

Life
คิดว่ามองการณ์ไกล ที่ไหนได้ ‘SLIPPERY SLOPE’ อาวุธลับตรรกะวิบัติของคนคิดเองเออเอง
By: unlockmen January 31, 2021 136592
เวลาเกิดปัญหาขึ้นมาสักอย่างเนี่ย นอกจากการแก้ปัญหากันหัวหมุนแล้ว อีกสิ่งที่เรามักจะทำอย่างแข็งขันคือการหาต้นเหตุของเรื่องนั้น แล้วหยุดยั้งเจ้าต้นเหตุเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องชวนหัวแบบนี้ขึ้นอีก แต่ทว่าการขุดคุ้ยหาต้นตอนั้น เราต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อที่จะได้เจอสิ่งที่เป็นสาเหตุของมันจริง ๆ ไม่เช่นนั้นการคว้าสิ่งไหนขึ้นมามั่วซั่วอาจนำมาสู่ตรรกะวิบัติที่เรียกว่า ‘SLIPPERY SLOPE’ ทางลาดชันที่จะพาเราไปสู่เหตุการณ์คนละเรื่องกับเรื่องราวในตอนแรก ฟังดูไร้เหตุผลสิ้นดี แต่เชื่อไหมว่าคนเรามักจะมีข้ออ้างแบบนี้กันอยู่บ่อย ๆ มาทำความรู้จักกับตรรกะวิบัติชนิดนี้ พร้อมกับทางหนีทีไล่เมื่อเจอคนที่ใช้ตรรกะขาด ๆ แหว่ง ๆ แบบนี้
มาดูกันเต็ม ๆ ว่า เจ้า ‘SLIPPERY SLOPE’ เนี่ย มันคือความไร้เหตุผลยังไงกัน พูดให้เห็นต้นสายปลายเหตุง่าย ๆ คือ “A ทำให้เกิด B ที่จะทำให้เกิด C และ D และ E ไปเรื่อย ๆ จนถึง Z เพราะฉะนั้น A ทำให้เกิด Z นั่นเอง” ป้าบเข้าให้ แค่นี้ก็งงแล้วว่า A มันจะไปยัน Z ได้จริงหรอ พูดลอย ๆ อาจจะไม่เห็นภาพ งั้นลองใส่ตัวอย่างเข้าไปแบบนี้ “ถ้าเรายอมให้มีการแต่งงานเพศเดียวกันเกิดขึ้น (A) ก็จะทำให้คนรักร่วมเพศเปิดเผยมากขึ้น (B) ถ้าพวกเขาใช้ชีวิตครอบครัวกันจริง ๆ ประชากรก็จะลดลง (C) เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มนุษย์ต้องสูญพันธ์แน่นอน (D)” เห็นภาพกันแล้วใช่ไหมครับว่าการสรุปแบบเลยเถิดเนี่ย มันเป็นยังไง แถมมันยังเป็นอะไรที่เราคลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นความคิดเห็นแนวนี้ออกจะบ่อย โดยเฉพาะบน Social Network
มันแย่เพราะว่าเราไม่อาจได้ข้อสรุปที่แท้จริง หรือหาสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องได้เลย เราด่วนสรุปไปไกลจากต้นเหตุจนหาความเกี่ยวข้องกันไม่เจอ ต่อให้เหตุ A ทำให้เกิด B จริง แต่ใช่ว่าตัวมันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องอื่น ๆ จาก B ด้วย ต่อให้เรามองว่า มันก็มีส่วนบ้างนั่นแหละ แต่มันมีส่วนน้อยมากยังไงล่ะ มันหารลงไปเรื่อย ๆ จนถึงข้อสรุปสุดท้ายแล้ว มันแทบจะไม่เกี่ยวกันเลย
คนที่ชอบอ้างแบบ SLIPPERY SLOPE เนี่ย มักจะเหมือนคนมองการณ์ไกล มองไปข้างหน้า ทุกอย่างมีสาเหตุเป็นทอด ๆ แต่ความจริงแล้วมันแทบจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย ซ้ำร้ายเราอาจจะได้ยินเสียงแถด ๆ ของสีข้างของเขาโดยที่ไม่ต้องเงี่ยหูฟังเลยก็ได้
ลองดูตัวอย่างใหม่นี้ก็ได้ เพื่อความไม่จำเจ “ไร้ความรับผิดชอบเสียจริง! เธอไม่มีปากกา (A) เธอก็จะไม่มีอะไรจดการบรรยายในคาบเรียนนี้ (B) ต่อไปก็คงเรียนไม่ทันเพื่อน (C) แล้วก็สอบตกวิชานี้อย่างแน่นอน! (D)” ถ้าเป็นมุกตลกในวงเหล้าก็ยาวไกลไปถึงเรียนไม่จบ ไม่มีงานทำ และอดตายในที่สุด แต่สำหรับในคอนเทนต์นี้ขอยกตัวอย่างกันแค่นี้ก่อน
ทีนี้มาดูกัน การไม่มีปากกาเนี่ย (A) มันทำให้เราไม่มีอะไรจดการบรรยายจริง ๆ นั่นแหละ เพราะฉะนั้นมันทำให้เกิด (B) จริง แต่ช้าก่อน! เราสามารถยืมปากกาเพื่อน (นาฬิกายังยืมกันเลย แค่ปากกาทำไมจะไม่ได้) หรือใช้โทรศัพท์อัดเสียงบรรยายแล้วนำไปทบทวนทีหลัง เพื่อยับยั้ง (B) ได้ และตาม Common Sense ของคนเราก็ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันอยู่แล้ว ไม่ต้องรอให้มันเลยเถิดไปถึง (C) และ (D) หรอกนะ
ต่อให้เป็นคนขี้เกียจ ไม่ยอมหาอะไรมาจด (ซึ่งอันนี้เป็น Ignorance ส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด ถ้าจะถกก็ต้องยกไปประเด็นใหม่นะครับ) ทำให้เกิด (B) จริงแบบ 100% เพราะไม่มีอะไรมาจดในคาบ แต่ไอ้การเรียนไม่ทันเพื่อนเนี่ย (C) อาจจะมีเปอร์เซ็นต์การเกิดเพราะ (B) แค่น้อยนิดก็ได้
ขอย้ำอีกทีตรงนี้สำคัญ คือการเรียนไม่ทันเพื่อน (C) เพราะไม่มีอะไรจดการบรรยายในคาบเรียนนี้ (B) มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่น้อยมาก และในทางกลับกัน การเรียนไม่ทันเพื่อน (C) อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการไม่ไม่มีอะไรจดการบรรยายในคาบเรียน (B) เลยก็ได้ อาจเป็นความไม่เข้าใจในเนื้อหาเป็นทุนเดิมก็ได้
เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ (A) เป็นต้นเหตุของทุกอย่างนั้น ก็เหมือนการบอกว่าปากกาหายแล้วได้ F นั่นแหละ
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะมันร้อยยี่สิบไปเลย เพราะนอกจากเราจะอ่านเกมชาว SLIPPERY SLOPE ได้ทันทุกท่วงท่าแล้ว เรายังต้องแก้เกมพวกเขาให้เป็นอีกด้วย ด้วยวิธีการเจรจาแบบง่าย ๆ ไม่เปลืองแรง
ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่แนะนำให้ตอกกลับกันด้วยความรุนแรงทั้งทางร่างกายและอารมณ์ เราเข้าใจว่าเหตุการณ์แบบนี้มันชวนโมโหและพาไปสู่การด่าทอกันได้ง่าย โดยเฉพาะชาวหัวร้อน แต่ไอ้การด่ากันด้วยความโมโหเนี่ย มันไม่แก้ปัญหาอะไรเลย ไม่ชักจูงไปสู่ความเข้าใจของฝ่ายไหนเลย คุยกันด้วยเหตุและผลนั่นแหละครับ ดีกับทุกฝ่ายด้วยประการทั้งปวง