพร้อมพกอาวุธติดตัวไปเกือบสัปดาห์ ด้วยความหวังที่ว่าจะเจอชายผิวสีนิสัยแย่เข้ามาหาเรื่อง เพื่อเขาจะได้มีเหตุผลเพียงพอที่จะฆ่าชายคนนั้นเพื่อเป็นการล้างแค้นให้กับเพื่อน แต่กลับกันเขาไม่ได้เล่าต่อว่าชายที่ข่มขืนเพื่อนของเขาได้รับโทษตามกฎหมายหรือไม่ หรือเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น เมื่อเลียมได้เปิดเผยความลับในช่วงวัยรุ่นที่ไม่เคยบอกให้ใครได้รู้มาก่อน เขากล่าวเพิ่มเติมว่าหลังจากนั้นเขาเติบโตมีวุฒิภาวะมากขึ้น เขารู้ว่าความคิดดังกล่าวเป็นสิ่งที่แย่มาก และเมื่อคิดย้อนกลับไปทีไรก็จะทำให้รู้สึกแย่กับตัวเองทุกครั้ง อย่างไรก็ตามผลที่ตามมาจากการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ทำให้เลียม นีลสัน ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งในเรื่องของการใช้ภาษาสัมภาษณ์ที่เผยให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่มีอคติทางเชื้อชาติ และค่อนข้างเหยียดผิว บทสัมภาษณ์ดังกล่าวสร้างคำถามต่าง ๆ ตามมามากมาย เช่น หากคนที่ข่มขืนเพื่อนของเลียมเป็นชายผิวขาว เขาจะพกอาวุธและออกไปเดินเตร่ในตอนกลางคืนเพื่อรอให้มีนักเลงมาหาเรื่องหรือไม่ หรือคำถามที่ว่าการฆ่าคนผิวสีคนอื่นจะช่วยล้างแค้นได้จริงหรือ และถ้าเลียมคิดว่าชายผิวสีคนไหนก็เหมือนกันหมดนั่นถือเป็นการเหยียดที่ร้ายแรง ถ้าหากฟังในบทสัมภาษณ์ดี ๆ ก็จะรู้ว่าเลียมเคยกล่าวถึงกรณีนี้ไว้แล้วว่าไม่ว่าจะเป็นชาวไอริชด้วยกัน หรือเป็นคนอังกฤษก็ตาม ไม่ว่าใครเขาก็จะพยายามรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของเพื่อนสาวด้วยวิธีการแบบโง่ ๆ ของเขา ซึ่งมันเป็นวิธีคิดที่เขารู้ตัวว่ามันล้าสมัยมาก
กลุ่มก่อการร้าย AL-SHABAAB กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงไปทั่วโลก UNLOCKMEN เองก็เพิ่งนำเสนอเรื่องราวของพวกเขาไปไม่นานนี้ (ตามอ่านได้ที่: “ความดุเดือดของกลุ่มก่อการร้าย AL-SHABAAB” พวกเขาคือใครและต้องการบอกอะไรกับโลก ?) และถ้าพูดถึงกลุ่มก่อการร้าย AL-SHABAAB แล้วก็คงต้องพูดถึง SAS สังกัดของนายทหารอังกฤษผู้บุกเดี่ยวเข้าไปสังหารผู้ก่อการร้ายและช่วยเหลือตัวประกันในโรงแรมดุสิต D2 ออกมาได้อย่างปลอดภัย อะไรทำให้ทหารของหน่วย SAS แข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ ? จุดเริ่มต้นของหน่วย SAS Special Air Service หรือ SAS เป็นหน่วยรบพิเศษทางอากาศแห่งกองทัพอังกฤษที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1941 และอยู่ถึงปี 1945 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีความสามารถโดดเด่นเหนือชั้นเทียบได้กับหน่วย Delta Force และ Navy Seal ที่โด่งดังของกองทัพสหรัฐฯ เดิมทีหน่วยกองทัพสุดโหดนี้ไม่ได้ใช้ชื่อว่า Special Air Service ตั้งแต่แรก แต่เพราะเหตุการณ์ฉุกเฉินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มักสร้างวีรบุรุษเสมอ ในช่วงเวลานั้นฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยประเทศอังกฤษต่อสู้กับฝ่ายอักษะที่นำโดยเยอรมนี และเมื่อกองทัพนาซีตัดสินใจบุกเข้าตะวันออกกลางเพื่อแย่งชิงพื้นที่ในอียิปต์ทำให้เกิดหน่วยรบบ้าดีเดือดอย่าง SAS ขึ้น เนื่องจากจำนวนคนในกองทัพสัมพันธมิตรในอียิปต์มีจำนวนน้อย กลุ่มคอมมานโดเล็ก ๆ
เหตุการณ์วางระเบิดและบุกกราดยิงที่โรงแรม Dusit D2 ในเมืองไนโรบี เมืองหลวงของประเทศเคนยากลายเป็นข่าวดังครึกโครมไปทั่วโลก หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว กลุ่มก่อการร้าย Al-Shabaab อ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โจมตีในครั้งนี้ Al-Shabaab เป็นใคร? และพวกเขาทำแบบนี้ทำไม? Al-Shabaab หรือกลุ่มอัล-ชาบับ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2006 เป็นกลุ่มก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรงที่เป็นผลผลิตจากความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง หลังจากโค่นล้มผู้นำเผด็จการซึ่งเป็นฐานอำนาจเดิม กลุ่มก่อการร้ายนี้มีฐานกำลังอยู่ในสหพันธ์สาธารณรัฐโซมาเลียบริเวณใกล้กับประเทศเคนยา หัวหน้ากลุ่มของ Al-Shabaab คือนาย Ahmad Umer วัย 47 ปี เขาคือชายที่ทางการสหรัฐฯ ต้องการตัวเป็นอย่างมากถึงกับตั้งค่าหัวให้ถึง 6 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยราว 190 ล้านบาท และเฝ้าจับตากลุ่มก่อการร้ายนี้เป็นพิเศษเนื่องจากกลุ่มก่อการร้าย Al-Shabaab นั้นมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายชื่อดังอย่างกลุ่ม Al-Qaeda แต่ภายหลังทั้งสองฝ่ายมีอุดมการณ์บางอย่างต่างกัน กลุ่มก่อการร้ายทั้งสองกลุ่มจึงแยกกันอย่างชัดเจน แม้จะเป็นกลุ่มก่อการร้ายชาวมุสลิมหัวรุนแรง แต่สมาชิกระดับสูงของกลุ่ม Al-Shabaab นั้นมีคนจากหลากหลายเชื้อชาติเข้าร่วมด้วย และคาดว่ามีสมาชิกราว 8,000-10,000 คน โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือตั้งรัฐบาลอิสลามเคร่งจารีตให้สำเร็จ กลุ่มก่อการร้ายที่มีสมาชิกเกือบหมื่นคนหารายได้และอาวุธสงครามมาจากไหน? เหล่านักวิเคราะห์คาดว่าที่มาของรายได้หลักคือการดีลกับเจ้าหน้าที่ท่าเรือขนส่งสินค้าหลายแห่งในแถบแหลมแอฟริกา ในปี 2011 สหประชาชาติเคยประเมินรายได้ของกลุ่มก่อการร้าย Al-Shabaab ว่าสร้างรายได้กว่า
แม้เป็นเรื่องยากจะยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหล่าพ่อค้ายานั้นมีอิทธิพลทั้งในธุรกิจบนดินและใต้ดิน แถมยังมีส่วนในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่บางครั้งกฎหมายก็ยากที่จะต้านทานอำนาจของเม็ดเงินที่เหล่าพ่อค้ายามี แต่ความราบรื่นก็ไม่ได้เป็นของทุกคนที่ทำอาชีพนี้ มีน้อยคนนักที่จะร่ำรวยมหาศาล จำนวนมากต้องล้มตายหรือจบชีวิตลงในคุก UNLOCKMEN จึงจะพาไปทำความรู้จักกับเหล่าพ่อค้ายาที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ว่าเขาได้เงินเหล่านั้นมาจากไหน และเอาเงินเหล่านั้นไปทำอะไรบ้าง 5. KHUN SA ทรัพย์สินราว 5 พันล้านเหรียญ ขุนส่า หรือ จางชีฟูที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ จันทร์ จางตระกูล ราชายาเฮโรอีนผู้ล่วงลับที่ครอบครองเขตพื้นที่แถบสามเหลี่ยมทองคำทางภาคเหนือของไทยและใช้เป็นฐานการผลิตยาเสพติด ได้รับการจัดอันดับให้เป็นพ่อค้ายาที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอันดับ 5 ด้วยเม็ดเงินที่ได้มาจากการค้าฝิ่น เฮโรอีน รวมถึงธุรกิจใต้ดินต่าง ๆ ขุนส่ามีอิทธิพลมากต่อระบบการเมืองของพม่าเพราะเขาคือผู้นำกองทัพเมิงไตที่ร่วมต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้กับชนกลุ่มน้อยชาวไทใหญ่ในประเทศพม่า จนกระทั่งลุกลามเป็นสงครามฝิ่น ค.ศ. 1967 ถึงแม้ว่าจะมีรายได้มากมายจากการค้ายา แต่ขุนส่าได้กล่าวถึงธุรกิจของตัวเองว่าที่ทำไปทั้งหมดเพราะต้องการจะปลดแอกตัวเองจากการกดขี่ของกองทัพพม่าตั้งแต่ปี 1947 และเฮโรอีนคือหนทางทำเงินที่รวดเร็วที่สุดเพื่อนำเงินทั้งหมดทุ่มไปกับการซื้ออาวุธสงครามเพื่อต่อสู้ 4. Jorge Luis Ochoa Vásquez ทรัพย์สินราว 6 พันล้านเหรียญ สามพี่น้องตระกูล Ochoa นำโดย Jorge Luis
เมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน แฟนคลับลูกหนังของทีมฟุตบอลปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงพอจะเห็นข่าวคราวที่ว่ามีนักเตะเยาวชนเด็กไทยจะได้เซ็นสัญญากับสังกัดแมนยู ฯ ผ่านตากันมาบ้าง รวมถึงเรื่องของฝีเท้าที่ไม่ธรรมดาทั้งที่ยังอายุน้อย กับลูกเตะฟรีคิกคิกอันโด่งดังของ Corbyn Murray ที่สื่อเทียบเคียงได้กับลูกเตะฟรีคิกของอดีตนักเตะชื่อดังอย่าง เดวิด แบคแฮม กันเลยทีเดียว คอร์บิ้น เมอร์เรย์ หรือ Corbyn Murray เด็กหนุ่มผู้โตมากับครอบครัวที่รักการเล่นฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ เพราะปู่เป็นนักฟุตบอลเก่า พ่อก็ชื่นชอบกีฬาชนิดนี้เป็นอย่างมาก Corbyn ก็เลยคลุกคลีอยู่กับฟุตบอลมาโดยตลอด และเมื่อเขาอายุ 8 ขวบ ก็ได้รับข้อเสนอจากสโมสรฟุตบอลของอังกฤษ และทำให้เขากลายเป็นนักเตะเยาชนลูกครึ่งอังกฤษ-ไทย อย่างที่รู้กันดีว่าสโมสรแมนยู ฯ นั้นมีการคัดเลือกนักเตะระดับเยาวชนที่มีความเข้มข้น แต่ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นทำให้ Corbyn สามารถติดทีมเยาวชนของสโมสรชื่อดังอย่าง Manchester United ไม่ได้มีเพียงแค่สโมสร Manchester United เท่านั้น แต่ยังมีอีก 4 สโมรสรที่พร้อมจะรับ Corbyn เข้าทีมอคาเดมี ทั้ง Liverpool ที่เป็นทีมฟุตบอลโปรดของ Corbyn นอกจากนี้ยังมีสโมสร Blackburn Rovers F.C. ,
สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการศิลปะหรือคนทั่วไป แวนโก๊ะนั้นเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปินชายผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะกว่า 2,100 ชิ้น และงานของเขาที่ขึ้นชื่อเรื่องราคาแพงและความดังอย่าง Sunflowers หรือ ภาพราตรีประดับดาว The Starry Night แต่กว่าที่เขาจะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะสุดยอดศิลปิน เขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหาโรคซึมเศร้า คำครหา ความขัดแย้งกับเพื่อน รักที่ไม่สมหวัง รวมถึงหูซ้ายที่หายไป ฟินเซนต์ วิลเลียม ฟัน โกะ (Vincent Willem van Gogh) หรือที่คนไทยเรียกเขาในชื่อ วินเซนต์ แวนโก๊ะ ศิลปินชื่อดังในช่วงลัทธิ Post-Impressionism ที่ศิลปินในลัทธินี้จะเน้นการใช้สีสันที่จัดจ้าน เส้นหนา เน้นรูปทรงเรขาคณิต และความเหนือจริง ซึ่งผลงานของแวนโก๊ะนั้นมีหลากหลายสไตล์ไม่ว่าจะเป็นภาพทิวทัศน์ ภาพนิ่ง ภาพเหมือน รวมถึงวาดภาพตัวเองด้วย แต่ผลงานทั้งหมดของเขานั้นจะมีจุดเด่นที่เหมือนกันคือความจัดจ้านของสี และลายเส้นของพู่กันที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ถึงปัจจุบันชื่อของแวนโก๊ะจะโด่งดัง แต่ช่วงเวลาที่ยังมีชีวิตของเขานั้นช่างน่าเศร้า แวนโก๊ะเกิดในครอบครัวที่มีฐานะดี แต่กลับเป็นเด็กที่เงียบขรึม พูดไม่เก่ง มีท่าทางเงอะงะ และมีปมด้อยเรื่องอารมณ์ที่อ่อนไหวง่าย แต่ถึงอย่างไรก็ตามจิตใจที่แท้จริงของเขานั้นอ่อนโยนและตรงไปตรงมา เขาเคยสร้างวีรกรรมตั้งแต่อายุ 18 ปี ทำงานอยู่ในร้านขายภาพที่ปารีส ซึ่งบริษัทนี้ชอบเอารูปภาพชั้นเลวมาหลอกขายคนที่ไม่มีความรู้เรื่องศิลปะในราคาสูง ด้วยความเป็นคนตรงไปตรงมานี้ทำให้ครั้งหนึ่งแวนโก๊ะเคยบอกกับลูกค้าว่าอย่าซื้อภาพ จนทำให้เขาถูกไล่ออกทันที หลังจากโดนไล่ออก
เดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เห็นทีมชาติม้ามืดที่พาตัวเองผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศกับฝรั่งเศสในศึก 2018 FIFA World Cup แม้ผลจะออกมาว่า Croatia ต้องพ่ายแพ้ไป แต่มันก็ยิ่งใหญ่พอจะทำให้คนทั้งประเทศยกย่องให้นักเตะชุดนี้เป็นฮีโร่ตัวจริงถึงขั้นขนานนามว่าเป็น “Golden Generation” ที่ประกอบด้วยนักเตะดี ๆ มากมาย โดยหนึ่งในนั้นก็คือ Luka Modric กัปตันทีมชาติ Croatia นักเตะ midfielder จาก Real Madrid ที่สามารถคว้ารางวัล Ballon d’Or ปีล่าสุด เบียด Messi และ Ronaldo ได้อย่างสวยงาม “Luka Modric เป็นนักเตะที่ครบเครื่องและแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่มีส่วนสำคัญทั้งกับทีมชาติและสโมสร การวิ่งเข้าใส่แบบถวายชีวิตไม่มีเหนื่อย ความสามารถในการทำประตู การขับเคลื่อนเกม และการสร้างกำลังใจให้กับเพื่อน ๆ เป็นสิ่งที่ทุกคนสังเกตเห็นได้จากตัวของเค้า” แต่ถ้าเราย้อนกลับไปดูลึก ๆ จะเห็นถึงความพยายามและความกระหายในการเล่นฟุตบอลของ Luka Modric ชายผู้เกิดมาในช่วงสงครามที่แย่ที่สุดของ Croatia ชายผู้เกือบจะสูญเสียทุกอย่างไป มีเพียงเศษกระดาษที่ปั้นเป็นลูกบอลกลม ๆ คอยประคองให้ตัวเค้าก้าวผ่านความเลวร้ายเหล่านั้น และเป็นแรงผลักดันให้เค้ารักฟุตบอลอย่างสุดหัวใจ Lucky Luka คือชื่อเล่นของนักเตะกองกลางที่เรารู้จักกันดีในชื่อ LUKA
Tom Hardy นักแสดงหนุ่มสัญชาติอังกฤษผู้มีผลงานการแสดงนับไม่ถ้วน อย่างภาพยนตร์เรื่อง Mad Max: Fury Road และ Venom ที่นอกจากจะฝากผลงานอันยอดเยี่ยมไว้ ล่าสุดยังได้เข้ารับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น CBE หรือ Commander of the Most Excellent Order of the British Empire จากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ในตำแหน่งของบุคคลผู้สร้างชื่อระดับภูมิภาค แต่กว่าจะมาถึงวันนี้เขาคือชายผู้เคยติดสุราเรื้อรังและเล่นยามาตั้งแต่อายุ 11 ปี และนี่คือเรื่องราวที่จะหักล้างความคิดของหลายคนที่เข้าใจว่า เด็กที่เริ่มต้นไม่ดี อนาคตก็ต้องไม่ดีตามไปด้วย ก่อนที่จะกลายเป็นบุคคลผู้สร้างชื่อเสียงให้กับอังกฤษ ชีวิตของทอม ฮาร์ดี้ ผ่านอะไรเจ็บ ๆ มาเยอะกว่าที่คิด เด็กหนุ่มชาวอังกฤษที่แม่เป็นศิลปินวาดภาพและพ่อเป็นนักเขียนชื่อดัง ทุกอย่างดูเพียบพร้อมจนฮาร์ดี้อายุ 11 ปี เขาเริ่มยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดด้วยการดมกาว เมื่ออายุ 13 ก็เริ่ม Turn Pro เข้าสู่สายดาร์กแบบเต็มตัวด้วยการหันมาเสพโคเคนและติดเหล้า ซ้ำยังโดนไล่ออกจากโรงเรียนประจำมีชื่อเสียงของอังกฤษอย่าง Reed’s School ตอนอายุ 16 ปี เพราะขโมยของ ซึ่ง