วันครูปี 2025 หนึ่งวันของปีที่ให้เราได้เคารพถึงอาจารย์คนสำคัญในชีวิตของตัวเองอย่างลึกซึ้งไปด้วยกัน และสำหรับเหล่าผู้หลงใหลในยนตกรรม ไม่ว่าจะรักดีไซน์หรือหลงใหลฟังก์ชันสมรรถนะของแบรนด์ใหน รถเหล่านั้นล้วนมีหยาดเหงื่อและความคิดสร้างสรรค์จากมือเปื้อนน้ำมันจาก AUTOMOBILE DESIGNER อาจารย์ผู้ออกแบบอยู่เบื้องหลังเสมอ UNLOCKMEN อยากใช้โพสต์นี้พาทุกคนกลับไปอ่านเรื่องราวกว่าจะมาเป็นที่สุดของนักออกแบบยนตกรรมและรถรุ่นสำคัญของโลก ผู้กำหนดภาพลักษณ์และดีไซน์ให้กับเหล่า Iconic Car ที่เติมเต็มจินตนาการ ความเร็ว และความฝันของเด็กผู้ชายทั่วโลก Dean Moon (MOONEYES) คำว่า MOONEYES คือประวัติศาสตร์ของ American Hot Rod ของก่อนยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงทศวรรษ 1970 และชื่อของบุรุษพระจันทร์ Dean Moon ก็ยังเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดของโลโก้สีเหลืองสองตาเริ่มต้นจากตรงนี้ .. Dean Moon เกิดในปี 1927 เมือง New Richland รัฐ Minnesota พ่อของดีน Dallas เป็นเจ้าของกิจการปั๊มน้ำมันในฉากหน้า แต่ว่าฉากหลังนำเหล้าเถื่อนเข้ามาขาย พอขายไปขายมาก็ถูกตำรวจจับ ทำให้ต้องขายปั๊มทิ้ง และทั้งครอบครัวต้องย้ายไปที่ California ลงเอยกันที่ในเมือง Norwalk
“ผมยังจดจำได้ว่า เอนโซ่ เฟอร์รารี่ เข้ามาพูดคุยกับผม เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินความปรารถนาในการสร้างรถยนต์ที่แสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงของเฟอร์รารี่ ขณะเดียวกัน ผมก็รู้ได้ในเวลาเดียวกันว่า นี่จะเป็นรถคันสุดท้ายในชีวิตของชายที่ชื่อ เอ็นโซ่ เฟอร์รารี่” Leonardo Fioravanti กล่าวถึงการสนทนาที่กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของ Ferrari F40 ถ้าหากพูดถึงเรื่องราวของซูเปอร์คาร์จากค่ายรถสุดแรงสัญชาติอิตาเลียนนามว่า เฟอร์รารี่ เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนคงมีโมเดลรถยนต์จากค่ายม้าลำพองที่ชื่นชอบเป็นการส่วนตัวอยู่หลายรุ่น อย่างไรก็ตาม หนึ่งในรถยนต์รุ่นไอคอนอย่าง Ferrari F40 ถือเป็นซูเปอร์คาร์ที่ถูกจดจำได้มากที่สุด ทั้งจากงานดีไซน์ที่มีสวยงามมีเอกลักษณ์ อย่างไรก็ตาม รถยนต์คันสุดท้ายในชีวิต ชายผู้ก่อตั้งค่ายเฟอร์รารี่คันนี้ ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมากมาย และวันนี้เราจะพาทุกคนไปย้อนทำความรู้จักกับจุดเริ่มต้นของซูเปอร์คาร์คันนี้ รวมถึงความพิเศษที่ทำให้มันกลายเป็นตำนานบนท้องถนนมาจนถึงปัจจุบัน 288 GTO Evoluzione เรื่องราวของ Ferrari F40 เริ่มต้นขึ้นในปี 1984 เมื่อ Nicola Materazi หัวหน้าทีมวิศวกรผู้รับหน้าที่พัฒนาแผนกรถสปอร์ตและรถแข่งของเฟอร์รารี่ ได้เสนอไอเดียให้เอ็นโซ่ เฟอร์รารี่ เลือกใช้เครื่องยนต์ที่ใช้ในการแข่งขัน Group B ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขนาด 2.857 ลิตร Turbocharged เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของรถยนต์รุ่นที่ใช้บนท้องถนนของค่าย เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเฟอร์รารี่มียอดขายที่รถน้อยลง
สำหรับหนุ่ม ๆ ที่หลงใหลในซูเปอร์คาร์ของค่ายรถยนต์สุดแรงจากอิตาลีอย่าง Ferrari คงจะตื่นเต้นไม่น้อยกับงานเรนเดอร์คอนเซ็ปต์คาร์คันล่าสุดที่ว่ากันว่ามาจะพร้อมเครื่องยนต์ V12 ที่ใช้ชื่อว่า STALLONE STALLONE คือคอนเซ็ปต์ซูเปอร์คาร์ผลงานการออกแบบของ Murray Sharp นักออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตั้งใจดีไซน์รถคันนี้ขึ้นมาเพื่อสืบทอดตำนานความยิ่งใหญ่ของ LaFerrari ด้วยงานออกและระบบอากาศพลศาสตร์ใหม่ที่ลงตัว งานดีไซน์ตั้งแต่หัวจรดท้ายของ STALLONE ได้แรงบันดาลใจดีไซน์โค้งมนสุดคลาสสิกของ Ferrari 250 GTO ผสมรวมกับกลิ่นอายสปอร์ตของ Ferrari F40 ออกมาเป็นรถดีไซน์แห่งอนาคตที่มาพร้อมช่องลมขนาดใหญ่ด้านหน้า และ 2 ช่องเล็กบนฝากระโปรง ทั้งหมดวางอยู่ในตัวถังแบบ Monocoque ด้านข้างตัวรถโดดเด่นด้วยกระจกมองข้างที่ใช้กล้องความละเอียดสูงดีไซน์ยื่นออกจากตัวรถ พร้อมช่องลมด้านข้างขนาดใหญ่ ในขณะที่ส่วนท้ายของตัวรถทั้งกระจกและชุดแต่งได้แรงบันดาลจากโมเดลในตำนานอย่าง Ferrari Rosso Corsa มาพร้อมท่อไอเสียคู่ที่ถูกเอาวางไว้ด้านหลังของหลังคา โดยงานดีไซน์ที่สมบูรณ์แบบของมันทำให้หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านี่คือรถที่จะเข้ามาแทนที่สานต่อตำนานของ LaFerrari ให้กับค่ายม้าคะนอง ด้าน Murray Sharp ตั้งใจให้รถคันนี้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับวางเครื่องยนต์ตัวแรงของค่ายกับเครื่องยนต์ V12 ซึ่งเป็นระบบเครื่องยนต์ที่ถูกใช้มาตั้งแต่รถรุ่นเก๋าของค่าย ไม่ว่าจะเป็น 125 S หรือใน 250 GTO ในเวลาต่อมาเครื่องยนต์ V12 ยังถูกพัฒนาและใช้ในซูเปอร์คาร์ตัวกลั่นทั้งในโมเดล
ชายนิรนามกำลังจะรับทรัพย์ก้อนโต หลังขน Ferrari รุ่นแรร์ 6 คันมาร่วมประมูลในงาน Gooding & Company Scottsdale Auctions ประจำปี 2020 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 15-19 มกราคมนี้ Gooding & Company Scottsdale Auctions เป็นอีเวนต์ประมูลรถยนต์คลาสสิกรุ่นหายากที่จัดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2003 ก่อนกลายเป็นบริษัทประมูลที่ทรงอิทธิพลในวงการ ทุกปีพวกเขาจะมีรถคลาสสิกรุ่นหายากจากทั่วโลกมาร่วมประมูล ถือเป็นงานที่มีผลต่อราคารถคลาสสิกโลก เพราะในจำนวนรถที่แพงที่สุดในโลก 10 คันมี 3 คันที่ถูกประมูลจากงานนี้ ขณะที่งานปี 2020 ที่มีรถยนต์มากกว่าร้อยคัน หนึ่งในนั้นเป็นของชายนิรนามที่นำ Ferrari รุ่นหายากมาร่วมประมูลถึง 6 คันโดยใช้ชื่อว่า “A Private Ferrari Spider Collection” มาดูกันว่าแต่ละคันจะสวยงามแค่ไหนถูกใจแฟนม้าลำพองและแต่ละคันจะมีค่าตัวเท่าไร มาชมไปพร้อมกัน Ferrari F50 ปี 1995 รุ่นฉลองครบรอบ 50 ปีค่ายม้าลำพองที่ในตอนนั้นถูกบอกเป็นรถที่ใกล้เคียงกับ F1 มากที่สุด
ถ้าพูดถึงชื่อลูอิส แฮมิลตัน (Lewis Hamilton) หนุ่ม ๆ หลายคนรู้จักเขาในฐานะนักแข่งรถสูตร 1 หรือ Formula1 ปัจจุบันเขาเป็นนักขับที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นตำนานของวงการ หลังเจ้าตัวเพิ่งคว้าแชมป์โลกการแข่งขันในปี 2019 ถือเป็นแชมป์สมัยที่ 6 ให้ตัวเขาเอง และยังคงมุ่งหน้าต่อเพื่อคว้าแชมป์สมัยที่ 7 มาครองให้ได้ นอกจากนั้นลูอิสเป็นนักแข่งรถอีกคนที่หลงใหลการเก็บสะสมรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นคลาสสิกหรือยนตรกรรมสมัยใหม่ ว่ากันว่ารถยนต์แต่ละคันของราชารถสูตร 1 คนนี้ล้วนเต็มไปด้วยโมเดลสุดหล่อและโคตรแรง McLaren P1 McLaren P1 คือสุดยอดรถสปอร์ตในคอลเลกชันส่วนตัวของลูอิส แฮมิลตัน โดยรถยนต์โมเดลพิเศษที่ผลิตออกมาเพียง 375 ยูนิตคันนี้ ผลิตในปี 2015 พร้อมกับเครื่องยนต์ไฮบริด M838TQ V8 ขนาด 3.8 ลิตร Twin-Turbo ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า McLaren E-Motor ทั้งหมดให้พลัง 903 แรงม้า รวมถึงวิ่ง 0-100 กิโลเมตรใน 2.7 วินาที ลูอิสเคยให้สัมภาษณ์เหมือนรู้อนาคตว่า
ปี 2020 ถือเป็นอีก 1 ปีที่ค่ายรถยนต์จำนวนมากเตรียมปล่อยรถในค่ายลงสู่ตลาด สำหรับหนุ่ม ๆ ที่กำลังมองหารถยนต์โมเดล 2 ประตู (Coupe) อยู่แล้ว ความสวยงามและความแรงของ Ferrari Roma จะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน Ferrari Roma คือรถยนต์คันล่าสุดที่ผลิตจากโรงงานใน Maranello บ้านเกิดของค่ายม้าลำพอง โดยเป็นรถโมเดลคูเป้ที่ Ferrari ตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อสะท้อนความคลาสสิกของกรุงโรมในยุค 50’s – 60’s โดยได้แรงบันดาลใจทางกายภาพมาจาก Ferrari 250 GT Berlinetta Lusso และ 250 GT 2+2 สองโมเดลคลาสสิกตลอดกาลของค่าย Roma ถูกออกแบบมากับดีไซน์ตัวถังที่เพรียวบางคล่องตัว เส้นสายที่เรียบแบบไร้รอยต่อจากวัสดุที่เบายิ่งขึ้น ด้านหน้าโดดเด่นด้วยช่องลมที่ยืนออกมา ฝากระโปรงทั้งด้านดีไซน์ให้นูนไปบรรจบกับซุ้มล้อทำให้รถมีมิติที่โฉบเฉี่ยว ส่วนไฟหน้าใช้เป็น LED ขณะที่ด้านหลังประกอบด้วยไฟท้าย 4 จุด ท่อไอเสียแบบคู่ทั้งสองข้าง และตัวดูดอากาศจากคาร์บอนไฟเบอร์ที่เข้ากันกับล้อขนาด 20 นิ้ว ด้านขุมพลัง Ferrari Roma
ปี 2019 ถือเป็นปีที่ค่าย Ferrari เปิดตัวรถยนต์หลายคัน ทำให้หนุ่ม ๆ ที่เป็นแฟนของค่ายได้ยลโฉมยนตรกรรมสุดแรงจำนวนมาก ล่าสุด Ferrari ปล่อย Ferrari F8 Spider ปี 2020 โมเดลเปิดประทุนรุ่นพัฒนาใหม่ที่ค่ายเคลมว่ามาพร้อมเทคโนโลยีล้ำ ๆ อีกด้วย ปีนี้ค่ายม้าคะนองเปิดตัวรถยนต์รุ่นปี 2020 ออกมาหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นตัวแรงอย่าง Ferrari F8 Tributo และ 812 Superfast มาจนถึงพันธุ์เอสยูวีอย่าง Ferrari Purosangue รวมถึงเรือธงที่มาพร้อมขุมพลังปลั๊กอินไฮบริดสุดแรงอย่าง SF90 Stradale แต่ทีเด็ดก็ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะล่าสุดพวกเขาเตรียมเปิดตัว F8 โมเดลเปิดประทุนรุ่นปี 2020 อย่าง F8 Spider ออกมาให้แฟน ๆ ได้ยลโฉมกันอีกแล้ว Ferrari F8 Spider พัฒนาและมีพื้นฐานมาจาก 488 Spider การเข้ามาแทนที่จึงต้องมาพร้อมความสมบูรณ์แบบที่เหนือกว่า โดยคราวนี้ F8 Spider
“แม้พวกเขาจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ผมเป็นหนี้บุญคุณพวกเขาเสมอ ขอบคุณพ่อและจูลส์สำหรับทุกอย่าง ผมจะไม่มีวันลืมพวกคุณที่สนับสนุนและเชื่อในตัวผม” ประโยคข้างต้นคือคำกล่าวขอบคุณของชาร์ล เลอแคลร์ (Charles Leclerc) ถึงผู้เป็นพ่อและพี่ชายผู้ล่วงลับ ผู้ต่างเคยสนับสนุนและเป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเขาฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ จนก้าวขึ้นมาเป็นนักแข่งรถสูตร 1 ของทีมเฟอร์รารี่ (Ferrari) ด้วยวัยเพียง 21 ปี ซึ่งทำให้เขาคนนี้กลายนักขับตัวจริงของทีมที่มีอายุน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 1961 ถ้าพูดภาพจำของกีฬามอเตอร์สปอร์ตอย่าง Formula 1 เชื่อว่าหนึ่งในภาพแรกที่สอดแทรกเข้ามาในหัวของทุกคน คงต้องเป็นรถแข่งคันสีแดงของทีมเฟอร์รารี่ หนึ่งในทีมรถสูตรหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่เคยคว้าแชมป์โลกร่วมกับยอดนักขับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนิกิ เลาดา (Nikki Lauda), คิมิ ไรโคเนน (Kimi Räikkönen) และตำนานอย่างมิชาเอล ชูมัคเกอร์ (Michael Schumacher) ที่ผ่านมาแฟน ๆ ของยอดทีมจากอิตาลี ล้วนเคยชินกับการที่ทีมรักของพวกเขาพร้อมไปด้วยนักขับที่เต็มเปี่ยมทั้งด้านฝีมือและประสบการณ์ แต่ทว่าก่อนฤดูกาล 2018 จะจบ เฟอร์รารี่ก็ตัดสินใจทำสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิด ด้วยการเซ็นสัญญากับนักขับหน้าใหม่ที่มีประสบการณ์ในการแข่งขัน Formula 1 เพียงแค่ปีเดียว นั่นคือวันที่หลายคนต่างตั้งคำถามว่า ไอ้หนูที่ชื่อชาร์ล เลอแคลร์ นี่มันใครกันวะ ?
จากกระแสรถยนต์ประเภทไฮบริดที่ได้รับความสนใจและความนิยมจากหนุ่ม ๆ ผู้รักความเร็วทั่วโลกมากขึ้นทุกวัน ทำให้ปัจจุบันค่ายรถต่าง ๆ หันมาผลิตรถยนต์รูปแบบดังกล่าวสู่ตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เว้นแม้แต่สุดยอดค่ายซูเปอร์คาร์อย่าง Ferrari ที่เพิ่งคลอดม้าลำพองปลั๊กอินไฮบริดคันแรกออกสู่ตลาดและว่ากันว่ามันมาพร้อมความเร็วที่ไม่เป็นรองใคร เพื่อต้อนรับยุคสมัยใหม่ที่กำลังจะมาถึง ต้องขอบคุณการทำงานหนักของวิศวกรและทีมดีไซน์ รวมไปถึงสุดยอดต้นแบบอย่าง LaFerrari ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของไฮเปอร์คาร์คันล่าสุดจาก Ferrari ที่สร้างมาเพื่อแสดงศักยภาพของพลังปลั๊กอินไฮบริดของค่ายม้าลำลองที่มาในชื่อ Ferrari SF90 Stradale โดยชื่อรุ่นถูกตั้งมาเพื่อระลึกถึงการครบรอบ 90 ปีของทีม F1 ประจำแบรนด์อย่าง Scuderia Ferrari Race Team SF90 Stradale ไฮเปอร์คาร์คันบุกเบิกยุคสมัยใหม่ของค่ายม้าลำพองที่จะทำให้คนเลิกดูถูกพลังของระบบปลั๊กอินไฮบริดด้วยสมรรถนะความแรงที่ได้พลังจากเครื่องยนต์ V8 Turbocharged ขนาด 4.0 ลิตรวางกลางที่มอบพลัง 769 แรงม้าและแรงบิด 800 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว (ด้านหน้าตัวรถ 1 ด้านหลัง 2) ที่จะบวกพลังเพิ่มอีก 217 แรงม้ากลายเป็นพลังรวมที่ 986 แรงม้า พลังทั้งหมดจะถูกส่งต่อไปยังชุดเกียร์ Dual-clutch
นี่คือเรื่องราวและรายละเอียดของ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ซูเปอร์คาร์ที่เดินทางผ่านยุคสมัยมาจากยุค 60 และตอนนี้มูลค่าของมันพุ่งสูงถึง 2-3 ล้านเหรียญหรือกว่า 70-120 ล้านบาท เช่นเดียวกับรถยนต์ราคาแพงระยับคันอื่น ๆ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT มีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังมากมาย เรื่องแรกและเป็นเรื่องสำคัญที่สุดคือรถรุ่นที่วางจำหน่ายอยู่ตอนนี้เดิมทีเป็นโมเดลที่ทาง Ferrari สร้างขึ้นมาเพื่อทดสอบและพัฒนาเท่านั้นไม่ใช่โมเดลที่สร้างขึ้นมาเพื่อวางจำหน่าย ถ้าใครเป็นสาวกรุ่นเก๋าของแบรนด์รถยนต์สัญชาติอิตาลีแบรนด์นี้คงสังเกตเห็นความแตกต่างของทั้ง 2 โมเดลได้ เนื่องจากขนาดและตำแหน่งของไฟเลี้ยวด้านหน้ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับไฟท้ายด้านหลังที่โมเดลต้นแบบจะมี 3 ดวงแตกต่างกับโมเดลการผลิตหลักที่จะมีเพียงแค่ 2 ดวง ด้วยความแตกต่างและมีจำนวนจำกัดนี้จึงเป็นสาเหตุให้ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ราคาพุ่งสูงจนทะยานเข้าไปอยู่ในลิสต์หนึ่งในรถยนต์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ตัวต้นแบบใช้เครื่องยนต์ V-6 ขนาด 2 ลิตร โดยติดตั้งตามแนวยาวซึ่งแตกต่างกับโมเดลการผลิตหลักที่ติดตั้งตามแนวขวาง นอกจากนั้นแถบโครเมียมด้านข้างและที่ปัดน้ำฝนขนาดใหญ่ซึ่งจะมีเพียงในโมเดลต้นแบบเท่านั้น แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นโมเดลการผลิตหลักแต่ทาง Ferrari ก็ผลิตออกมาเพียง 152 คันเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงเลยว่ารุ่นโมเดลต้นแบบนั้นจะหายากและมีจำนวนน้อยแค่ไหน บางทีราคา