

Business
TALK LIKE A PRO คุยอย่างเซียน พิชิตใจใครก็ได้ภายใน 30 วินาที
By: unlockmen February 15, 2018 93013
โอกาสในชีวิตของเราทุกคนมันสั้น เวลามา มันจะมาภายในไม่กี่วินาที และไม่ให้เราตั้งตัว ถ้าชวดเมื่อไรก็อาจจะไม่วนกลับมาอีก เลยมีคนคิดวิธีที่เรียกว่า Elevator Pitch หรือหลักการพูดให้โดนใจคนฟังในไม่กี่วิ เหตุผลที่เขาใช้คำนี้ เพราะไว้เปรียบเทียบกับเวลาที่เราไปเจอใครสักคนระหว่างขึ้นลิฟต์ แล้วต้องขายของเขาให้ได้ระหว่างลิฟต์เคลื่อน เฉลี่ยเวลารวม ๆ ก็ไม่เกิน 1 นาทีเท่านั้นเอง ลองดูตัวอย่างจากในคลิปดูแต่ละเคสไว้ว่าเราอยากเป็นแบบคนไหนกันแน่
เพื่อคว้าโอกาสแบบสบาย ๆ ไม่ว่าจะสัมภาษณ์งาน ปาร์ตี้ค็อกเทล หรือระหว่างขึ้นลิฟต์เกิดใครที่สนใจแล้วอยากสานต่อด้วยขึ้นมา เราแนะนำให้คุณใช้วิธีเปิดบทสนทนาปิดการขายที่ Paul McDonald ตำแหน่ง senior executive director ของ staffing firm Robert Half เคยให้ไว้กับ Business Insider ทั้ง 6 วิธีนี้
“Take your resume and LinkedIn profile and go through it thoroughly,” said McDonald.
จะพูดให้โดนใจ ก่อนอื่นควรต้องตอบคำถามให้ได้ก่อน 3 ข้อ เราเป็นใคร ทำอะไรอยู่ จะไปไหนหรือมองหาอะไร คนที่สงสัยว่าจะรู้เรื่องตัวเองไปทำไม? บอกเลยว่ามันเป็นพื้นฐานอย่างหนึ่งที่จะทำให้คุณไปได้สุด และเป็นหนึ่งในวัตถุดิบสร้างเรื่องเล่าขั้นต่อไป ซึ่งตรงกับ Nancy Collamer ที่เป็น career coach และเป็นหนึ่งในนักเขียนที่เขียน article ให้กับ Forbes ด้วยเช่นกัน เพราะด่านแรกของเรื่องเล่ามันต้องกลับมาดูว่าเรามีอะไรอยู่ในมือที่จะใช้ขาย เรื่องนี้ให้เป็นคนเก่งแค่ไหนมาอธิบายก็ไม่มีทางรู้ดีกว่าตัวคุณ!
“After studying your resume and LinkedIn profile, write down four bullet points that explain why you’re great.” – McDonald.
รู้แล้วว่าจะเล่าอะไรจากข้อแรก เรื่องต่อไปที่ไม่ควรมองข้าม คือการหา other strong ideas มาสนับสนุน จะโฟกัสเอาความถึก ทน สกิลประสบการณ์โชกโชนจนสำเร็จมาเสริมได้ก็ยิ่งดี จะใช้เคสความสำเร็จมาสร้างความน่าเชื่อถือก็ได้ แต่ให้ระวังพวกเรื่องเล็ก รายละเอียดเยอะที่ไม่เกี่ยวมันจะทำให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นก่อนจะเริ่ม 30 วินาทีต่อไปนี้ คุณต้องคัดเรื่องออกมาเป็น bullet สำคัญไว้ต่อยอดเรื่องเล่าหน่อย ลำดับดี ๆ ย่ิงช่วยให้เจ๋งขึ้นด้วย
“People Love stories” – McDonald
คนชอบฟังเรื่องเล่า นักขายที่ดีก็ต้องมีเรื่องเล่าติดไปสักเรื่องสองเรื่อง วิธีนี้ทำให้เขา inception เราอยู่ในสมอง จำหน้าไม่ได้ก็ยังจำเรื่องเล่าได้ ซึ่งเรื่องนี้มันจัดอยู่ในหนึ่งในวิธีพัฒนาตัวเองในหนังสือ Public Speaking and Influencing Men in Business ที่บอกว่าการเล่าเรื่องมันเชื่อมความละเอียดอ่อนไว้ พอมีเรื่องเล่าก็จะเข้าถึงหัวข้อนั้นได้ดี ทำนองเดียวกับการรู้ว่ามีรุ่นพี่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันมามีทติ้งครั้งนี้ แล้วเราเข้าไปทักด้วยคำถามว่า “ผมรหัส XXX พี่รหัสอะไร” จากนั้นก็ค่อยเล่าลื่น ๆ เรื่องสถานที่หรือเรื่องอื่นต่อ วิธีนี้แหละที่ Keep in touch
ไม่เพียงแค่ข้อสรุปจากหนังสือเท่านั้นที่บอกว่าเรื่องเล่าสามารถสร้างเสน่ห์ได้ แต่ผลวิจัยของนักวิจัยจาก University of North Carolina at Chapel Hill และ SUNY Buffalo ยังที่ออกมาชี้ความได้เปรียบเกี่ยวกับการพูดเล่าเรื่องอีกว่า “ผู้ชายกับเรื่องเล่าดี มันช่างเย้ายวนเหลือเกิน” เพราะทดสอบแล้วจากชาย 100 คนและผู้หญิง 100 คน พบว่า ผู้หญิงเทใจให้ผู้ชายเล่าเรื่องได้ดีมากกว่าคนที่เล่าเรื่องไม่ได้ หรืออาจจะเป็นคนลำดับได้ไม่เก่งแถมถ้าโยงไปเรื่องพิชิตใจด้วยแล้ว การเล่าเรื่องนี่ถือว่ากลายเป็นแต้มบวกคะแนนสำคัญเลย เรียกได้ว่า “คารมเป็นต่อรูปหล่อเป็นรอง”
Dumbing down complex ideas is a “real art,” – McDonald
คำซับซ้อนมันฆ่าคนตายมานักต่อนัก นักเล่าเรื่องที่ดี มีคนชอบเยอะต้องลดอัตตาลงก่อน โชว์ความเก่งไม่ได้แปลว่าต้องทำให้ทุกอย่างยาก พูดก็เช่นกัน ถ้าพูดให้ง่ายไว้มันจะน่าดึงดูด แต่ถ้าใครยังไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงเพราะใช้คำยาก คิดซับซ้อนมาจนชิน อาจจะใช้ 5 วิธีย่อยคำให้เคลียร์ได้จาก enchanting market กับตัวเองเพื่อประยุกต์ก่อนเล่าเรื่องเลย
หลังเล่าเรื่องแล้วทิ้งจังหวะไป ปกติแล้วคนฟังจะอยากฟังเพิ่มขึ้นแล้วต้องเดินตามเราออกมาหรือขอให้เราเล่าต่อแบบตัวอย่างคลิปสาวคนสุดท้ายด้านบน แต่ถ้ามันไม่ได้ผล ตั้งคำถามให้ดีก่อนว่าเรื่องเล่าของคุณจับใจพอไหม ถ้ายังลองบิดเรื่องเล่าไปกำหนดฮุคใหม่ให้โดน วันนี้ไม่โดนวันหน้าต้องดีขึ้น
ส่วนสำคัญอีกเรื่องที่ต้องดูแลเป็นพิเศษไม่แพ้กันคือเรื่องเวลา ลองจับเวลาดูว่าเรื่องที่เล่ากับท่าทางทั้งหมดของเรามันจบภายใน 30 วินาทีไหม หรือเกินกว่านั้น ถ้าเกินควบคุมเวลาให้กระชับหน่อย ซ้อมใหม่บ่อย ๆ ลองตัดคำหรือเรื่องราวให้ลงตัว แต่ไม่ใช่แค่เรื่องเวลาอย่างเดียวนะ ความเร็วก็มีผล ถ้าเกิดพูดรัวเป็นห่ากระสุนมันก็มีสิทธิชวดได้ง่าย ๆ เราเลยเก็บเรื่อง Speech rate มาฝาก สำหรับคนที่คิดว่าคุยปกติมันต้องเท่าไร ปกติก็อยู่ระหว่าง 120 – 200 คำต่อนาที ถ้าแค่ครึ่งนาทีเราก็มาหาร 2 ลงอีกก็ราว ๆ 60 คำ หรือ 100 คำ
คนส่วนใหญ่มองข้ามเรื่องบุคลิกภาพเพราะมัวไปวนเวียนกับสิ่งที่ต้องพูด แต่สิ่งที่คนอยากเห็นจริง ๆ มันคือเรื่องกับท่าทางที่ไปด้วยกัน ตั้งวิดีโอถ่ายตัวเองไว้ตอนกำลังเล่าเรื่องแล้วย้อนดู คุณจะรู้ว่าจุดบอดคืออะไร น่าสนใจแล้วหรือยัง เพราะปกติคนฟังจะเริ่มตัดสินคุณทันทีที่คุณออกปากพูด ดังนั้นแสดงออกให้ประทับใจ ผ่อนคลาย เป็นธรรมชาติออกมาซะ แล้วอย่าลืมทำตัวให้คุ้นกับเรื่องที่เล่าด้วยจะได้ยิ่งดูน่าเชื่อถือ
แต่แค่นั้นยังไม่พอมันต้องมีใครสักคนที่คุณไว้ใจ ก่อนออกสนามจริงเพื่อปิดจุดอ่อนให้ครบ ใช้วิธีให้แก๊งค์เพื่อนหรือคนสนิทช่วยดูแล้วให้ feedback กลับ ถามไปเลยแบบใจ ๆ ว่า “นายว่าเราควรเพิ่มตรงไหน” มีคนช่วยดู ช่วยปรับ หลายหัวยังไงก็ดีกว่าหัวเดียว!
แรก ๆ อาจจะยังรู้สึกฝืน ๆ เพราะความไม่คุ้น ตอนมองตัวเองในคลิปแล้วยังรู้สึกแปลก ๆ ทำตัวไม่ถูก แต่ถ้าฝึกเป็นประจำเราจะค่อย ๆ พัฒนาเรื่องการพูดและบุคลิกภาพของตัวเองขึ้นทีละก้าว ที่สำคัญไม่ใช่แค่เรื่องพูดชนะใจด้านเดียวเท่านั้นที่เราจะได้ แต่ด้านอื่นอย่างการจับประเด็นหรือรู้จักตัวเองยังเป็นบันไดให้ก้าวไปใกล้เป้าหมายยิ่งกว่าเดิมในทุก ๆ วัน