ย้อนกลับไปยังช่วงสมัยสโมสร Barcelona ครองโลก ในยุคที่ Pep Guardiloa (2008-2012) นั่งบัญชาการคุมทีม ต้องยอมรับเลยว่าลูกทีมของพวกเขาในตอนนั้นที่นำโดย Xavi Hernandez, Andres Iniesta, Sergio Busquets, Gerard Pique, Carles Puyol รวมไปถึง Lionel Messi มีทีมเวิร์กที่ยอดเยี่ยม มีทักษะอันเหนือชั้นขั้นเวิร์ลคลาส เมื่อองค์ประกอบทุกอย่างมารวมตัวกัน ทำให้ทีมดังแห่งแคว้นกาตาลุญญาไร้เทียมทาน ยากที่ทีมใดจะมาต่อกรได้ แถมเจอแทคติกการต่อบอลแบบตีกี-ตากา เข้าไปอีก ยิ่งทำให้คู่ต่อสู้ถึงกับจนปัญญาที่จะเข้าไปแย่งบอล สไตล์การเล่นดังกล่าวมันไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในทีม Barcelona เท่านั้น แต่มันยังส่งอิทธิพลโดยตรงไปสู่ทีมชาติสเปน ในยุคการคุมทีมของ Vicente Del Bosque ในช่วงระหว่างที่คุมทีมกระทิงดุปี 2008-2016 แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงต้องยกให้ฟุตบอลโลกปี 2010 ที่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ พลาดท่าตั้งแต่นัดแรก สเปนทะลุเข้ามาสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย และถูกจับมารวมอยู่ในกลุ่ม H ร่วมกับทีมชาติชิลี, สวิตเซอร์แลนด์ และฮอนดูรัส ซึ่งหากดูจากรายชื่อทั้งหมดและพิจารณากันจริง ๆ ใคร ๆ ก็ต้องมองว่าทีมชาติสเปนจะต้องผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้อย่างสบายแน่นอน
กลายเป็นว่าทีมเต็งต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านก่อนใครในฟุตบอลโลก 2018 สำหรับขุนพลอินทรีเหล็กเยอรมัน หลังจากกิมจิติดคอพ่ายให้กับทีมชาติเกาหลีใต้ 2-0 หยุดเส้นทางไว้แค่รอบแบ่งกลุ่มโดยจบอันดับสุดท้าย แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทีมดีกรีแชมป์เก่าพลิกล็อกตกรอบแบ่งกลุ่ม เพราะเหตุการณ์เช่นนี้มีให้เห็นบ่อย ๆ โดยเฉพาะในฟุตบอลโลก 5 ครั้งหลัง ทีมแชมป์เก่าตกรอบแบ่งกลุ่มถึง 4 ครั้งด้วยกัน นี่จึงเปรียบเสมือนอาถรรพ์หนึ่งในฟุตบอลโลก วันนี้ UNLOCKMEN จึงขอพาไปย้อนรอยตั้งแต่ปี 2002 ว่ามีทีมแชมป์เก่าทีมไหนตกรอบแรกบ้าง และมันคืออาถรรพ์จริง ๆ หรือเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่ ทีมชาติฝรั่งเศส – ฟุตบอลโลก 2002 หลังจากคว้าแชมป์โลกสมัยแรกได้สำเร็จเมื่อฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ 4 ปีต่อมาฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วม ทีมตราไก่ฝรั่งเศสกลับมาอีกครั้งพร้อมขุมกำลังนักเตะระดับโลกเต็มทีม สื่อหลายแห่งยกให้เป็นถึงเต็ง 2 เป็นรองแค่ทีมชาติบราซิลเท่านั้น แต่แค่นัดเปิดสนามเรื่องช็อกโลกก็เกิดขึ้น เมื่อทีมแชมป์เก่าพ่ายแพ้ต่อทีมชาติเซเนกัลซึ่งในขณะนั้นเป็นแค่ชาติโนเนม ได้สิทธิ์มาแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกไป 1-0 และวิบากกรรมของทีมตราไก่ยังไม่จบลงเท่านี้เพราะอีก 2 นัดต่อมาพวกเขาก็ทำได้เพียงเสมอกับทีมชาติอุรุกวัย 0-0 จากนั้นก็ส่งท้ายด้วยการแพ้ทีมชาติเดนมาร์ก 2-0 รั้งอันดับสุดท้ายของกลุ่ม ตกรอบไปแบบไม่มีใครคาดคิด ที่สำคัญคือยิงประตูไม่ได้เลยสักประตูเดียว มันเกิดอะไรขึ้น? ถ้าตัดเรื่องความเชื่อหรืออาถรรพ์ออกไป หนึ่งสาเหตุที่พอจะเข้าเค้าคือนักเตะตัวหลักของทีมชุดนี้อายุเยอะเกินไป
หนึ่งในเรื่องสำคัญที่ถูกยกมาเป็นประเด็นพูดถึงกันอยู่บ่อย ๆ สำหรับฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้คือการนำเทคโนโลยี VAR และ Goal-Line Technology มาใช้ในศึกฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก ถือว่าเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แห่งวงการฟุตบอล เพราะที่ผ่านมามีการถกเถียงเรื่องนี้กันมาตลอด ฝ่ายที่ต่อต้านให้เหตุผลว่ามันจะสูญเสียเสน่ห์ของฟุตบอลและเสียเวลาทำให้การแข่งขันไม่ต่อเนื่อง แต่เมื่อมีการนำมาใช้จริง ๆ ทุกคนคงจะเห็นผลลัพธ์กันแล้วว่ามันทำให้เกมมีความยุติธรรมมากขึ้น ผู้เล่นลดความรุนแรงในการเล่นลง และก็ไม่ได้เสียเวลามากมายอย่างที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งในฟุตบอลโลก 2018 นี้แม้จะเพิ่งเริ่มต้นมาไม่กี่นัดแต่ก็มีช็อตน่ากังขามากมายซึ่งถ้าไม่มี VAR และ Goal-Line Technology มาช่วยตัดสินแล้วล่ะก็คงเป็นประเด็นถกเถียงดราม่ากันไปทั่วทั้งโลกแน่ ต้องขอบคุณเทคโนโลยีทั้งสองที่ทำให้เกมฟุตบอลยุติธรรมและขาวสะอาดขึ้น ยิ่ง VAR และ Goal-Line Technology มีบทบาทในเกมการแข่งขันมากเท่าไร คนดูอย่างเราก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าย้อนเวลากลับไปตั้งแต่ฟุตบอลโลกครั้งแรกเมื่อปี 1930 ประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนกันนะ? ทีมชาติอังกฤษอาจจะไปได้ไกลกว่าเดิมในฟุตบอลโลก 2010 ย้อนไปเมื่อ 8 ปีก่อน ฟุตบอลโลก 2010 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ในเกมระหว่างทีมชาติเยอรมันและทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเกมนี้ทีมอินทรีเหล็กออกนำไปก่อน 2-0 จากลูกยิงของ Miroslav Klose และ Lukas Podolski ก่อนที่อังกฤษจะตีตื้นขึ้นมาจากลูกโหม่งของ Matthew Upson การแข่งขันดำเนินมาถึงนาทีที่ 37 และแล้วจังหวะปัญหาก็เกิดขึ้น
เข้าสู่ช่วงมหกรรม FIFA World Cup 2018 ที่รัสเซีย ศึกลูกหนังที่คนทั้งโลกจับตาดูทั้ง 32 ทีมฟาดแข้งกันเต็มข้อเพื่อเป้าหมายเดียวนั่นคือแชมป์โลก น่าเสียดายที่ทีมชาติไทยยังไม่เคยผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย แต่อย่าเพิ่งท้อ เชียร์กันต่อ เชื่อว่าสักวันต้องมีวันนั้น แม้ว่านักเตะหนุ่มไทยจะยังไม่เคยไปถึงฝัน แต่มีอดีตผู้ตัดสินไทยคนหนึ่งที่เคยไปทำหน้าที่ผู้ตัดสินที่ 1 ในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้ว เขาคนนั้นคือ ‘เปาอั๋น-อาจารย์ ภิรมย์ อั๋นประเสริฐ’ เชิ้ตดำชาวไทยเพียงหนึ่งเดียว และหนึ่งในสองกรรมการชาวเอเชียที่ได้รับโอกาสที่ท้าทายที่สุดในอาชีพกรรมการลูกหนังในครั้งนั้น ซึ่งปัจจุบันแม้แกจะแขวนนกหวีดแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในแวดวงผู้ตัดสินฟุตบอล ด้วยการทำหน้าที่ผู้ควบคุม ผู้ประเมิณผู้ตัดสิน และเป็นคณะกรรมการของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เชิ้ตดำชาวไทยหนึ่งเดียวในฟุตบอลโลก ย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน ในศึก France 98 ที่ประเทศฝรั่งเศส เราได้เห็น อ.ภิรมย์ ในวัย 45 ปีในตอนนั้น ลงทำหน้าที่เกมรอบแรก 2 แมตช์ การแข่งขันในรอบแรก กลุ่มดี ระหว่าง นอร์เวย์-โมร็อกโก ที่ผลจบด้วยการเสมอกันไป 2-2 และรอบ 16 ทีมสุดท้าย ระหว่าง ไนจีเรีย-ปารากวัย
ฟุตบอลโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ คงเป็นกระแสที่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาคอยกว่า 4 ปี แต่ไม่ใช่แค่การแข่งขันฟุตบอลเท่านั้นที่หลายคนจับตามอง ส่วนประกอบอื่น ๆ ที่เป็นเหมือนสีสันของงานก็เป็นส่วนสำคัญที่ทั่วโลกจับตามองไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น นักเตะตัวจี๊ดจากแต่ละประเทศ ประเทศเจ้าภาพ ส่วนไฮไลต์ในประเทศไทยก็คงไม่พ้นการทายผลบอลโลกผ่านทางไปรษณียบัตรกับทางไปรษณีย์ไทย ซึ่งในปีนี้ก็ยังคงมีเหมือนในทุกปี สามารถส่งไปรษณีย์บัตรทายผลได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 14 ก.ค. 2561 อีกสิ่งที่เป็นไฮไลต์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือเพลงประจำ World Cup ปีนั้น ๆ ซึ่งหลายเพลงของ World Cup ได้ดังพลุแตกจนกลายเป็นเพลงระดับตำนานไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น “We Are the Champions”, “The Cup of Life”, “Waka Waka” ที่ได้ยินเมื่อไหร่เป็นต้องร้องตามกันได้ทุกคน แม้ World Cup จะจบลง แต่กระแสของเพลงก็ยังไม่จบ และยังคงเสน่ห์ข้ามกาลเวลามาจนถึงตอนนี้ UNLOCKMEN ขอชวนหนุ่ม ๆ มาฟังเพลง World Cup ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พร้อม Fact น่ารู้เล็กน้อย เอาไว้เล่าให้เพื่อนฟังกันแบบเซียน ๆ และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเทศกาลบอลโลก We Are the
ใกล้เข้ามาทุกขณะสำหรับมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ‘ฟุตบอลโลก’ ซึ่งเจ้าภาพในปี 2018 คือดินแดนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เต็มไปด้วยหมีขาว และแสนหนาวเหน็บอย่างประเทศรัสเซียนั่นเอง นอกจากวลาดิเมียร์ ปูติน, โจเซฟ สตาลิน, จัตุรัสแดง, มหาวิหารเซนต์บาซิล แล้วอีกหนึ่งสิ่งที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กันก็คือความป่าเถื่อนและโหดสัสของกองเชียร์ชาวรัสเซียนี่แหละ ถ้าใครเป็นคอฟุตบอลประมาณนึงคงพอทราบกันดีถึงสรรพคุณของแฟนบอลหรืออาจจะเรียกว่า ‘ฮูลิแกน’ ชาวรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นเกมฟุตบอลในระดับทีมชาติหรือสโมสร เมื่อมีทีมจากต่างประเทศไปเยือน อุปสรรคที่เจอนอกจากอากาศหนาวเหน็บ พื้นสนามฟุตบอลที่ปกคลุมไปด้วยหิมะจนขาวโพลน ยังมีผู้เล่นคนที่ 12 หรือกองเชียร์ฝั่งเจ้าบ้านที่พร้อมจะกดดันทีมผู้มาเยือนอย่างเดือดดาล ทั้งตะโกนเหยียดผิว ขว้างปาสิ่งของ จุดพลุ กระทั่งการไล่ทำร้ายกองเชียร์ฝั่งตรงข้ามก็มีให้เห็นกันบ่อย ๆ วันนี้ UNLOCKMEN จึงรวบรวมวีรกรรมสุดแสบของเหล่าฮูลิแกนหมีขาวมาให้ได้รับรู้กัน เผื่อเพื่อน ๆ ชาว UNLOCKMEN คนไหนวางแผนไปชมฟุตบอลโลกครั้งนี้ถึงขอบสนามจะได้ระมัดระวังตัวกันไว้ อังกฤษคือคู่รักคู่แค้น พวกเขาไม่เคยเป็นมิตรกับใคร แต่ถ้าถามว่าชาติไหนที่ยอมไม่ได้ที่สุดแน่นอนว่าคืออังกฤษ! เรียกได้ว่าฮูลิแกนรัสเซียและอังกฤษเจอหน้ากันเมื่อไหร่มีใส่กันเมื่อนั้น แต่ครั้งที่ร้ายแรงและโจ๋งครึ่มที่สุดต้องย้อนไปเมื่อปี 2016 ในการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 เจ้าภาพคือประเทศฝรั่งเศส ซึ่งต้องมารับเคราะห์กรรมที่พวกเขาไม่ได้ก่อขึ้นเลย เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มจากความดวงสมพงศ์กันเมื่ออังกฤษและรัสเซียจับฉลากได้มาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน และถึงแม้ว่าทางฝรั่งเศสเจ้าภาพจะตระหนักถึงแนวโน้มที่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น โดยได้จัดกำลังตำรวจมารักษาความสงบปลอดภัยแล้วแต่ก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่พุ่งพล่านของกองเชียร์ทั้ง 2 ฝั่งได้ โดยก่อนเกมการแข่งขันระหว่างรัสเซียกับอังกฤษจะเริ่มขึ้น กองเชียร์ของพวกเขาก็ปะทะกันไปแล้วถึง 3 ครั้ง! ในช่วงบ่ายของวันที่
สำหรับคอบอลอาจจะเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า นักบอลสุดเท่ชาวสเปนอย่าง PIQUE มีหวานใจเป็นนักร้องสาวสุดแซบอย่าง SHAKIRA มองจากมุมคนดู(อย่างเรา ๆ) คู่นี้ก็คงเป็นแค่คู่รักเซเลบฯคู่หนึ่งเท่านั้น UNLOCKMEN จะพามาดูเรื่องราวสุดว้าวที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้บนเส้นทางความรักของพวกเขา ในมุมของผู้ชายและผู้หญิงธรรมดาคู่หนึ่งที่รักกัน มาดูกันว่านักบอลแมน ๆ ทั้งแท่งอย่าง PIQUE เอาชนะใจสาวรุ่นพี่อย่าง SHAKIRA ได้ยังไง เผื่อจะได้วิธีเด็ด ๆ เอาไปใช้ได้บ้าง When We First Met ในงานบอลโลกปี 2010 ที่จัดขึ้นที่ South Africa หลายคนคงจำบรรยากาศความคึกคักในช่วงนั้นได้ เป็นปีที่กระแสของบอลโลกไม่ได้จำกัดอยู่แค่แฟนบอลเท่านั้น ด้วยความสดใสของสีที่เป็น Culture และ Street Football ของ Africa ทำให้คนทั่วโลกต่างตื่นตัวกับฟุตบอลโลกครั้งนี้มากเป็นพิเศษ และคงจะจำเพลง Waka Waka (This Time for Africa) ที่ร้องโดย Shakira ที่ติดหูกันแบบทั่วบ้านทั่วเมือง ตอนนี้ยอดวิวบน Youtube ก็ทะลุไปที่หลักพันล้านเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้าสังเกตดี ๆ เราจะเห็นหนุ่ม Pique และ Messi อยู่ใน
4 ปีมีหน และก็ถึงเวลาแล้ว กลางปีนี้พวกเราชาว UNLOCKMEN ที่คลั่งไคล้ในเกมลูกหนังเตรียมนอนดึกกันได้เลย เพราะการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ได้เวียนมาฟาดแข้งชิงความยิ่งใหญ่ในฐานะเจ้าโลก (แห่งฟุตบอล) กันอีกครั้ง ซึ่งศึกฟุตบอลโลก 2018 ท่าทางจะมันส์หยดย้อย เพราะปีนี้ไประเบิดแข้งกันที่ดินแดนหมีขาว ประเทศรัสเซียของท่านวลาดิเมียร์ ปูติน ระหว่างวันที่ 14 มิ.ย. ถึง 15 ก.ค. นี้ โดยจะมีเพียงแค่ทีมเดียวเท่านั้น จาก 32 ทีมทั่วโลก ที่อาบเหงื่อต่างน้ำ ทำทุกอย่างในเกมกีฬาเพื่อจะได้เป็นไม่กี่คนในโลกนี้ ขึ้นแท่นยืนชูถ้วยแห่งเกียรติยศ “FIFA World Cup Trophy” หรือ “ถ้วยฟีฟ่า เวิร์ลด์ คัพ” อย่างยิ่งใหญ่สมชายชาตรี “FIFA World Cup Trophy” มนต์ขลังอันเป็นสัญลักษณ์แห่งแชมป์ลูกหนังโลกใบนี้ ถูกนำมาใช้แทนที่ถ้วย “Jules Rimet” (จูลส์ ริเมต์) ชื่อที่ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธาน FIFA ในสมัยนั้น ตั้งแต่ปี 1930 – 1970