เจาะลึกการทำงานระบบ T-Hybrid ใน New Porsche 911 GTS ขุมพลัง hybrid ที่ไม่เหมือนใคร

ทุกคนคงจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการเปิดตัว Porsche 992.2 generation 911 ตามหน้าจอกันไปเยอะแล้ว เราจึงขอเน้นข้อมูลในรุ่นที่น่าสนใจที่สุด นั่นก็คือ Carrera GTS เพราะนอกจากจะได้เครื่องยนต์ใหม่รหัส 9A3 ความจุ 3.6-liter ที่มาพร้อม electric turbocharge แทนที่ 3.0-liter twin-turbo boxer engine ยังเป็นครั้งแรกที่ Porsche คิดค้นการใช้งานขุมพลัง “T-Hybrid” ใน 911 ซึ่งช่วยให้ GTS มี output รวมมากถึง 532 hp แรงบิด 609 Nm

ระบบ T-Hybrid ของ Porsche นั้นแตกต่างจาก hybrid ทั่วไป ในขณะที่รถยนต์ปกติจะใช้หลักการผสมอากาศกับเชื้อเพลิงจำนวนมากขึ้นเพิ่อสมรรถนะที่แรงขึ้น แต่ก็มาพร้อมการสร้างมลพิษเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ระบบ T-Hybrid ของ Porsche ถูกคิดค้นใหม่ด้วยการรักษาอัตราส่วน air:fuel ratio เอาไว้เท่าเดิมเสมอที่ 14.7:1 ในทุกรอบเครื่องยนต์ไปจนแตะถึง red line เป็นการลดภาระให้เครื่องยนต์เพิ่มอายุการใช้งานไปในตัว

เคล็ดลับคือการใช้แบตเตอรี่ 1.9-kWh 400-volt ที่ติดตั้งอยู่ใต้ฝากระโปรงหน้าส่งพลังงานไปให้ electirc motor สองตำแหน่ง หนึ่งคือ traction motor ในชุดเกียร์ 8-speed dual-clutch PDK ทำงานร่วมกับ Single electric exhaust-gas turbocharger ซึ่งหากผ่าดูภายใน Electric Turbo จะเจอมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 14.7-hp ติดตั้งแทรกอยู่ระหว่าง compressor wheel และ turbine wheel ทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน (Boost generator) ช่วยหมุนเทอร์โบจากพลังงานไฟฟ้าเพื่อการตอบสนองที่รวดเร็วกว่า สร้างพละกำลังให้เครื่องยนต์ 3.6-liter flat-six ลบอาการ turbo lag ให้หายไป พร้อมส่งพลังงานไฟฟ้ากลับไปชาร์จในแบตเตอรี่ได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้เป็นที่มาของคำว่า “T-Hybrid” ซึ่งแตกต่างระบบปกติตรงที่มอเตอร์ไฟฟ้าใน GTS ใหม่ถูกใช้เพื่อช่วยเพิ่ม boost ไม่ได้มีหน้าที่ขับเคลื่อนโดยตรงเหมือนใน “E-Hybrid” นั่นเอง นับว่าเป็นสุดยอดระบบเทอร์โบที่ซับซ้อนในรอบ 30 ปีของ 911 เลยทีเดียว

911 GTS เป็นโมเดลแรกที่ใช้เครื่องยนต์ใหม่รหัส 9A3 เพิ่มความจุเป็น 3.6-liter 478 hp ในขณะที่เครื่องเก่าของ GTS รหัส 9A2 มีความจุ 3.0-liter 473 hp หากเทียบเฉพาะเครื่องยนต์จะมีแรงม้าเพิ่มขึ้นมาเพียง 5 hp เท่านั้น นั่นแปลว่าระบบ T-Hybrid ของ Porsche GTS สามารถสร้างทั้งแรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้นได้อย่างมหาศาล แต่แน่นอนว่าการมีชิ้นส่วนไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในระบบปิดแบบนี้ย่อมหมายถึงโอกาสเจอปัญหาและค่าดูแลรักษาที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้