ลืมตาตื่นขึ้นมาเผชิญชีวิตท่ามกลางอุณหภูมิ 30 กว่าองศาฯ แต่รู้สึกร้อนราวกับว่า 40 กว่าองศาฯ อีกหนึ่งวัน แสงอาทิตย์คือชีวิต แต่อีกทางหนึ่งเราก็อดจินตนาการไม่ได้ว่าหากแสงอาทิตย์แปรพักตร์ กลายเป็นปรปักษ์ต่อลมหายใจของมนุษย์ โลกใบนี้จะเป็นอย่างไร? Into the Night คือซีรีส์ระทึกขวัญ เมื่อแสงอาทิตย์ไม่ได้เป็นความอบอุ่นและสัญลักษณ์แห่งชีวิตอีกต่อไป แต่รุ่งอรุณกลับนำพาความตายมาเยือนโลกมนุษย์ ใครที่สัมผัสแสงแดดมีทางเลือกเดียวคือหมดลมหายใจ และผู้ที่อยากมีชีวิตรอดให้ได้ จึงต้องพาตัวเองมุ่งหน้าสู่ความมืดมิดแห่งคืนค่ำเท่านั้น ไม่เวิ้นเว่อวุ่นวาย เพราะโลกแตกสลาย ความหมายมีแค่การเอาตัวรอดเท่านั้น เราคงไม่ปฏิเสธว่าหนังโลกแตก มนุษย์ต้องเอาตัวรอดให้ได้ หนีตายบนพาหนะอะไรสักอย่างไม่ใช่พล็อตใหม่ และชวนให้สงสัยว่ามันยังดึงดูดใจคนดูอย่างเราได้จริงไหม? แต่ Into the Night พาเราหลุดเข้าไปในหนังโลกแตกระทึกขวัญเอาตัวรอดในรสชาติแปลกใหม่ ที่ขอกระซิบว่าถ้ายังไม่ได้เริ่มดูก็อย่าเพิ่งตัดสินหนังเรื่องนี้ หนังโลกแตกปกติ มักให้ความสำคัญกับความสมจริง จนฉายภาพปูพื้นให้เห็นว่า “เพราะอะไรโลกถึงเกิดหายนะขึ้น?” จนต้องมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ปูภาพ หรือฉากห้องแล็บนักวิจัยที่แสดงข้อมูลจำนวนมากน่าเชื่อถือ แต่ Into the Night กลับเปิดเรื่องเรียบง่าย กลุ่มคนเพียงหยิบมือหนึ่งที่กำลังจะขึ้นเครื่องบิน และถูกทหารนายหนึ่ง (ที่บังเอิญรู้เรื่องแสงอาทิตย์หายนะ) ปล้นเพื่อพาเครื่องบินมุ่งตรงสู่กลางคืน หนีแสงอาทิตย์ไปทางทิศตะวันตกของโลก บนเครื่องบังเอิญมีผู้มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ที่พออธิบายเหตุผลคร่าว ๆ อยู่บ้าง และที่เหลือคือการเสิร์ชหาเอาจากอินเทอร์เน็ต ในทางหนึ่งการปูเรื่องจากมุมมองตัวละครแบบนี้ทำให้เรารู้สึกสมจริงยิ่งขึ้น เพราะหากโลกใบนี้ต้องแตกแหลกสลายพังพินาศลงจริง