

Life
‘อยากดีเหมือนคนอื่น แต่ไม่ยอมลงมือทำ’ เข้าใจที่มาของภาวะขี้แพ้ และหนทางสู่การเป็นผู้ชนะ
By: unlockmen August 29, 2020 188220
หลายคนคงเคยมีช่วงเวลาที่เรียกตัวเองว่าเป็น ไอ้ขี้แพ้ (Losers) อยู่บ้าง บางคนอาจจะเรียกตัวเองแบบนั้นเพียงชั่วคราว เพราะเจอกับความล้มเหลวมา แต่พอเวลาผ่านไปสักพักก็อาจลืมมันไป แต่สำหรับบางคนอาจเจอกับปัญหาที่ซับซ้อนกว่านั้น จนอาจตัดสินไปแล้วว่าตัวเองเป็นไอ้ขี้แพ้ตัวจริง และไม่มีวันที่จะเป็นผู้ชนะได้ (winners) หรือ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้
ซึ่งในบทความนี้ UNLOCKMEN อยากอธิบายให้ฟังทุกคนเข้าใจว่า ไอ้ขี้แพ้ อาจเป็นสิ่งที่เราสร้างกันขึ้นมาเอง และสามารถเปลี่ยนแปลงกันได้
ก่อนอื่นเราอยากให้ทุกคนเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ไอ้ขี้แพ้’ (Losers) ตรงกันก่อน ในบทความนี้เราหมายถึง
“คนที่อยากเป็นเหมือนกับคนอื่นที่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ยอมลงมือทำอะไรเพื่อให้ตัวเองไปอยู่ในจุดเดียวกับคนเหล่านั้น อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ หรือความสามารถเหมือนคนอื่น (แต่ก็ไม่ยอมพัฒนาตัวเอง) กล่าวโทษเรื่องนั้น เรื่องนี้ว่าเป็นอุปสรรค์ (แต่ก็ไม่ยอมลงมือแก้ไข)”
ซึ่งที่มาของ losers เราเชื่อว่า ไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับนิสัยขี้แพ้ แต่พวกเขาล้วนเคยผ่านประสบการณ์แย่ๆ มาก่อน เช่น เคยถูกผู้ที่มีอำนาจ (เช่น ครู หรือผู้ปกครอง) คุกคาม เคยถูกกลั่นแกล้งในวัยเด็ก เคยอกหักจากคนรัก หรืออาจเคยพยายามทำงานที่ยิ่งใหญ่ให้ประสบความสำเร็จ แต่สุดท้ายต่อให้พยายามยังไงก็ล้มเหลวอยู่ดี
เหตุการณ์นี้จึงกลายเป็นปมในใจของเขา และทำให้เขาสูญเสียความทะเยอทะยานในการทำสิ่งต่างๆ ไป เป็นต้น
ประสบการณ์แย่ ๆ เหล่านี้ได้หล่อหลอมให้พวกเขากลายเป็นไอ้ขี้แพ้ ดังนั้น “อาการขี้แพ้จึงเป็นเรื่องของความเชื่อ (Mindset) ไม่ใช่เรื่องของธรรมชาติ” กล่าวคือ ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วเป็นไอ้ขี้แพ้โดยสมบูรณ์ และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
ซึ่งคำถามที่สำคัญคือ คนที่มีความเชื่อแบบขี้แพ้ (loser mindset) ติดตัวจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือไม่? เพราะถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง นิสัยขี้แพ้ก็มีข้อดีนะ เพราะมันช่วยป้องกันเราจากความเครียดและแรงกดดันที่เกิดจากความรับผิดชอบในการตัดสินใจที่อาจจะผิดพลาด โดยการกระตุ้นให้เราละทิ้งความรับผิดชอบ ยกหน้าที่นั้นให้เป็นของคนอื่น
อย่างไรก็ตาม การเป็นไอ้ขี้แพ้ก็มีค่าใช้จ่ายที่หนักหนาสาหัสเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น การไม่มีความสุขในชีวิต (เพราะมองโลกในแง่ลบมากเกินไป) ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ (แต่ก็ไม่คิดเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงตัวเองได้) ไม่มีกระจิตกระใจในการทำสิ่งต่างๆ (เพราะไม่คาดหวังก้าวหน้า ถ้าเป็นเรื่องงานก็เหมือนทำงานไปวันๆ) เป็นต้น
แถมการเป็นไอ้ขี้แพ้ยังสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อสุขภาพจิตด้วย เพราะคนขี้แพ้มีโอกาสได้รับความเจ็บปวดทางอารมณ์จากภาวะซึมเศร้ามากกว่าคนกลุ่มอื่นถึง 25 เท่า ส่วนงานวิจัยชิ้นหนึ่งจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พบว่าคนขี้แพ้มีโอกาสที่จะได้รับความเจ็บปวดจากภาพพจน์ทางเพศเชิงลบ (เช่น ขี้เหร่ อ้วน ฯลฯ ) มากกว่าคนกลุ่มอื่นถึง 5 เท่า นอกจากนี้ ความรู้สึกเชิงลบ ได้แก่ ความหมดอาลัยตายอยาก ความสิ้นหวัง และความเกลียดชังตัวเอง ยังเป็นสิ่งที่พบเจอในกลุ่มขี้แพ้ (Go-nowhere Lowlife Losers) ได้บ่อยกว่าในคนปกติถึง 3 เท่า
แม้ความคิด Loser Mindset จะเป็นพิษภัยต่อเรา แต่สามารถแก้ไขได้อย่างที่บอกไปแล้ว เราเลยอยากจะมาพูดถึงแนวทางการเปลี่ยนความคิดจากขี้แพ้เป็นผู้ชนะกัน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจและนำไปปรับใช้กับตัวเอง เพื่อการเลิกเป็นผู้แพ้ทั้งในสายตาของตัวเองและคนอื่นเสียที! จะมีวิธีใดบ้าง ไปดูกันเลย
หาเป้าหมายในการทำสิ่งต่างๆ
ปัญหาหนึ่งของการเป็นคนขี้แพ้ คือ พวกเขามักขาดเป้าหมายในการใช้ชีวิต พอขาดเป้าหมาย ก็ขาดแรงจูงใจในการทำงาน ส่งผลให้พวกเขาไม่มีกระจิตกระใจ และไม่ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด ซึ่งเป็นอุปสรรค์ต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของพวกเขาอีกด้วย (สร้างผลเสียให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว)
ดังนั้น การทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตหรือการทำงาน ต้องมีการระบุเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะทำไปเพื่ออะไร เช่น เพื่อเงิน เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าทำได้ เพื่อเพื่อสร้างความประทับใจจากคนอื่น เป็นต้น พอมีเป้าหมายหรือความคาดหวังที่ชัดเจนแล้ว แรงจูงในการทำสิ่งต่างๆ ก็จะตามมาเอง
สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตั้งเป้าหมายอย่างไรดีเราอยากแนะนำให้ลองอ่านบทความชิ้นนี้ดู: https://www.unlockmen.com/why-your-goal-arent-success/
เลิกบ่น แล้วลงมือทำซะ!
อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า ไอ้ขี้แพ้มักไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่ยอมลงมือทำอะไรเลย (หรือยอมเจ็บตัว) จึงไม่ทำให้ได้อะไรเพิ่มขึ้นมา ดังสำนวนฝรั่งที่ว่า ‘no pain no gain’ ดังนั้น ถ้าไม่ชอบในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ ยังไงก็ต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงมันซะ! แต่อย่าใช้เวลาคิดนานนะ เพราะการเปลี่ยนแปลง ยิ่งเริ่มต้นได้เร็ว ก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงและเข้าใกล้การประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นเหมือนกัน
ตั้งสติ และควบคุมตัวเองให้ได้
บางทีคนที่มีนิสัยขี้แพ้ อาจปล่อยตัวปล่อยใจมากเกินไป จนถูกอารมณ์ด้านลบ (เช่น ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความโกรธ) ครอบงำได้ ดังนั้นหากเราต้องการก้าวข้ามไอ้ขี้แพ้ในตัวเอง เราต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ได้ เริ่มจากการ “ไม่ตอบสนองต่อเรื่องแย่ ๆ ด้วยพฤติกรรมแย่ ๆ” (เช่น จมอยู่กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต หรือ ก่นด่าหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานเมื่อถูกตั้ง Comment ในไอเดียผลงานที่นำเสนอ เป็นต้น) แต่ใช้วิธีอื่นแทน เช่น ใช้การปลง (เช่น ปลงกับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต) หรือ ใช้ความเห็นอกเห็นใจ (เช่น คิดว่าคนที่ขับปาดหน้าเราอาจมีธุระเร่งด่วนมาก ๆ) เป็นต้น พอเราฝึกฝนจนกระทั่งเรื่องแย่ ๆ ไม่สามารถทำอะไรเราได้แล้ว เราก็จะแข็งแกร่งขึ้นและเลิกเป็นขี้แพ้ไปได้เองโดยอัตโนมัติ
อย่าใช้เวลาอยู่กับปัญหานานเกินไป
เหมือนที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่า ไอ้ขี้แพ้มักมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้วย เพราะเมื่อไอ้ขี้แพ้มักพ่ายแพ้ต่ออารมณ์ด้านลบ เช่น ความโกรธ หรือ ความเครียด พวกเขาเลยเสียเวลาและเสียพลังงานไปกับการบ่นจมปลักอยู่กับปัญหา จนการแก้ไขปัญหาเกิดขึ้นได้ช้า ดังนั้น ขี้แพ้จึงต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ เลิกโฟกัสแต่ผลด้านลบของปัญหาเพียงอย่างเดียว พร้อมกับฝึกฝนการบริหารเวลาเพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดี ซึ่งการบริหารเวลาอาจลองนำหลัก 80/20 มาใช้ดูก็ได้ (ใช้เวลา 20% ในการจมอยู่กับปัญหา และใช้เวลา 80% ในการลงมือทำ)
แต่งกายให้เหมือนเป็นผู้ชนะ
หากจำกันได้ เราเคยเขียนบทความอธิบายถึงผลของเสื้อผ้าการแต่งกายที่มีต่อจิตวิทยาในตัวเรา หรือ ทฤษฎี ‘Enclothed Cognition’ (สามารถไปย้อนอ่านกันได้ที่: https://www.unlockmen.com/enclothed-cognition/) การแต่งกายจึงมีส่วนช่วยให้เราสามารถเอาชนะอาการขี้แพ้ได้ด้วย (เช่นสร้างความมั่นใจ) อีกทั้งการแต่งกายที่ดียังมีประโยชน์ต่อการเข้าสังคม เพราะทำให้คนอื่นมองเราในแง่ดีด้วย
ดังนั้น ทุกคนจึงควรใส่ใจ เสื้อผ้า หน้า และทรงผมของตัวเอง ควบคู่ไปกับการสลัดความคิดแบบขี้แพ้ออกไป เป็นก้าวเล็ก ๆ ทีละก้าวที่ยิ่งเริ่มทำได้เร็วยิ่งดี เพื่อความสุขในการใช้ชีวิตประจำวัน และเพื่อไม่ให้ใครกล้ามาหาว่าเราเป็นไอ้ขี้แพ้ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะตัวเราเองครับ