นอกจากปริมาณคาเฟอีนของกาแฟแก้วอุ่นที่ผู้ชายเราโหยหามันทุกเช้า ก็มีเบียร์นี่ละที่อยู่ในความปรารถนาและอยากจะยกมันซดแทบทุกคืน แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะหอบร่างกายกำยำไปยังร้านนั่งชิลเพื่อลิ้มรสเบียร์แก้วโปรดได้ดั่งใจ กว่าจะเคลียร์งานเสร็จ กว่าจะฝ่าสมรภูมิรถติดจนถึงบ้าน ก็ทำเอาหอบเหี่ยวหมดแรงและไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะส่งกายหยาบลงไปซื้อเบียร์เย็น ๆ มากินสักขวด แล้วถ้ามีนวัตกรรมที่ช่วยให้เราทำเบียร์ดื่มเองได้ที่บ้าน พวกคุณว่ามันจะเจ๋งขนาดไหนกัน? ต้องบอกว่าในยุคนี้ทิศทางของอุตสาหกรรมการผลิตเบียร์ก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงให้เห็น เบียร์คราฟต์และเบียร์ 0% แอลกอฮอล์ที่เป็นทางเลือกใหม่ของหนุ่มนักดื่มทวีความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับรสชาติและส่วนผสมของเบียร์ ไม่แพ้ความเมามายและอาการขาดสติสัมปชัญญะที่เป็นจุดขายของน้ำเมาชนิดนี้ แม้ความคิดที่จะสร้างเครื่องผลิตเบียร์จะไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่ LG ถือเป็นเจ้าแรกของโลกที่นำนวัตกรรมการผลิตเบียร์แบบแคปซูลมาใช้ เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์การเติบโตของธุรกิจเบียร์คราฟต์ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ LG HOMEBREW นวัตกรรมเครื่องผลิตเบียร์แบบแคปซูล LG บริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติเกาหลี และ MUNTON บริษัทมอลต์ชื่อดังแห่งเกาะอังกฤษ ร่วมกันพัฒนา LG HOMEBREW เครื่องทำเบียร์แบบแคปซูลเครื่องแรกของโลกที่ดีไซน์ออกมาคล้าย ๆ กับเครื่อง Nespresso แต่มาพร้อมแคปซูลเบียร์ที่นำมอลต์, ยีสต์, น้ำมันฮอปส์ และรสชาติมาผสมผสานกันจนเกิดเป็นแคปซูล 5 รส ประกอบด้วย American IPA, American Pale Ale, English Stout, Belgian-style Witbier และ Czech
หลังจากที่ Canon และ Nikon ได้ปล่อยกล้อง EOS R และ Z7 ออกมาเมื่อไม่นานนี้ ฝั่ง SONY เองก็ไม่ยอมนิ่งเฉย เตรียมเปิดตัวทายาทรุ่นต่อไปของตระกูล A7R อย่าง ‘SONY A7R IV’ เพื่อเข้าร่วมศึกครั้งนี้ด้วย แม้จะไม่ได้ครองส่วนแบ่งการตลาดของกล้อง mirrorless มากเท่าบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่คงต้องบอกว่าบริษัทแดนปลาดิบรายนี้ก็ไม่เคยย่อท้อเลยสักนิด เร่งขับเคลื่อนและพัฒนานวัตกรรมภาพถ่ายให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ SONY A7R IV ตัวนี้คือบทพิสูจน์ความสำเร็จของกล้อง mirrorless ที่มีศักยภาพสูงสุดแห่งยุค ความละเอียด 42.4 ล้านพิกเซลของรุ่นพี่ A7R III ตัวก่อนถูกอัปเกรดให้ทรงประสิทธิภาพกว่าเดิม ด้วยเซนเซอร์ BSI CMOS ขนาด 35 มิลลิเมตร ที่ความละเอียดมากถึง 61 ล้านพิกเซล ล้ำหน้าไปอีกขั้นด้วย Dynamic Range ที่ 15 Stop ช่วยให้ถ่ายภาพได้อย่างอิสระไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแสงแบบใดก็ตาม เหมาะสำหรับหนุ่ม ๆ ผู้หลงรักภาพถ่ายแบบ landscape
วงการกล้อง mirrorless ต้องผงะอีกครั้ง! เมื่อ Sigma Corporation บริษัทผู้ผลิตเลนส์กล้องและอุปกรณ์ถ่ายภาพชื่อดังแห่งแดนปลาดิบ ประกาศเปิดตัว SIGMA FP (Fortissimo Pianissimo) กล้อง mirrorless full frame ตัวแรกที่เคลมมาว่าขนาดเล็กและน้ำหนักเบาที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ แม้ก่อนหน้านี้ Sigma จะพยายามผลิตกล้องดิจิทัลหลายรุ่นออกมาสู้รบกับหลากแบรนด์ยักษ์ใหญ่ในตลาด แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับความนิยมมากเท่าการผลิตเลนส์ แต่ครั้งนี้บอกได้เลยว่าไม่เหมือนกับครั้งก่อน ๆ แน่นอน เพราะ SIGMA FP ตัวนี้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แวดวง mirrorless แบบที่ใครหลายคนคาดไม่ถึง SIGMA FP ได้แรงบันดาลใจมาจากคอนเซ็ปต์ “pocketable full-frame” จึงออกแบบกล้องให้กะทัดรัดและพกพาสะดวก ด้วยขนาด 4.43 x 2.75 x 1.78 นิ้ว และน้ำหนักเพียง 13 ออนซ์ หรือประมาณ 370 กรัมเท่านั้น แม้กล้องจะมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา แต่โครงสร้างก็แข็งแรงทนทานไม่น้อย เพราะได้อลูมิเนียมหล่อผสมอัลลอยมาดีไซน์ตัวบอดี้รอบนอก เสริมให้กล้องมีจุดแข็งมากกว่า
หากหนุ่ม ๆ เป็นหนึ่งในสาวกเกมบอยผู้กำลังคิดถึงความทรงจำเก่า ๆ และประสบการณ์เกมสไตล์เรโทร เราเชื่อว่าคุณจะต้องหลงรัก ‘CLOCKWORK GAMESHELL’ เกมคอนโซลขนาดพกพาเครื่องนี้อย่างแน่นอน แม้จะไม่ใช่เครื่องเล่นเกมพกพาชิ้นแรกของโลกที่วางขายในตลาด และแม้มันจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเกมบอยโดยตรง แต่ความขลังของเกมบอยนั้นก็ป็นแรงบันดาลใจให้อุปกรณ์ไฮเทคมากมายในปัจจุบัน เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่ CLOCKWORK หยิบเอาโครงสร้างเกมบอยในตำนาน มาสร้างสรรค์คอนโซลพกพาตัวใหม่ที่สอดแทรกเทคโนโลยีสุดล้ำและอัปเกรดสเปกให้เทพกว่ารุ่นก่อน ๆ หลายเท่า รูปแบบงานดีไซน์ภายนอกของ CLOCKWORK GAMESHELL นั้นแทบไม่ต่างจากรุ่นก่อนมากนัก หากโดดเด่นด้วยชุด DIY แบบแยกส่วนที่หนุ่ม ๆ สามารถประกอบเกมเองได้ที่บ้าน ความพิเศษคือนี่ถือเป็นเกมโมดูลตัวแรกของโลกที่ใช้ระบบปฏิบัติการ GNU / Linux หรือซอฟต์แวร์แบบ open source ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมสูงสุดในตอนนี้ ช่วยให้เครื่องประมวลผลได้อย่างทรงพลังและทำงานลื่นไหลกว่าเดิม เกมคอนโซลตัวนี้สร้างขึ้นจากเมนบอร์ด ClockworkPi เวอร์ชัน 3.1 ขับเคลื่อนด้วย Quad-core Cortex-A7 และ Mali GPU พัฒนาให้มี CPU, PMU chip, wi-fi และ bluetooth ในตัว ทั้งยังเลียนแบบระบบเกมเพลย์ของ Atari,
หลังจากปล่อยให้หนุ่ม ๆ ทนรอกล้องรุ่นใหม่จากซีรีส์ POWERSHOT G อยู่นาน CANON ก็ประกาศเปิดตัวกล้องคอมแพกต์รุ่นล่าสุด ‘POWERSHOT G7 X Mark III’ อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้ ตอกย้ำชื่อเสียงผู้ผลิตกล้องคอมแพกต์ชั้นนำของโลกด้วยฟีเจอร์สุดเจ๋ง Live Video Streaming ให้ไลฟ์ลงในแพลตฟอร์มของ Youtube แถมยังมีโหมดถ่ายวิดีโอแนวตั้ง เอื้อประโยชน์ต่อการสร้างคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียโดยตรง เมื่อเทียบกับตัวก่อนคอมแพกต์รุ่นนี้ถือว่ามีขนาดกะทัดรัดกว่า ทั้งยังเพิ่มพอร์ตเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรและไมโครโฟนสเตอริโอในตัวที่รุ่นก่อนไม่มี มาพร้อมหน้าจอ arRear touchscreen 3 นิ้ว หมุนจอภาพได้มากถึง 180 องศา ทำให้หันกล้องมาถ่ายเซลฟีได้สบาย ๆ ยังมีระบบป้องกันการสั่นไหวในตัวและรองรับการบันทึกวิดีโอความคมชัดระดับ 4K Ultra High Definition ที่ 30 เฟรมต่อวินาที โดยไม่มีการตัดขอบรูป แถมยังถ่าย full HD ได้ที่ 120 เฟรมต่อวินาทีอีกด้วย POWERSHOT
ANKER บริษัทผู้ผลิตพาวเวอร์แบงค์ชื่อดังเปิดตัว ‘NEBULA CAPSULE II MINI’ โพรเจกเตอร์ขนาดพกพาที่ฉายภาพความคมชัดระดับ HD ที่ความละเอียด 720 พิกเซล มาพร้อมค่าความสว่างสูงสุด 200 ANSI lumens และระบบเลเซอร์โฟกัสภาพอัตโนมัติ ช่วยให้หนุ่ม ๆ รับชมวิดีโอได้อย่างคมชัดและแม่นยำ แถมหน้าจอยังขยายแนวทแยงมุมได้มากถึง 100 นิ้ว เรียกได้ว่าสเปกเครื่องไม่ธรรมดาและน่าสนใจที่สุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้ ตัวบอดี้ดีไซน์ด้วยสีดำให้ความรู้สึกเรียบง่ายแต่ก็ดูหรูหราทันสมัย แต่ที่แตกต่างกับโพรเจกเตอร์รุ่นก่อน ๆ อย่างชัดเจน ต้องยกให้ขนาดของตัวอุปกรณ์ที่ดีไซน์มาแบบกะทัดรัด แถมมีน้ำหนักเพียงครึ่งปอนด์เท่านั้น ทำให้หนุ่ม ๆ สามารถติดตั้งโพรเจกเตอร์ตัวนี้บนเพดานได้อย่างสะดวกสบาย หรือจะวางที่พื้นแล้วฉายภาพขึ้นผนังก็ไม่ได้เกะกะรกหูรกตาแต่อย่างใด ไม่ต้องยุ่งยากกับการเชื่อมต่อลำโพงผ่านบลูทูธ เพราะเจ้า NEBULA CAPSULE II MINI มีลำโพง 8W speaker built-in ในตัว ช่วยเพิ่มระดับและคุณภาพเสียงแบบดีเยี่ยม ทั้งยังรองรับการควบคุมระยะไกลและการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Google Assistant ที่ทำให้การใช้งานของหนุ่ม ๆ ราบรื่นและสร้างอรรถรสในการรับชมภาพยนตร์แบบจุใจ แม้อุปกรณ์ตัวนี้จะมีพื้นที่เก็บข้อมูลไม่มาก และไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการดาวน์โหลดคอนเทนต์ใส่ตัวเครื่อง แต่หนุ่ม ๆ
ต้นไม้จริงปลูกยาก กระบองเพชรปลูกเองก็ยังตาย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ปลูกต้นไม้พันธ์ุอึดแค่ไหนก็ชอบชิงตายคามือ อย่าเพิ่งสิ้นหวังไปซื้อต้นไม้ปลอมมาวางแทน เพราะวันนี้ UNLOCKMEN เจอนวัตกรรมที่เป็นทางออกสำหรับผู้ชายเราทุกคนแล้ว ต้นไม้ที่ไม่ต้องไปขวนขวายให้ลำบากแต่ปลูกได้ด้วยปลายนิ้วเท่านั้น! Mygdal plantlight เป็นนวัตกรรมปลูกต้นไม้ในร่มสุดคราฟต์ของ Nui Studio ประเทศเยอรมนีที่เขาว่ากันว่าง่ายที่สุดในโลกขณะนี้ เพราะมันสามารถช่วยให้ต้นไม้โตได้ไม่มีตายต่อให้ไม่เจอแสงอาทิตย์จริง ๆ เลยก็ตาม เคล็ดลับอยู่ที่การนำเทคโนโลยีจาก SmartGrow มาผสานกับเครื่องแก้วเป่า ทำให้มันกลายเป็นที่เพาะต้นไม้ลุคมินิมัลสุดแกร่งเหมาะกับหนุ่ม Urban ผู้ใช้ชีวิตฉับไวทุกวินาทีหมดไปอย่างคุ้มค่าจากคุณสมบัติเหล่านี้ ไม่ต้องมารดน้ำ แม้จะบอกว่าต้นไม้ต้องการน้ำ แต่ Mygdal plantlight เขาออกแบบมาให้ไม่ต้องรดถี่ ๆ เพราะสร้างระบบนิเวศสมบูรณ์ให้แล้วในครอบแก้วนี้ด้วยการผนึกความชื้นไว้ในสภาพปิด น้ำจึงไม่ระเหยออกจากครอบแก้วแต่ควบแน่นอยู่ภายใน ทำให้พืชได้รับความชื้นเหมาะสม แต่ถ้าใครรู้สึกอยากจะเพิ่มน้ำเข้าตรงฐานด้านล่างที่เป็นอลูมิเนียมก็ออกมาแบบให้เปิดปิดได้อย่างง่ายดายตามต้องการ แดดไม่ต้องมีก็อยู่ได้ หลายคนอาจจะคิดว่าคุณสมบัติแรกค่อนข้างธรรมดา เพราะสวนขวดที่เราเห็นทุกวันนี้ก็ใช้หลักการเดียวกัน แต่ความเจ๋งของเจ้าตัวนี้มันอยู่ที่แสง คนที่ปลูกสวนขวดสักพักไม่ว่าจะสายมอร์ส สายเฟิร์นอะไรที่บรรจงจัดส่วนมากมักจะเริ่มเหลืองหรือตายเพราะไม่ขยันเอาไปโดนแสงอาทิตย์ให้สังเคราะห์แสง แต่สำหรับตัวนี้บอกได้เลยว่าไม่เพียงแค่โตแบบไม่ง้อแสงอาทิตย์ มันยังสามารถใช้ได้กับต้นไม้จริง ๆ ไม่เฉพาะหญ้าหรือเฟิร์นเขียวพุ่ม ๆ อย่างที่แล้วมา ต้นไม้ที่ใช้นวัตกรรม Mygdal plantlight เติบโตได้ด้วยช่วงคลื่นที่ใกล้เคียงระหว่างแสง LED และแสงอาทิตย์ เราสามารถควบคุมสีและความเข้มแสงได้ตามต้องการจากสมาร์ตโฟน ที่สำคัญแสง
เชื่อว่าหลายคนคงพอรู้จัก STRANGER THINGS ซีรีส์ย้อนยุคที่ฉายในเน็ตฟลิกซ์มาแล้วสองภาค ว่าด้วยเรื่องเด็กชายที่หายตัวไปอย่างลึกลับและมีเหตุประหลาดเกิดขึ้นในเมือง ถือเป็นซีรีส์ที่ผนวกความลี้ลับและการทดลองทางวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกันอย่างไร้ที่ติ แน่นอนว่าระดับความมันส์อยู่ในขั้นสุดและได้ใจผู้ชายหลายคนไปเต็ม ๆ หลังจากปล่อยให้แฟนซีรีส์ทนคิดถึงอยู่นาน STRANGER THINGS ภาค 3 ก็เตรียมลงจอเน็ตฟลิกซ์ในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ ต้องบอกว่าจุดเด่นของซีรีส์ที่เท่ไม่แพ้พล็อตเรื่อง คือสไตล์การแต่งตัวและกลิ่นอายของยุค 80s ที่ทำเอาหลากแบรนด์แฟชั่นต้องจับมาคอลแลปส์กับไอเทมต่าง ๆ ของตน แม้แต่โพลารอยด์เองก็ทนไม่ไหวต้องหยิบความไอคอนิกและดีเอ็นเอสุดเข้มข้นของซีรีส์เรื่องดัง มารังสรรค์เป็นกล้องโพลารอยด์รุ่นพิเศษ ‘ONESTEP 2: STRANGER THINGS EDITION’ ที่ดีไซน์ตัวกล้องให้กลับหัวล้อกันกับโลก upside down แถมออกแบบบอดี้ให้ดูเรียบง่าย ย้อนยุค และสื่อถึงความเป็น STRANGER THINGS ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ตัวบอดี้ดีไซน์ด้วยสีน้ำเงินและสอดแทรกความดุดันด้วยสีแดงดำ เสริมความคลาสสิกอีกทีด้วยฟิล์มโพลารอยด์ 600 แบบดั้งเดิม ทั้งยังผลิตฟิล์ม i-Type รุ่นพิเศษและออกแบบลวดลายบนขอบฟิล์มทั้ง 16 แบบตามสไตล์ยุค 80s บันทึกภาพแบบร่วมสมัยด้วยเลนส์ high-quality 2ft พร้อมจับภาพที่คมชัดและถ่ายภาพได้ดีในสภาพแสงที่น้อยสุดท้าทาย เปิดมุมมอง 41 องศาในแนวตั้งและมุมมองแบบ
ดูเหมือนว่าสงครามกล้องแอ็กชันครั้งนี้จะไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อีกต่อไป เมื่อ MOKACAM ไม่ปล่อยให้ GoPro Hero 7 Black และ DJI Osmo Action ทำคะแนนอยู่นานโดยประกาศเปิดตัวกล้องแอ็กชันรุ่นใหม่ ‘MOKACAM ALPHA 3’ ด้วย HDR ทั้งในโหมดถ่ายภาพและโหมดวิดีโอ เพื่อเขย่าบัลลังก์ความเจ๋งของสองเจ้าที่ทำไว้ งานนี้ GoPro และ Osmo ต้องมีหวั่นกันบ้าง MOKACAM ALPHA 3 ปลดล็อกขีดความสามารถด้วยโปรเซสเซอร์ 1.2GHz Ambarella H22 Quad-Core ที่ช่วยเพิ่มความลื่นไหลในการถ่าย โดดเด่นด้วยคุณภาพสีที่หลากหลาย ประมวลผลได้รวดเร็วกว่าเดิมถึง 5 เท่า แถมยังรักษาเสถียรภาพของ HDR เอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะบุกป่าฝ่าดงหรือเข้าร่วมการผจญภัยสุดบ้าคลั่ง หนุ่ม ๆ ก็สามารถบันทึกภาพได้อย่างราบรื่นในทุกสภาพแสง ด้วยเลนส์แก้ว 7 ชั้นและเลนส์ aspherical ช่วยลดความคลาดเคลื่อนและแก้ไขความผิดเพี้ยนได้สูงสุด 4K ที่ 30 เฟรมต่อวินาที ทั้งยังเพิ่มรายละเอียดของเฉดสีและความคมชัดระดับไฮเอนด์
เหล่าชายหนุ่มที่หลงรักในเสียงเพลงหลายคนที่มีชุดเครื่องเสียงอยู่ที่บ้านอาจจะคุ้นเคยหรือเคยได้ยินชื่อของ Klipsch แบรนด์เครื่องเสียงสัญชาติอเมริกากันมาบ้างแล้วกับชื่อเสียงของการผลิต Loudspeaker หรือการผลิตลำโพงที่ให้เสียงคุณภาพและแม่นยำ แต่สิ่งที่ทำให้ UNLOCKMEN สนใจใน Klipsch ครั้งนี้ไม่ใช่ลำโพงทว่าเป็นหูฟังไร้สายรุ่นแรกของแบรนด์ที่มีตัวชาร์จหน้าตาเหมือนกับไฟแช็คในตำนานอย่างกับแกะ เกิดคำถามขึ้นมากมายพอสมควรสำหรับการทำหูฟังไร้สายของ Klipsch เพราะเดิมค่ายนี้ผลิตลำโพง เวลาฟังจึงเว้นระยะห่างของการได้ยินระหว่างอุปกรณ์กับหู แต่เมื่อเปลี่ยนมาทำหูฟังไร้สายแบบ In-ear ที่เสียงจ่อติดกับหู ทำให้หลายคนจับตามองว่าระบบเสียงกับดีไซน์เคสชาร์จหูฟังจะออกมาเป็นแบบไหน เมื่อจะปล่อยหูฟังไร้สายตัวแรก Klipsch จึงต้องสร้างความประทับใจให้ผู้คนจดจำกันเสียหน่อยด้วยการหยิบไอเดียไฟแช็คสุดคูลที่ผู้ชายสูบบุหรี่ทุกคนจะต้องรู้จักอย่าง Zippo มาเป็นแรงบันดาลใจสร้างสรรค์เคสชาร์จสำหรับหูฟังไร้สายรุ่น T5 True Wireless เคาะหน้าตาของไฟแช็คสีเงินวาว แต่น้ำหนักเบากว่า มีรูปร่างสั้นกว่า และมีช่อง USB-C อยู่ที่ด้านหลัง ตัวเคสรูปร่างคล้าย Zippo ทำจากโลหะขัดเงา ที่หลายคนลงความเห็นว่าหมดปัญหาน่าหงุดหงิดเรื่องลายนิ้วมือ โดยทางแบรนด์กล่าวว่าที่ทำออกมาให้มีหน้าตาเหมือนกับไฟแช็คเป็นเพราะเคสชาร์จหูฟังไร้สายส่วนใหญ่มักมีรูปร่างเทอะทะและใหญ่เกินไปสำหรับใส่กระเป๋า การทำเคสให้มีรูปร่างเหมือนกับไฟแช็คจึงถือเป็นการให้ความสำคัญกับความสวยงามที่มองข้ามไม่ได้ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าหน้าตาของเคสจะคล้ายกับ Zippo แต่สิ่งหนึ่งที่ Klipsch ยังไม่สามารถประดิษฐ์ได้เหมือนกับไฟแช็คต้นแบบคือเสียงคลิ๊กในตำนานเมื่อเปิดบานพับของไฟแช็ค ซึ่งเขายินดียอมให้มันแตกต่างเพราะอยากให้คนให้ความสำคัญกับคุณภาพหูฟังที่ซ่อนอยู่ด้านในมากกว่า คุณภาพเสียงระดับมาตรฐานสมกับการเป็นแบรนด์ทำลำโพงชื่อดัง รวมถึงดีไซน์ของหูฟังสีดำด้านตัดขอบประทับตราสัญลักษณ์ด้วยสีส้มอิฐส่งให้ดีไซน์ดูเรียบหรู มาพร้อมกับคุณสมบัติกันน้ำและเหงื่อ ส่วนการใช้งานสามารถทำได้ผ่านแอปพลิเคชัน Klipsch Connect พร้อมระบบไมโครโฟน Clear Voice Chat เชื่อมต่อกับ Siri