ยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นเพียงใด มนุษย์เราก็โหยหาอดีตมากขึ้นเท่านั้น ต้องยอมรับว่าตอนนี้โลกของเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลจนเกือบจะสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ แม้กระทั่งอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการซื้ออาหาร ซื้อตั๋วหนัง หรือเช็กรถประจำทาง ก็ยังสามารถทำผ่านมือถือและแอปพลิเคชันได้ เมื่อความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น กิจวัตรบางอย่างที่เคยทำก็อาจเลือนหายตามกาลเวลา ไม่แปลกที่บางครั้งเราจะอยากย้อนเวลาหาอดีต เพื่อซึมซับกับสิ่งของ บรรยากาศ หรือสถานที่บางแห่งที่ไม่มีอีกแล้วในปัจจุบัน และด้วย ‘ความคิดถึง’ เหล่านี้ จึงเกิดเป็น E8TY lov.an.a.log งานดี ๆ ที่รวมพลคนรัก Anolog ครั้งใหญ่ ในวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อ 8080 Café RCA ถูกเนรมิตให้กลายเป็นสถานีวิทยุ 80 Radio Station ที่ไม่มีการถ่ายทอด แต่จัดรายการสด ๆ โดย ‘ดีเจหมึก วิโรจน์ ควันธรรม’ นักจัดรายการวิทยุระดับตำนาน ผู้คลุกคลีวงการ Analog มาอย่างยาวนาน พร้อมทั้งดีเจรับเชิญจาก Olympic Dicker และ DJKK ที่มาร่วมสร้างสีสัน เปิดเพลงเพราะ ๆ จากเครื่องเล่นแผ่นเสียง สร้างบรรยากาศในงานให้ตลบอบอวลไปด้วยเสียงดนตรีสุดคลาสสิก
ย้อนไปเมื่อ 40 ปีก่อน สมัยที่อินเทอร์เน็ตกับสมาร์ตโฟนยังไม่ค่อยคุ้นหู และเชื่อว่าระบบสตรีมมิ่งเพลงก็คงยังไม่เกิด ในตอนนั้นผู้คนที่หลงรักเสียงดนตรีต้องฟังเพลงผ่านวิทยุทรานซิสเตอร์ แต่ด้วยขนาดและน้ำหนักของมัน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพกเพลงไปฟังได้ทุกหนแห่ง แถมผู้ใช้ยังไม่อาจเลือกเพลย์ลิสต์ที่ตนอยากฟังได้ตามใจนึก Masaru Ibuka และ Akio Morita สองผู้ก่อตั้ง SONY พร้อมกับทีมวิศวกรแผนกเทปจึงร่วมกันคิดค้นเครื่องเล่นเพลงแบบพกพา โดยมีโจทย์ในการออกแบบคือขนาดที่กะทัดรัดและสามารถให้ผู้ใช้เลือกเพลงฟังได้ตามต้องการ พวกเขาจึงนำเครื่องบันทึกเทปของนักข่าวมาดัดแปลง ตัดฟังก์ชันการอัดเสียงออกไปและเพิ่มวงจรสเตอริโอกับชุดหูฟังเข้าไปแทน ในยุคที่โลกยังไม่รู้จักเครื่องเล่นเพลงมากนัก ทำให้กระแสความนิยมของ SONY WALKMAN ก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ใช่ผู้ผลิตรายแรกที่เข้ามาในตลาด แต่ต้องยอมรับว่าเครื่องเล่นเพลงชิ้นนี้มีวิวัฒนาการที่น่าทึ่ง และไม่นานนักชื่อของ WALKMAN ก็กลายเป็นที่นิยมของคนทั่วโลกอย่างง่ายดาย เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้ SONY ได้จัดนิทรรศการเฉลิมฉลองความยิ่งใหญ่ครบรอบ 40 ปี ของ WALKMAN ใจกลาง Ginza ย่านชอปปิงที่คึกคักที่สุดของโตเกียว งานนี้มีการแสดงอุปกรณ์ SONY WALKMAN กว่า 230 เครื่อง ตั้งแต่ TPS-L2 รุ่นแรกของปี 1979 ยันรุ่นล่าสุดของปี 2019 ตัวงานแบ่งเป็นสองส่วนคือโซน
สนุกเกอร์ หนึ่งในกีฬาซึ่งเป็นที่รู้จักในเมืองไทยมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะสำหรับหนุ่ม ๆ ที่เคยเล่นกันมาก่อนคงทราบดีถึงรูปแบบเกมส์การเล่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งนอกจากผู้เล่นจะต้องมีฝีมือการปล่อยคิวที่เฉียบคมแล้ว เรื่องของสมาธิและการตัดสินใจ รวมไปถึงการอ่านเกมก็เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ชัยชนะของการแข่งขันแต่ละครั้ง และความพิเศษเหล่านี้เองที่ทำให้เกมแม่นหลุมชนิดนี้ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยรู้จักและไม่เคยสัมผัสอารมณ์ของการชมและเล่นกีฬาชนิดนี้มาก่อน อาจมองว่าสนุกเกอร์เป็นกีฬายุคเก่าที่ไม่มีความน่าสนใจ กลายเป็นกิจกรรมที่ไม่เท่พอจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ชายในปัจจุบัน อาจเพราะภาพจำเดิม ๆ ของสโมสรหรือสถานที่สำหรับเล่นสนุกเกอร์ในยุคที่ผ่านมาเป็นเหมือนสถานที่อโคจรของหนุ่ม ๆ รุ่นใหญ่ที่มีทั้งการดื่มและการเล่นพนัน จนถูกพูดกันปากต่อปากกลายเป็นภาพแง่ลบต่อกีฬาชนิดนี้ แต่แท้ที่จริงแล้วสนุกเกอร์คือหนึ่งในเกมกีฬาที่แสดงออกถึงการให้เกียรติและความเป็นสุภาพบุรุษได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากการให้ความสำคัญกับในมารยาทระหว่างแข่งขัน การแต่งกาย จนไปถึงมารยาทของผู้เข้าชม รวมถึงสถานที่แข่งขันก็ถูกพัฒนาให้ทันสมัยมากขึ้น กีฬาสนุกเกอร์เริ่มเป็นที่รู้จักครั้งแรกในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยในยุคแรกนิยมเล่นกันในกลุ่มทหารอังกฤษที่ประจำอยู่ในประเทศอินเดีย ก่อนจะเปลี่ยนแปลงและพัฒนารูปแบบการเล่นมาเป็นแบบสากลอย่างในปัจจุบันและแพร่ความนิยมไปทั่วโลกในเวลาต่อมา ส่วนในประเทศไทยถ้าพูดจุดเริ่มต้นของกีฬาสนุกเกอร์คงต้องย้อนกลับไปในช่วงปี พ.ศ. 2500 ซึ่งเริ่มมีการแข่งขันสนุกเกอร์ชิงแชมป์ประเทศไทยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ก่อนในปี 2525 สมาคมสนุกเกอร์แห่งประเทศไทยซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อสมาคมกีฬาบิลเลียดแห่งประเทศไทย จะถูกก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกถือเป็นการวางรากฐานของวงการนักซอยเมืองไทย โดยเริ่มต้นจากการเล่นแบบกติกาสากลด้วยลูกแดง 15 ลูก ก่อนจะมีการผลักดันการเล่นแบบลูกแดง 6 ลูก ให้เกิดขึ้นในเวลาต่อมา จนกลายมาเป็นรูปแบบการแข่งขันที่นักสอยคิวทั่วโลกต่างยอมรับและให้ความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน The Beginning of 6 Red Snooker แรกเริ่มเดิมทีการเล่นสนุกเกอร์ 6 แดงเป็นรูปแบบที่นิยมในหมู่นักสอยคิวทั้งมือเซียนและมือสมัครเล่นในเมืองไทยมานานจนเมื่อปี พ.ศ. 2550 ทางสมาคมบิลเลียดแห่งประเทศไทยตัดสินใจบรรจุสนุกเกอร์ 6 แดงเข้าไปสำหรับการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่
เสียงนกเสียงกา ยังดังกว่าเสียงสวดมนต์ ถึงจะฟังดูแปลกแต่ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะเมื่อพูดถึงพุทธศาสนาหรือวัดที่อยู่ใกล้บ้านวันนี้ มันไกลกว่าเรื่องเทคโนโลยีหรือคนดังจากอีกทวีปเสียอีก เสียงสวดมนต์กลายเป็นเสียงที่เราอยากจะกด Skip เพื่อข้าม ๆ มันไป ธรรมะทุกข้อที่ได้ยินเหมือนมีอะไรมาอุดมากลบทำให้เราอยากออกมาห่าง ๆ กระทั่งวัดหน้าบ้าน เรายังไม่อยากเข้าเลยเพราะรู้สึกว่า “มันร้อน” เกินทน พอพูดถึงพุทธศาสนาในศตวรรษที่ 21 เราเลยรู้สึกต่างไปจากความเป็นพุทธฯ ในวันวาน แน่นอนว่าศาสนายังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องยกขึ้นหิ้งเหมือนแต่ก่อน จึงเป็นธรรมดาที่คนบางกลุ่มอาจจะดึงมาถูลู่ถูกัง ลากไถไปตามความรู้สึกบ้าง เป็นเรื่องนานาจิตตังที่เราคงไม่เข้าไปห้ามอะไร เพราะเราเชื่อว่าอะไรที่อยู่มานานพอและจะอยู่ต่อไป คงต้องผ่านการพิสูจน์ตัวเองเสมอ ขณะเดียวกันก็มีคนอีกกลุ่มที่เชื่อว่าแก่นของพุทธศาสนามันแข็งแรงพอและน่าสนใจ ถ้าได้รับการเล่าเรื่องที่เหมาะสมเข้ากับยุคสมัย ซึ่งดูเหมือนสิ่งที่เขาทำมันสำเร็จแล้ว เพราะทำให้พวกเราตบเท้าเข้าวัดจากผลงานนิทรรศการของเขาที่ใช้ชื่อว่า BODHI THEATER (โพธิ เธียเตอร์) ที่จัดในวัดสุทธิวรารามเมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ART OF ARS วันนี้ ขอแนะนำให้หาวันว่างไปเข้าวัด ดูนิทรรศการ BODHI THEATER (โพธิ เธียเตอร์) ซึ่งเป็นงานศิลปะสไตล์ ‘Projection Mapping’ ที่ได้แรงบันดาลใจจากการตีความบทสวด “ชัยมงคลคาถา” ที่เชื่อว่าเราชาวไทยต้องคุ้นเคยจากประโยคขึ้นต้นว่า พาหุงสะหัส สะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง… ชัยมงคลคาถา คือคาถาที่กล่าวถึงชัยชนะ
เดือน 5 เดือนแห่งสายฝนกำลังจะจบลง แต่กำลังจะขึ้นเดือน 6 ที่พายุฝนกระหน่ำ เพื่อเติมเต็มจิตวิญญาณที่เริ่มพร่องเพราะสภาพอากาศทึมเทา เราจึงตัดสินใจเปิดคอลัมน์ใหม่เพื่อเติมสีสันแก่จิตใจและความรู้สึกให้ครบรส ใช้ชื่อว่า “Art of Ars” “Art” ตัวแรกคือคำที่ทุกคนคุ้นเคยความหมายกันดีว่าศิลปะ ส่วน “Ars” ตัวหลังมาจากภาษาละตินที่แปลได้ว่า ความรู้หรือศาสตร์ “Art as Ars” เราแปลว่า “ศิลป์แห่งศาสตร์” หรือศิลปะที่เกิดศาสตร์ทุกแขนง มีไว้สำหรับรีวิวงานนิทรรศการหรืองานศิลปะน่าไปในไทย ไม่ว่าจะเกิดขึ้นหรือจบลงแล้วที่เราไปและเก็บภาพมาแบ่งปัน ประเดิมที่แรกที่เราไป TCDC กับงาน Japanese Design Today หรือ “การออกแบบ แบบญี่ปุ่น” งานที่เขาว่ากันว่ามีโปรดักส์ของญี่ปุ่นที่มีความสำคัญจัดอันดับไว้ถึง 100 ชิ้นจัดโดย Japan foundation ร่วมมือกับ CEA หลายชิ้นเป็นตำนานของผลิตภัณฑ์ที่เราใช้งานทุกวันนี้ เพื่อเข้าถึงวิถีมินิมัลของแดนปลาดิบอีกนิด ไขปริศนาความน่าทึ่งของผลิตภัณฑ์ว่าเขาทำแบบนี้ไปทำไม หรือคิดได้ยังไง ทีมเราเลยตัดสินใจเข้าไปงานดูสักหน่อย เพราะเราเชื่อว่า “จิตวิญญาณ” แท้จริงไม่ได้อยู่แค่ลมหายใจ แต่สามารถมองได้ผ่านงานออกแบบ ห้องจัดแสดงหนึ่งฮอล์ขนาดกลาง ๆ สไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์ ด้านในจัดแสดงของกว่า
ผ่านปีใหม่มาได้ไม่ทันไร แรงบันดาลใจ พลังงาน และความตื่นเต้นที่เคยพลุ่งพล่านในสายเลือดผู้ชายอย่างเราก็ค่อย ๆ มอดดับลง จะมีอะไรดีไปกว่าการได้ไปเฟสติวัลที่รวบรวมความสุขของชีวิตครบทุกรสชาติมาไว้ในงานเดียวได้อย่างกลมกล่อมลงตัว แถมกระชากเอาความมันส์ที่กำลงเหือดหายให้กลับมาฉายแสงลุกโชนให้กับชีวิตผู้ชายอีกครั้ง! BLEND 285 presents BLEN FES LIVE PROJECT คือ โปรเจกต์ที่เราขอยกให้เป็นที่สุดแห่งปี ซึ่งงานนี้ได้มันรวมเอา ความสุขและความสนุกมาให้ทุกคนได้พกกลับบ้านไปกันอย่างเต็มกระเป๋า โดยการ Let’s BLEND ไปกับเหล่าศิลปิน พร้อม Special Show ที่มาสร้างความประทับใจให้กับทุกคน งานนี้ไม่ได้มีแค่ศิลปินที่มา Let’s BLEND เท่านั้น ยังมีร้านอาหารชื่อดังของแต่ละจังหวัดที่มา Let’s BLEND Menu ที่มีเฉพาะภายในงานให้ทุกคนได้เลือกชิม รวมถึงร้านค้าจากโลกออนไลน์ให้ทุกคนได้เลือกชอปให้ความเหนื่อยหายไปและทำให้เราเชื่อได้อีกครั้งว่า “ชีวิตดีเรามีได้” ดังนั้นมั่นใจได้เลย ไม่ว่าจะเหี่ยวแห้งมาจากหน้าที่การงาน ความสัมพันธ์ หรือชีวิตที่เริ่มเนือย ๆ งานนี้ก็ชวนให้พวกเรามา Let’s BLEND ความสุขและความสนุกให้ชีวิตได้อย่างลงตัวแน่นอน Let’s BLEND ความสุขและความสนุกไปกับเหล่าศิลปิน อะไรจะ BLEND ความสุขและความสนุกไปได้ดียิ่งกว่าการได้ร่วมร้องให้สุดเสียงกระโดดให้สุดแรงไปกับศิลปินแถวหน้าของเมืองไทย อย่าง Bodyslam,
ประเทศอังกฤษไม่ได้โด่งดังแค่วัฒนธรรมการจิบชายามบ่ายและตำนานสยองขวัญของ Jack The Ripper เท่านั้น แต่ที่นี่ยังเป็นแหล่งรวมตัวของศิลปิน ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะและการออกแบบอีกด้วย UNLOCKMEN เลยอยากพาหนุ่ม ๆ ออกไปเสพงานอาร์ตที่ London Craft Week 2019 นิทรรศการที่รวบรวมงานคราฟต์เท่ ๆ จากทั่วทุกสารทิศ โดยฝีมือของนักออกแบบ ช่างฝีมือ ตลอดจนครีเอทีฟจากแบรนด์และแกลเลอรีต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า 240 แห่งเอาไว้อย่างจุใจ London Craft Week 2019 ในปีนี้จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 8-12 พฤษภาคม 2562 นับเป็นปีที่ 5 ของนิทรรศการสุดสร้างสรรค์ภายใต้ฉากหลังของกรุงลอนดอน เนื่องจากเป็นนิทรรศการที่ไม่พึ่งพาทุนสาธารณะ สถานที่จัดแสดงผลงานจึงกระจายตัวอยู่ตามตรอกซอกซอยทั่วลอนดอน ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สตูดิโอ หรือพื้นที่สาธารณะอื่น ๆ ครอบคลุมตั้งแต่ Mayfair ถึง Shoreditch และ Greenwich ถึง Hampstead แถมนิทรรศการกว่าครึ่งยังเข้าร่วมได้ฟรีและไม่ต้องจองล่วงหน้าอีกด้วย วันนี้ UNLOCKMEN เลยรวมงานคราฟต์เจ๋ง
เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานกับงานเปิดตัวสมาร์ตโฟนของแบรนด์ Samsung ซึ่งมาในชื่อ “A Galaxy Event” ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมหน้าด้วยเทคโนโลยีสุดทันสมัยจากตระกูล A โดยมีรุ่นเรือธงอย่าง Galaxy A80 เป็นดาวเด่นของงาน พร้อมแสดงที่สุดแห่งนวัตกรรมสมาร์ตโฟนที่ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับเหล่าผู้ชื่นชอบการใช้โซเชียลมีเดีย สมาร์ตโฟนที่ถูกจับตามองมากที่สุดในงานคงหนีไม่พ้น Galaxy A80 ทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีทอง (Angel Gold) สีขาว (Ghost White) และสีดำ (Phantom Black) ที่มาพร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED 6.7 นิ้ว Infinity U Display กับความละเอียด 2400 x 1080 pixel ภายใต้ระบบปฎิบัติการ Android 9.0 Pie + One UI แบตเตอรี่ของ Galaxy A80 เรียกได้ว่าอึดทนทานมากด้วยแบตเตอรี่ 3,700 mAh รองรับ Fast
นอกเหนือจากรถสปอร์ต, ซุปเปอร์คาร์ หรือมอเตอร์ไซค์สองล้อคันงาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่ารถกระบะสายแกร่ง และดุดัน คือยานพาหนะอีกประเภทที่ยืนหนึ่งจับจองพื้นที่ความคลั่งไคล้ในหัวจิตหัวใจของชายผู้หลงใหลในเครื่องยนต์อย่างพวกเรา และในช่วงเวลาที่งานแสดงนวัตกรรมยานยนต์สุดยิ่งใหญ่อย่าง Bangkok International Motor Show 2019 วนเวียนมาบรรจบแบบนี้ เราก็ไม่พลาดที่จะไปเก็บภาพบรรยากาศมาฝาก กับทีเด็ดที่เชื่อว่าชาว UNLOCKMEN ได้เห็นเป็นต้องตาลุกวาว กับบูธของ Mitsubishi Motors ที่ขนเอายนตกรรมต้นแบบความโหดดิบ ตามคำจำกัดความ ‘ABSOLUTELY Beyond Tough’ อย่าง Mitsubishi Triton Absolute มาให้สาวกกระบะแต่งเต็มสายดุ ได้ยลโฉมกันชัด ๆ ในงาน Motor Show 2019 เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดย Mitsubishi Triton Absolute คันนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากการออกแบบภายใต้แนวคิด Build-up Robustness ตีบวกเพิ่มความแกร่งดุดันกันแบบเต็มเหนี่ยว ที่มีความโดดเด่นกับมาดคมเข้มสะกดทุกสายตาด้วยตัวถังสีดำสนิท ชูจุดเด่นของงาน Metallic Design ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความแข็งแกร่งของโลหะด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่สีเทา-ดำ ตัดกับขอบโครเมียมสีเงินแวววาวที่ล้อมรอบกรอบป้องกันชุดไฟตัดหมอกเอาไว้ พร้อมแผงกันชนคาร์บอนที่ให้อารมณ์ความโหดและความสปอร์ตแบบเต็ม ๆ เสริมด้วยแผ่นกันกระแทกใต้ห้องเครื่องสีเงินตกแต่งด้วยชิ้นส่วนสีดำ-แดง ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกจุดเด่นดึงดูดสายตา
การสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกของจิตรกรแต่ละคนผ่านผ้าใบ พู่กัน สี และความคิดสร้างสรรค์จนเกิดเป็นผลงานระดับพรีเมียมทำให้ศิลปินหลายคนกลายเป็นศิลปินที่ทรงอิทธิพลต่อศิลปะตะวันตก วิธีเดียวที่จะได้เสพผลงานของศิลปินตะวันตกที่ชื่นชอบคือต้องบินไปยังทวีปยุโรป แต่ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันการเสพงานศิลปินที่เราหลงรักอาจไม่ยากเหมือนก่อนแล้ว เพราะผลงานมาสเตอร์พีซของศิลปินในลัทธิต่าง ๆ ถูกยกมาที่กรุงเทพฯ ในนิทรรศการที่มีชื่อว่า From Monet to Kandinsky นิทรรศการ From Monet to Kandinsky ก่อนหน้านี้จัดขึ้นที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีและประสบความสำเร็จล้นหลาม โชคดีที่คิวต่อจากกรุงเบอร์ลินคือกรุงเทพฯ โดยถือเป็นที่แรกของเอเชียที่ได้จัดแสดงนิทรรศการของโครงการนี้ พร้อมกับผลงานจิตรกรรมกว่า 1,500 ชิ้น ผ่านโปรเจกต์เตอร์ที่เคลื่อนไหวได้ รอให้ผู้ชื่นชอบและหลงใหลในศิลปะมารับชมงานศิลป์แบบ 360 องศา ผลงานที่ถูกนำมาจัดแสดงล้วนมาจากฝีมือยอดจิตรกรทั้ง 16 คน ที่เมื่อเห็นชื่อของจิตรกรและผลงานของเขาหลายคนจะต้องร้องอ๋ออย่างแน่นอน เริ่มตั้งแต่ศิลปินผู้มีอิทธิพลต่อวงการศิลปะตะวันตกอย่าง Claude Monet กับผลงาน Impression Sunrise หรือความประทับใจของพระอาทิตย์ขึ้นที่ชื่อของภาพนี้กลายมาเป็นชื่อลัทธิ Impressionism นอกจากนี้ยังมีผลงานของ Edger Degas ที่โดดเด่นเรื่องการวาดภาพประวัติศาสตร์ และ Pierre August Renoir กับศิลปะอ่อนช้อยสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกลึกซึ้ง ซึ่งศิลปินทั้งสองคนก็อยู่ในลัทธิ Impressionism ด้วยเช่นกัน ถัดจากลัทธิ