

Life
Seoul vs Bangkok เดินนำมาอยู่ดีๆ ทำไมวันนี้ถึงตามหลัง
By: unlockmen October 25, 2016 45179
หากพูดถึงประเทศเกาหลีสักเมื่อประมาณ 20-30 ปีก่อน พวกเราคงเห็นภาพประเทศที่ล้าหลัง ยากจน เพิ่งฟื้นตัวจากการแบ่งแยกประเทศ และด้อยพัฒนาจากภัยสงคราม และจะยิ่งไม่เชื่อว่าพวกเขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจในฝั่งเอเชียได้ เพราะเมื่อมองไปทางซ้ายก็มีประเทศจีน ทางขวาเป็นญี่ปุ่น มหาอำนาจเจ้าของตลาดแห่งภาคพื้นทวีปนี้
เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาสามารถพัฒนาประเทศและเปิดระบบอุตสหกรรมเต็มรูปแบบ จนกลายเป็นประเทศที่มีรายได้สูงอันดับต้นๆ ของโลก อย่างรวดเร็ว โดยที่พวกเขารู้ว่าประเทศของตัวเองไม่ได้มีทรัพยากรที่เพียบพร้อม ดังนั้นเลยสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ทั้งระบบ แต่ก่อนที่จะพัฒนาเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เกาหลีใต้เล็งเห็นว่าจำเป็นต้องพัฒนาบุคลากรภายในประเทศเสียก่อน ซึ่งหากใครที่ไปเที่ยวประเทศเกาหลีใต้ ลองสังเกตุคนที่อายุเกิน 50 ขึ้น จะยังพอมองเห็นถึงลักษณะนิสัยที่บ่งบอกถึงความด้อยพัฒนาของบุคคลผ่านทางพฤติกรรม นิสัยใจคอที่ยังเป็นคนรุ่นเก่าของประเทศอยู่
เกาหลีใต้มองเห็นว่าสิ่งที่สำคัญในการพัฒนาประเทศไปข้างหน้าอย่างยั้งยืน คือการศึกษาต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง พวกเขาปลูกฝังอุปนิสัยการอ่านให้กับเด็กๆ รัฐบาลพยายามส่งเสริมให้มีหนังสือดีๆ ออกมาเพื่อเหมาะสมกับผู้อ่านทุกเพศทุกวัย จึงทำให้คนเกาหลีมีนิสัยรักการอ่าน และพยายามสร้างแนวคิดให้คนในชาติอยากที่จะเรียนสูงๆ เพื่อไปพัฒนาชีวิตของตัวเอง คนเกาหลีจึงทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้ศึกษาเล่าเรียนในระดับที่สูงที่สุดเท่าที่ตัวเองมีกำลังความสามารถ จนเป็นค่านิยมที่ว่าหากใครไม่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยจะเป็นเรื่องที่น่าอายมากในสังคม
และอาจเป็นความโชคดีของพวกเขาที่เคยเป็นเมืองขึ้น รวมถึงมีความสัมพันธ์อันดีกับชาติตะวันตก จึงทำให้คนเกาหลีสามารถเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนยังต่างประเทศได้ง่าย โดยมีค่าใช้จ่ายพอๆ กับการเรียนในประเทศ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า คนเกาหลีกระจายไปศึกษาตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก
อีกทั้งประเทศเกาหลีใต้ได้เรียนรู้ความล้มเหลวจากการเป็นเมืองขึ้น ถึงเรื่องนี้จะเป็นจุดด่างพร้อยในความโศกเศร้า แต่ก็ยังมีความโชคดีซ่อนเร้นอยู่ เพราะเกาหลีใต้ได้รับอิทธิพลด้านนิสัยมาจากประเทศ ญี่ปุ่น จีน ที่เป็นเจ้าอาณานิคมของเขา คนเกาหลีมีความเป็นชาตินิยมเหมือนญี่ปุ่น และขยันอดทนเหมือนกับคนจีน ไม่โกงกินแบบชาวตะวันตก ทำให้ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาสามารถพัฒนาประเทศไปได้อย่างรวดเร็ว คนในประเทศต่างทำงานกันอย่างหนัก และส่งเสริมการใช้อุตสาหกรรมภายในประเทศตัวเอง เราจะไม่เห็นคนเกาหลีใต้ใช้รถยี่ห้ออื่นนอกจาก Kia , Hyundai , Daewoo หรือใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้านอกจาก Samsung และ LG อุตสาหกรรมภายในชาติจึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนสามารถเทียบเท่าชาติอื่นๆ ได้
นอกจากนี้พวกเขายังใช้สื่อในการเข้าถึงผู้คนได้อย่างง่ายที่สุดคือ อุตสาหกรรมบันเทิง และสอดแทรกวัฒนธรรมเอกลักษณ์ของตัวเองลงไปอีกด้วย จึงเกิดเป็น K- Pop Culture Fever อาทิ เที่ยวตามรอยซีรีย์ที่ทางรัฐบาลสร้างสถานที่เหล่านั้นขึ้นมาเพื่อดึงดูดให้ผู้คนหันมาเที่ยวที่เกาหลี และชื่นชมวัฒนธรรมของพวกเขาไปในตัวพร้อมๆ กัน การท่องเที่ยวจึงกลายเป็นแหล่งทำเงินที่สามารถสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศจำนวนมหาศาล เพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไป
ซึ่งจริงๆ แล้ว เงินในการพัฒนาประเทศที่มาจากภาษีประชาชน เพียงพอสำหรับต่อการพัฒนาสร้างชาติอยู่แล้ว แค่ต้องไม่มีการคอรัปชั่นเกิดขึ้น ในสมัยก่อนเกาหลีเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการคอรัปชั่นอย่างมาก แต่แล้วเกาหลีมีความโชคดีที่ได้ผู้นำที่มีเสถียรภาพแข็งแกร่งในอำนาจ และมีจริยธรรม เขาใช้อำนาจแบบเผด็จการ เพื่อปราบปรามคอรัปชั่นให้หมดสิ้นไปจากประเทศ และเปลี่ยนแปลงระบบการตรวจสอบข้าราชการอย่างเข้มงวด ผู้ที่กระทำความผิดต้องได้รับการลงโทษให้ถึงที่สุด จนทำให้ปราศจากการคอรัปชั่นหมดสิ้นไปจากประเทศ
แล้วเราลองมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทย สิ่งที่เราได้พูดมาทั้งหมดล้วนตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่เรื่องการคอรัปชั่น ประเทศไทยเป็นประเทศขึ้นชื่อในนี้ติดอันดับต้นๆ ของโลก แม้พวกเราคนธรรมดาจะรู้ถึงปัญหาแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ได้ และเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมากว่า ทำไมคนไทยจึงต้องเกรงกลัวให้กับผู้มีอำนาจที่ใช้อำนาจของตัวเองไปกับผลประโยชน์ส่วนตัว ทั้งที่พวกเขากำลังใช้สิทธิจากอำนาจอธิปไตยของพวกเราอยู่
มิหน่ำซ้ำระบอบคอรัปชั่นยังถูกปลูกฝังให้เด็กไทยโดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น เงินแป๊ะเจี้ยะ การจ่ายเงินให้กับสถานศึกษา เพื่อให้ลูกได้เรียนโรงเรียนดีๆ คนที่ยากจนต่อให้เรียนเก่งก็หมดสิทธิ์ (เด็กที่มีโอกาสกลับไม่อยากเรียน แต่เด็กที่ไร้โอกาส กลับไม่มีโอกาสได้เรียน ) ในขณะแม่พิมพ์ของชาติยังบิดเบี้ยว สิ่งที่พิมพ์ออกมาจะสมมาตรได้อย่างไร
การศึกษาจึงเป็นจุดอ่อนที่ปรากฎชัดเจนยิ่งขึ้น เด็กไทยไม่ฝักใฝ่ในการเรียน เอาจิตใจไปสนใจในเรื่องอื่น ซึ่งจะเห็นได้ว่าเด็กไทยมีค่านิยมที่ไม่อยากเรียนต่อในระดับสูงเป็นจำนวนมาก มักจะยกเอาข้ออ้างจาก Bill Gate หรือ Steve Jobs ที่ไม่ต้องเรียนถึงมหาวิทยาลัยก็สามารถประสบความสำเร็จได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสัยรักการอ่าน คนอ่านหนังสือน้อยลง และไม่อ่านอย่างรอบคอบ หากคุณได้เดินทางไปเที่ยวในประเทศที่เจริญแล้ว จะสังเกตุได้ว่าพวกเขามักพกหนังสือไว้สำหรับอ่านฆ่าเวลา แต่คนไทยนั้นจะหยิบเอา Smartphone ขึ้นมาเล่นแทน อัพเดทเรื่องที่ไม่ค่อยจะจำเป็นสำหรับชีวิต ไม่งั้นจะมีวลีเด็ดที่ว่า คนไทยอ่านไม่เกิน 8 บรรทัด เกิดขึ้นได้อย่างไร
ไหนจะเรื่องความไร้ชาตินิยมอย่างรุนแรง คนไทยมักก้มหัวให้กับชาวต่างชาติ ไม่เชื่อในศักยภาพของตนเอง หลงคารมณ์ไปกับชื่อแบรนด์ที่อยู่บนสินค้ามากกว่าคุณภาพของมัน โดยมองว่าอะไรที่สร้างขึ้นในประเทศไทยเป็นของไร้คุณภาพ ยิ่งเป็น Made in Thailand ยิ่งไม่ได้รับการยอมรับ แต่หารู้ไม่ว่า ของแบรนด์เนมจากต่างประเทศหลายๆ อย่างก็ถูกผลิตขึ้นในไทย เพียงแต่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง หากคนไทยจะสร้างอะไรไม่เคยแพ้ชาติใดในโลก
เราจึงได้นำการวิเคราะห์ของคุณ วิกรม กรมดิษฐ์ ที่เคยอธิบายจุดอ่อนของคนไทย ที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาประเทศไปเทียบประเทศอื่นๆ ได้อย่างชัดเจนดังต่อไปนี้
1.คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก
โดยเฉพาะหน้าที่ต่อสังคม เป็นประเภทมือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็นธุรกิจการเมือง ธุรกิจราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไปเรื่อยๆ
2. การศึกษายังไม่ทันสมัย
คนไทยเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อายไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงต้องตามหลังชาติอื่นๆ
3.มองอนาคตไม่เป็น
คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนจะทำงานแบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน
4.ไม่จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่
ทำงานแบบผักชีโรยหน้า หรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่ให้ความสำคัญกับสัญญา หรือข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อยๆ
5.การกระจายความเจริญยังไม่เต็มที่
ประชากรประมาณ 60 -70% ที่อยู่ห่างไกลมักจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเอง และชุมชนซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐต้องส่งเสริม
6.การบังคับกฎหมายไม่เข้มแข็งพอ
และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจ หรือบริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อนไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง
7.อิจฉาตาร้อน
สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษเลี่ยงเป็นศรีธนญชัยยกย่องคนมีอำนาจ มีเงิน โดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายกว่าผู้ก่อการร้าย ดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามา เพราะกลัวเปลืองตัว
8.เอ็นจีโอค้านลูกเดียว
เอ็น จีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์ เอ็นจีโอดีๆ ก็มี แต่บ้านเรามีน้อย บ่อยครั้งที่ประเทศเสียโอกาสอย่างมหาศาลเพราะการค้านหัวชนฝา เหตุผลจริงๆ ไม่พูดกัน
9.ยังไม่พร้อมในเวทีโลก
การสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลกของเรายังขาดทักษะ และทีมเวิรคที่ดี ทำให้สู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงค์โปร์ไม่ได้
10.เลี้ยงลูกไม่เป็น
ปัจจุบันเด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ช่วยตัวเอง ต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเองขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคม
ที่มา วิกรม กรมดิษฐ์
ออกอากาศทางวิทยุ อสมท.
รายการซีอีโอวิชั่น
10-11 มกราคม 2550
แม้ว่าสิ่งที่เรานำมาเสนออาจจะดูเป็น Aggressive เกินไป ทำให้หลายคนไม่พอใจจนถึงขั้นรับไม่ได้ แต่มันคือเรื่อจริงที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน หากเรายังคงหลอกตัวเอง ประเทศชาติเรา จะยังคงเป็นประเทศโลกที่ 3 ต่อไป ไม่สามารถพัฒนาไปในด้านใดด้านหนึ่งได้เสียที
ดังนั้นเราอยากให้นำบทเรียนจากการสร้างชาติของคนเกาหลี มาเป็นตัวอย่างสำหรับประเทศไทย ประเทศที่เคยผ่านการแบ่งแยก การมีสงครามกลางเมือง การเป็นเมืองขึ้น แต่กลับลุกขึ้นปฎิวัติทั้งระบบใหม่ เริ่มจากการศึกษา เพื่อนำมาพัฒนาคน และปราบปรามการคอรัปชั่นอย่างจริงจัง ประเทศก็สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ประเทศไทยทั้งที่มี บุคลากร และทรัพยากร ชั้นดีอยู่ในมือแล้ว ทำไมถึงไม่สามารถสร้างชาติให้เจริญได้เหมือนกับเกาหลี ขอแค่เพียงเลิกปิดหูปิดตา หลอกตัวเอง ยอมรับว่ามีปัญหา และเดินหน้าแก้ไขมัน เพียงเท่านี้ประเทศเราก็จะได้ขึ้นเป็นโลกที่ 1 และ 2 ภายในอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน