

Life
ความคิดเป็นพิษอยู่รึเปล่า ? ตรวจสอบ 5 พฤติกรรมทางจิตที่บั่นทอนชีวิตของเรา
By: unlockmen September 28, 2020 189124
สิ่งที่ทำร้ายเราได้ ไม่ได้มีแค่ คนเลว สัตว์ร้าย หรือ อุบัติเหตุบนท้องถนน แต่จิตใจของเราเองก็สามารถทำร้ายเราได้เช่นกัน และว่ากันว่า จิตใจเราเองนี่แหละที่ทำร้ายเราได้อย่างเจ็บแสบมากที่สุด!!!
ฟรีดริช นิทเช่ นักปรัชญาชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เคยกล่าวในงานเขียนของตัวเอง “Thus Spoke Zarathustra” ว่า “ศัตรูที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่คุณเคยเจอมามักเป็นตัวคุณเสมอ” (the worst enemy you can meet will always be yourself) ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะในทางจิตวิทยามีสิ่งที่เรียกว่า ‘การทำร้ายตัวเองทางอารมณ์’ (emotional self-harm) ที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเราได้ไม่ต่างจากการทำร้ายตัวเอง แต่ร้ายแรงกว่า เพราะ บางคนอาจกำลังทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ตัว!
วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากมาเตือนทุกคนถึงภัยของ emotional self-harm โดยการบอกเล่า 5 อาการทางจิตที่เป็นการทำร้ายตัวเอง พร้อมแนะนำวิธีการป้องกัน และละเลิกนิสัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดีกันถ้วนหน้า!!
https://www.britannica.com/topic/Birdman-film
แม้การวิจารณ์ตนเองจะช่วยให้เราได้เรียนรู้ถึงข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ถ้าเราวิจารณ์ตัวเองในระดับที่รุนแรงมากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียหลายอย่าง เช่น ทำให้เราไม่ยอมรับความเสี่ยงในการทำงานยากๆ ไม่พิจารณาความคิดเห็นที่หลากหลาย (โทษตัวเองอย่างเดียว) เป็นต้น และร้ายที่สุดเราอาจเชื่อว่าตัวเองไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำงาน จนเราไม่สามารถทำงานได้อย่างมีความสุขอีกเลย self-criticism ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของเราด้วย เช่น ทำให้เป็นภาวะซึมเศร้า หรือ ทำร้ายร่างกายตัวเอง
ดังนั้น ถ้าพบว่ากำลังวิจารณ์ตัวเองหนักมากๆ ก็ควรรีบหาทางจัดการกับมัน เริ่มจากเรียนรู้ว่าเสียงวิจารณ์ที่อยู่ภายในใจเรา (inner critic) มีหน้าที่ปกป้องเราและต้องการให้เราหลุดพ้นจากประสบการณ์ร้ายๆ ที่พบเจอมาจากคนรอบข้าง เช่น ไม่ถูกยอมรับ หรือ ความอับอายขายหน้า เมื่อเราตระหนักถึงเรื่องนี้และเข้าใจใน inner critic มากขึ้นแล้ว เราก็จะสามารถหยุดยั้งมันได้ โดยการเปลี่ยนคำวิจารณ์ให้กลายเป็นคำให้กำลังใจแทน
https://gfycat.com/deepdeafeningfirecrest-yes-jim-carrey
การเอาอกเอาใจคนอื่นเป็นสิ่งที่ดี เพราะมันเป็นพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้มี ego และเห็นแก่ส่วนรวม แต่อย่างไรก็ดี การเอาอกเอาใจคนอื่นมากเกินไป หรือ มีนิสัยที่เรียกว่า ‘people-pleasing’ ก็ส่งผลเสียต่อกายและจิตใจของเราเหมือนกัน เพราะอาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคเหล่านี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง โรคอ้วน และโรคภัยไข้เจ็บที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ รวมถึง ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล และปัญหาทางจิตใจอื่นๆ
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้นิสัย ‘people-pleasing’ ส่งผลเสีย ก็เป็นเพราะ คนที่มีนิสัยแบบนี้มักชอบเอาอกเอาใจคนอื่นเพื่อเรียกร้องอะไรบางอย่าง เช่น การยอมรับ แต่สุดท้ายพวกเขาก็พบว่าต่อให้เอาใจคนอื่นมากแค่ไหน ก็ไม่ได้รับการยอมรับเท่าทีควรอยู่ดี บางครั้งพวกเขาไม่ได้ใส่ใจความต้องการของตัวเองเท่าทีควร เพื่อเอาอกเอาใจคนอื่น ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นคนเก็บกด และเมื่อคนอื่นก็ไม่ได้เข้าใจความต้องการของพวกเขาด้วย พวกเขาก็จะรู้สึกเหงาโดดเดี่ยวมากกว่าคนอื่น และสูญเสียสุขภาพจิตตามมา
ดังนั้น หากใครที่มีนิสัย ‘people-pleasing’ อยู่ก็ควรเลิกซะ และหันมาให้ความสำคัญกับความต้องการของตัวเองมากขึ้น ปฏิเสธที่จะรับงานที่ไม่จำเป็นต้องทำ กำหนดขอบเขตกับคนอื่น และทำตามใจของตัวเองบ้าง แล้วชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น!
ว่ากันว่า ผู้ชายถูกสั่งสอนกันมาว่าให้เก็บอารมณ์ และต้องทำตัวมีเหตุผลอยู่ตลอดเวลา แต่การเก็บอารมณ์ไว้ในใจนานๆ ก็ก่อให้เกิดความเครียดเรื้อรังได้เหมือนกัน เพราะมันทำให้เรารู้สึกไม่สบายใจจากการที่มีอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจเก็บไว้ในใจ แล้วพอเก็บความรู้สึกนี้ไว้นานๆ ก็ก่อให้เกิดความเครียดสะสมได้ ซึ่งความเครียดเรื้อรังส่งผลให้เราเป็นทั้งโรคหัวใจ ไมเกรน ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และเสียสุขภาพจิต
ใครที่เก็บกดอารมณ์อยู่ จึงต้องรู้จักวิธีการบริหารอารมณ์ที่ถูกต้อง ผ่านแนวคิดความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligence) ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการเข้าใจและควบคุมอารมณ์ของตัวเองและผู้อื่น
อันเป็นทักษะสำคัญของการใช้ชีวิตในยุคนี้ (สามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ที่นี่: https://www.facebook.com/unlockmenthailand/photos/a.178613818965403/1609717332521704/?type=3)
หลายคนคงเคย เวลาเศร้าๆ แล้วคนรอบข้างอาจบอกว่า “คิดบวกเข้าไว้ แล้วทุกอย่างจะดีเอง” แน่นอนว่า การคิดบวกมันก็ช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้นได้ แต่ถ้าคิดบวกโดยไม่สนใจความคิดด้านลบที่อยู่ในใจ มันก็คือการเก็บกดอารมณ์ ซึ่งก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าทำให้เกิดผลเสียอะไรบ้าง นอกจากนี้การพยายามคิดบวกมากเกินไป (หรือที่เราเรียกกันว่า พวกโลกสวย) ยังเป็นการปฏิเสธความจริง และไม่ซื่อสัตย์กับตัวเองและคนอื่นด้วย ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์อีก
คนที่ toxic positivity จึงต้องรีบเปลี่ยน mindset ใหม่ โดย หันมาสนใจความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองให้มากขึ้น เลิกคิดว่ามันไม่ดีที่จะแสดงความรู้สึกด้านลบ ซื่อสัตย์กับตัวเอง มองโลกตามความเป็นจริงมากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความเครียดเรื้อรัง และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข
https://actoroscar.blogspot.com/2014/09/alternate-best-actor-1983-al-pacino-in.html
การคิดถึงแต่เรื่องแย่ๆ เช่น คิดว่าคนอย่างเราคงไม่มีวันประสบความสำเร็จ คิดว่าคนอื่นมองเราไม่ดี คิดว่าตัวเองไม่สามารถพัฒนาได้ เป็นต้น ย่อมส่งผลเสียต่อทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต เพราะทำให้ขาดความทะเยอทะยานในการทำงาน หมดแรงจูงใจในการทำงาน ทำให้ไม่ก้าวหน้า และไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน นอกจากนี้ การมองโลกในแง่ร้ายมาเกินไปยังส่งผลเสียต่อสุขภาพกาย เพราะงานวิจัยบอกว่า มันเราทำให้มีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจมากขึ้น และยังส่งผลต่อสุขภาพจิต เพราะมันทำให้เราไม่ค่อยมีความสุข รู้สึกซึมเศร้า สิ้นหวัง และเกิดความคิดอยากฆ่าตัวตายได้
ดังนั้น อย่ามองโลกในแง่ลบมากเกินไป ควรมองโลกให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งทำได้โดยการตัดสินทุกเรื่องอย่างเป็นกลาง (หรือ ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์) ตั้งคำถามกับความคิดด้านลบบ่อยๆ นำความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นมาเป็นบทเรียนไม่ใช่ความกลัว ถ้าทำสิ่งเหล่านี้ได้ ความคิดลบก็จะรังควานชีวิตเราน้อยลง
อย่างไรก็ตาม คำแนะนำที่เรามอบให้ก็เป็นวิธีการแก้ไขคร่าวๆ ถ้าเกิดรู้สึกว่ามีอาการเหล่านี้ และมันรุนแรงเกินจะแก้ไขด้วยตัวเอง เราขอแนะนำให้ขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ เพื่อน หรือ แฟน ฯลฯ รวมถึง ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็น จิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยา เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป