

Entertainment
ใต้เสียงหวานใสคือตัวตนหนักแน่น: ‘อิมเมจ-สุธิตา’หญิงสาวผู้รู้สึกโชคดีทุกครั้งที่ได้ร้องเพลง
By: unlockmen December 28, 2018 132943
เราเชื่อว่าไม่ใช่เราแค่คนเดียวที่จำภาพสาวน้อยตาหยีกับเสียงหวานใสราวกับมีมนตร์สะกดวัย 16 ปีบนเวทีเดอะวอยซ์ไทยแลนด์เมื่อ 4 ปีก่อนได้ติดตา ไม่ใช่แค่เสียงหวานใส ความตั้งใจและความน่ารักเท่านั้นที่ทำให้เธอมีความหมายในความทรงจำของเรา แต่เพราะยิ่งกาลเวลาผ่านไป ยิ่งเธอเติบโต เรายิ่งเห็นว่าภายใต้กรอบแว่น เสียงหวานใสยังเต็มไปด้วยตัวตน วิธีคิดและการมองโลกที่หนักแน่นน่าสนใจ
ใช่ เรากำลังหมายถึง “อิมเมจ-สุธิตา ชนะชัยสุวรรณ” หญิงสาวผู้หลงใหลการร้องเพลงและรู้สึกโชคดีทุกครั้งที่ได้จับไมค์และเปล่งเสียงเล่าเรื่องราวออกมาผ่านเสียงดนตรี วันนี้อิมเมจไม่ใช่สาวน้อยคนเดิมบนเวทีเดอะวอยซ์ แต่คือหญิงสาววัย 20 ปีที่มาพร้อมความฝันเต็มเปี่ยม บางฝันดูไม่ยากจะคว้ามา บางฝันดูห่างออกไปหน่อยแต่เธอก็พร้อมฝ่าไป
ที่แน่ ๆ ปีนี้เธอมาพร้อมการออกซิงเกิลอย่างเป็นทางการของตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต ถ้านับว่าเธอร้องเพลงตั้งแต่อนุบาล เริ่มแต่งเพลงตั้งแต่ ม.3 ซิงเกิลสองซิงเกิลแรกในชีวิตของเธอนี้ก็นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่เราเองก็อยากบันทึกความเป็นเธอไว้ในรูปแบบบทสนทนาในฐานะคนที่เฝ้ามองการเติบโตของเธอมาตลอด
เราเจอกันในวันแดดจ้า ตาหยี ๆ ของอิมเมจหรี่ลงจากแสงแดดจัด แต่กลับส่องประกายสดใสมาที่เราได้อย่างไม่น่าเชื่อ ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมที่เธอได้พักจากการเรียน สีหน้าเธอบ่งบอกถึงความสุขของคนเพิ่งสอบเสร็จมาหมาด ๆ แต่ในมหาวิทยาลัยชีวิตและการทำเพลงเหมือนตอนนี้เพิ่งจะเป็นปีการศึกษาใหม่อันหอมหวาน จนเราอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ ว่าอิมเมจแบ่งเวลาในมหาวิทยาลัยจริง ๆ กับมหาวิทยาลัยแห่งการทำงานอย่างไร ?
“อิมแบ่งไม่ได้ อิมทำได้ดีที่สุดคือจัดตารางให้งานไม่ชนเวลาเรียน เพราะอิมเป็นคนขี้เกียจ ไม่ค่อยได้ทบทวนบทเรียน แต่ก็พยายามเอาตัวรอด”
เราชอบเธอตั้งแต่คำตอบแรก หมายถึงชอบมากกว่าที่ชอบอยู่แล้วไปอีก เพราะบางทีการที่เราจะสามารถจะจัดการอะไรได้ มันอาจต้องเริ่มต้นที่เรากล้าจะยอมรับก่อนว่าเราจัดการไม่ได้ เราขี้เกียจ ก่อนจะค่อย ๆ คลำหนทางแก้ปัญหาไป ซึ่งเราไม่แปลกใจเลยที่การเป็นวัยรุ่นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ แต่ต้องเรียนไปด้วย ทำงานที่ก็รักมากไปด้วยมันจะยุ่งจนแบ่งเวลาไม่ได้จริง ๆ
“อิมว่าทุกคนมีความขี้เกียจในตัว บางทีร่างกายมันบีบให้เราขี้เกียจก็มี เพราะเราอาจจะไม่ได้พักมานาน อิมว่ามันแล้วแต่ช่วง บางช่วงอิมก็แอคทีฟมาก ๆ นอนพอทำให้เรามีพลัง”
อิมเมจก็เป็นอิมเมจที่เรียบง่ายอย่างที่เราเห็น ในเมื่อทุกอย่างมันยุ่งมาก เธอก็แค่พยายามจัดทุกอย่างไม่ให้ชนกัน นอนให้พอเพื่อให้มีพลัง แต่ที่เธอเดินหน้าทำมาสม่ำเสมอและไม่เคยทิ้งแน่ ๆ ก็คือการร้องเพลง…
“นี่ถือเป็นผลงานเพลงอย่างเป็นทางการครั้งแรก อิมเพิ่งได้เข้ามาอยู่ใน Smallroom ประมาณปีนึง ได้ทำเพลง 2 เพลง Smallroom เป็นค่ายที่น่ารักมาก เขาไม่บังคับ ไม่บิดตัวตนศิลปินในค่าย ทุกคนที่มาก็จะมีคาแรกเตอร์ที่ต่างกันไป ซึ่งสิ่งที่ Smallroom ทำคือดึงคาแรกเตอร์นั้นออกมาให้ชัดขึ้นโดยไม่บังคับและเปลี่ยนตัวตนเรา”
อิมเมจเล่าถึงการทำเพลงภายใต้ร่มของค่าย Smallroom ที่ดึงความเป็นตัวตนของเธอออกมาได้ วินาทีที่อิมเมจเริ่มเล่าถึงซิงเกิลใหม่ของเธอทั้ง 2 ซิงเกิล เราจึงเห็นเลยว่าสายตาเธอกำลังยิ้ม เพราะเธอไม่ได้แค่พูดถึงซิงเกิล แต่กำลังพูดถึงตัวตนของเธอเองไปพร้อม ๆ กัน
“อิมมองว่ามันเป็นสิ่งที่ดี อย่างเพลงใจเย็น พี่รัตน์แต่งมา ตอนอัดเดโมมันดีมากเลย มีแค่เปียโน แต่ตัวดนตรีทำนองมันหวานมาก ๆ วงอิมที่เป็นรุ่นพี่มหา’ลัยเขาเก่งมากที่เปลี่ยนชุดคอร์ด เปลี่ยนอารมณ์ของเพลงไปเลย เพลงเลยมีความหม่นขึ้น ไม่หวานมากเหมือนตอนแรก เนื้อเพลงค่อนข้างกด ว่าด้วยการให้เก็บความรู้สึก อารมณ์กด ๆ ต้องเก็บเอาไว้ เพราะอิมเองก็ชอบเก็บความรู้สึก”
“แต่เก็บแล้วต้องปล่อย อิมก็มีหนทางปล่อยในหลาย ๆ ทาง” เธอเลือกปลดปล่อยสิ่งที่เก็บไว้ด้วยการไปต่อยมวย “ต่อยพอได้เหนื่อย ต่อยแล้วก็นึกถึงเรื่องที่ซวยมากเลย ต่อยอีก ซวยอีกแล้ว ก็ต่อยอีก เราได้ปล่อยพลังงานไม่ดีออกมา เพราะบางพลังงานมันไม่จำเป็นต้องมี เพราะมันส่งผลแย่ต่อชีวิตเรา แล้วก็อาจจะแต่งเพลง ช็อปปิง”
ในเพลงใจเย็นจึงมีความช่างเก็บซ่อนอารมณ์ของเธอในทางหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันมันก็เล่าถึงความเป็นอิมเมจที่รู้จักเก็บบางอารมณ์เพื่อนำมาปลดปล่อยกับบางกิจกรรมแทน โดยไม่ให้พลังงานลบ ๆ มาทำลายส่วนอื่น ๆ ในขณะที่เพลง Unlucky คือเพลงที่อิมเมจแต่งเอง
“Unlucky เราแต่งเอง เพราะเรามีประโยคนึงติดหัวมานานแล้ว ประโยคนั้นคือ I’m an unlucky person who lucky enough to meet you แล้วอิมก็รู้สึกว่ามันเป็นประโยคที่ดี จริง ๆ เป็นเพลงที่แฮปปี้มาก ๆ เพราะมันพูดถึงคนคนหนึ่งที่เขาอาจจะไม่ได้โชคร้ายจริงหรอก แต่ทุก ๆ คนจะมีโมเมนต์หนึ่งที่คิดว่าทำไมเราเป็นคนโชคร้ายจัง เราเจอแต่เรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ มันไม่เป็นไปตามที่คิดเลย”
“อิมเองก็เป็นคนนึงที่บางทีก็มีมุมโทษชีวิต ชีวิตมีขึ้นก็ต้องมีลง พอลงแล้วมันก็จะขึ้นใหม่ เป็นวงจรของมัน ถ้าเราไม่รู้สึกว่าโชคร้าย เราก็จะไม่รู้ว่าโชคดีมันเป็นยังไง”
“เพลงมันดูเหมือนเป็นเพลงรัก แต่ตีความได้หลายอย่าง ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องความรักก็ได้ อิมเองก็รู้สึกโชคดีทุกครั้งทีได้ทำงาน ที่ได้ร้องเพลง เพลงนี้อิมเลยทำขึ้นแล้วอยากมอบให้ทุก ๆ คนที่ฟังเพลงของอิม เพราะอิมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีและมีความสุขมาก ๆ ที่มีทุกคนที่ฟังเพลงอิม”
อิมเมจก็โชคดีจริง ๆ นั่นแหละที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักอย่างการร้องเพลงมาสม่ำเสมอ แต่ในสายตาเราการได้เห็นคนทำสิ่งที่รักอย่างหลงใหลและเต็มไปด้วยแพสชั่นอย่างเธอเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็นความโชคดีอย่างหนึ่งของเราเช่นกัน
แต่ภายใต้ความโชคดีที่ได้ร้องเพลงของอิมเมจนั้น มันก็ไม่ได้ราบเรียบ ราบรื่นเหมือนฝันขนาดนั้น เพราะการร้องเพลงไปเรื่อย ๆ กับการร้องในฐานะความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับก็ย่อมต่างกัน
“ทุกอย่างถ้าเราทำเป็นงานอดิเรก เราก็จะมีความสุขเสมอ แต่พอเราทำเป็นงานประจำ เป็นสิ่งที่ต้องทำ บางทีมันก็จะกดดัน เราต้องรักษามาตรฐาน มีคนคาดหวังแล้วนะ เราไม่ได้ทำแค่เพราะอยากทำ มีสิ่งที่เราต้องแบกรับอยู่ แต่ถามว่ามันคุ้มกันมั้ย มันคุ้มกับประสบการณ์ที่ได้ ซึ่งอิมว่าอิมโชคดีมาก ๆ แล้วที่ได้มาอยู่จุดนี้ เพราะมันไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีแบบนี้ได้ เรารู้สึกขอบคุณมาก ๆ “
นอกจากการร้องเพลงอิมเมจยังคงเขียนเพลงอย่างต่อเนื่อง “อิมแต่งเพลงเพลงแรกม.3 มีแรงบันดาลใจจากเทเลอร์ สวิฟต์ ชอบตั้งแต่ป.หก มาถึงจุดนึงเราเห็นเขาเติบโต เราอ่านประวัติเขา เขาโตมาในฟาร์มต้นคริสต์มาส เรารู้ว่าเขาฝึกเล่นกีตาร์จากช่างที่มาซ่อมของที่บ้าน แล้วก็ฝึกเองตั้งแต่ตอนนั้น แล้วเขาก็เก่งขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งผลงานออกมาเท่าไหร่มันก็พิสูจน์ว่าคนนี้มีความสามารถจริง ๆ เราก็ดีใจที่เห็นเขาโตขึ้น เราอยากเป็นเหมือนเขา เห็นเขาแต่งเพลง เราก็เลยอยากแต่งบ้าง”
ความฝันในวัยเด็กของหลาย ๆ คนก็เป็นแบบนั้น เราเห็นใครสักคนเป็นไอดอล เราอยากเจริญรอยตาม ต่างกันแค่บางคนปล่อยให้แค่ความฝันวัยเด็กเป็นแค่ความฝัน ในขณะที่อิมเมจเลือกเจริญรอยตามไอดอลของตัวเองในรูปแบบการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง
“อิมเขียนไว้หลายเพลงเลย ส่วนมากเป็นเพลงภาษาอังกฤษ อิมว่าภาษาไทยมีเสน่ห์มาก แต่อิมไม่ชำนาญ เพราะคำไทยมีหลายมิติ มีสั้น ยาว วรรณยุกต์ แต่ภาษาอังกฤษรวบคำได้ เพลงไทยจึงซับซ้อนและต้องการความละเมียดละไมมากกว่า ต้องเก่งจริง ๆ อิมก็ฝึกอยู่ ส่วนที่แต่งเรื่อย ๆ คือภาษาอังกฤษ”
นอกจากความชื่นชอบเทย์เลอร์ สวิฟต์จนเขียนเพลงมาถึงทุกวันนี้ อีกสิ่งหนึ่งที่อิมเมจมองว่าเทย์เลอร์น่าสนใจคือการรับมือกับเรื่องร้าย ๆ ที่ถาโถมเข้ามา
“เทย์เลอร์เป็นคนน่ารัก เขาโดนข่าวเสียหายนะ ซึ่งอิมว่าคนเราก็มีหลายมิติ แต่พื้นฐานเขาเป็นคนนิสัยดี แค่จังหวะชีวิตหลายอย่างก็ทำให้ต้องเจอเรื่องร้าย ๆ แต่สุดท้ายสิ่งที่เขาหลังเจอเรื่องร้าย ๆ คือสร้างแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลกเป็นล้าน ๆ คน แล้วมันยิ่งใหญ่มาก ๆ “
อย่างน้อยแรงบันดาลใจจากเทย์เลอร์ก็เดินทางมาถึงสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้าเราอีกหนึ่งคน ส่วนเราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าเทย์เลอร์เปลี่ยนเรื่องร้ายด้วยการพิสูจน์ตัวเองและกลายเป็นแรงบันดาลใจในที่สุด แล้วอิมเมจเมื่อเจอเรื่องร้าย ๆ เธอรับมืออย่างไร ?
“อิมมีคำเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์ที่เราจะไปตีออกชกหัวฟูมฟาย แล้วโทษทุกอย่าง เราก็เรียนรู้จากมัน สิ่งที่สำคัญคือเราต้องตามมันให้ทัน เพราะมันมีเหตุผลของมัน
อิมจะคิด เพราะอิมเป็นคนคิดเยอะมาก ว่าทำไมคนอื่นทำแบบนี้ ทำไมเราทำแบบนี้ เราหาต้นตอของมัน พยายามทำความเข้าใจทุกอย่าง ซึ่งพอเราเข้าใจแล้วมันก็ทำให้เราเห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง แล้วก้าวต่อไปได้จากความเข้าใจนั้น”
คำตอบนี้ทำให้เรารู้ว่าใต้เสียงหวานใสของเธอ มีตัวตนหนักแน่นแข็งแกร่งซ่อนอยู่จริง ๆ แต่ไม่ใช่แค่วิธีคิดเท่านั้นที่หนักแน่น อิมเมจเป็นคนที่มีแพสชั่นที่หนักแน่น ซึ่งเราเห็นไปแล้วจากการร้องเพลงตั้งแต่อนุบาล แต่งเพลงตั้งแต่ม.3 และแพสชั่นอื่นที่เธอมี เธอก็ไม่เคยปล่อยมือจากมันเหมือนกัน
“อิมชอบถ่ายรูป เริ่มจากพ่ออิมชอบถ่ายรูป เราก็เห็นพ่อถ่าย ตอนม.5 อิมจัดบ้าน เจอกล้องฟิล์มเก่าของพ่อ ช่วงนั้นหาร้านล้างฟิล์มยาก แต่เราก็หาจนได้ เราถ่าย เอาไปล้าง ตอนที่จับกล้อง หมุนโฟกัสปุ๊ป เรารู้สึกว่าเฮ้ย ใช่ว่ะ มันใช่ เรามีความสุขกับการถ่ายรูป ถ่ายรูปมันก็คือการสื่อสารนะ
การร้องเพลงก็คือการสื่อสารผ่านน้ำเสียง ท่าทาง ชุดคอร์ด ดนตรี จังหวะ ในขณะที่การถ่ายภาพมันคือการสื่อสารผ่านมุมมองของเรา เช่นเราวางขวดน้ำไว้บนโต๊ะตรงนี้ แล้วให้ช่างภาพสองคนมาถ่าย เราได้มุมไม่เหมือนกันแน่ ๆ การถ่ายภาพทำให้เราเห็นมุมมองที่เรามีต่อโลก”
เราเชื่อว่าสำหรับอิมเมจไม่ว่าจะการคว้ากล้องขึ้นมาลั่นชัตเตอร์หรือคว้าไมค์ขึ้นมาร้องเพลง เธอกำลังร่ายรำและสื่อสารมุมมองที่เธอมีต่อโลกได้อย่างน่าค้นหาและเต็มไปด้วยแพสชั่นไม่แพ้กัน
“ทุกวันนี้เราก็ยังถ่ายรูปอยู่ เรายังถ่ายรูปอยู่เรื่อย ๆ วันไหนที่เราแบกของไม่เยอะก็จะพกกล้องตลอด อิมฝันนะ ฝันอยากเป็นช่างภาพ ไม่จำเป็นต้องเป็นช่างภาพที่ดัง แต่สามารถถ่ายรูปเรื่อย ๆ ไปได้ทั้งชีวิต” อิมเมจตอบเราพร้อมยิ้มน้อย ๆ และสายตาที่เราเชื่อว่าเธอหมายความตามนั้นจริง ๆ
แต่ในมุมสดใสเราก็เชื่อว่ามันต้องมีบางด้านที่หม่นเทาจนแม้แต่เสียงหวานใสของเธอก็ไม่อาจกลบมิด และด้านหม่นเทาของอิเมจก็เผยตัวให้เราเห็นตอนที่เราถามเธอว่า “ขอเพลงหนึ่งเพลงที่แทนชีวิตของอิมเมจ”
“มีเพลงนึงอินมาก ๆ เลยเป็นเพลงของพี่ญารินดา อินมานานแล้วยังไม่เลิกอิน เพลงชื่อ Heroes เพลงพูดถึงคนที่มีทุกอย่างแล้ว ขาดแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือความรัก มีท่อนนึงร้องว่า รู้ว่าอะไรที่ฉันขาด แต่ฉันคงไม่อาจมีไว้ อิมว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่ลึกมาก อิมมีแมวที่เลี้ยงมาหลายปี แล้วเขาไม่อยู่แล้ว พอร้องเพลงนี้ถึงท่อนนั้นทีไรก็น้ำตาคลอ มีอยู่ครั้งหนึ่งซ้อมร้องที่ Smallroom ก็ร้องไห้เลย ยอมรับว่าการเสียสิ่งที่รักมาก ๆ ไป เป็นจุดที่เราอ่อนแอที่สุดในชีวิตแล้ว”
จัดการความสูญเสียอย่างไร ?
“จัดการไม่ได้ ปกติแมวเราเป็นแมวขี้เล่นมาก ตะปบตลอด แต่วันนั้นเขามาอ้อน ลูบได้ ไม่ตะปบ พอเขาออกนอกบ้านไปเล่น เขาก็ไม่กลับมาอีกเลย”
“ตอนที่รู้ไม่มีน้ำตาสักหยด บอกพ่อว่าเอาไปฝังกัน เดี๋ยวอิมขุดเอง แต่พอเอาจอบปักลงไปบนดินปุ๊ปเราก็ทรุดลงไปเลย เพราะเขาแมวที่เรารักที่สุด คืนนั้นเราเข้านอนเร็วมาก เพราะเรายังไม่เชื่อ เราช็อก เราคิดว่าพรุ่งนี้เราตื่นมาจะได้ยินเสียงกระดิ่งปลอกคอ แต่พอตื่นมา มันก็เหมือนตอกย้ำว่านี่คือความจริงนะ”
“สุดท้ายเราต้องก้าวต่อไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นชีวิตมันก้าวต่อไปไม่ได้ เราก็พยายามคิดว่าเขาจะไปในที่ที่ดีกว่านะ ทุกอย่างมันมีเกิดขึ้นดับลง มีพบมีจาก โชคดีแล้วที่ได้พบกัน มองไปถึงตอนที่มีเขาอยู่ อย่ามองไปถึงตอนที่เราเสียเขาไป”
เราฟังเรื่องการสูญเสียครั้งนั้นเงียบ ๆ อดถามต่อไม่ได้ว่าอิมเมจเป็นคนอ่อนไหวมาก ๆ อยู่แล้ว หรือเพราะเรื่องนี้คือเรื่องที่ต้านทานได้ยากที่สุดสำหรับเธอกันแน่ ?
“จริง ๆ อิมไม่ได้เป็นคน Sensitive ขนาดนั้น ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ร้องไห้ได้ตอนที่โตแล้ว เรื่องอื่นมาเลย เราไม่มีปัญหา”
“อิมเปิดปิดสวิทช์ได้ ว่าจะปล่อยให้ความรู้สึกเข้ามาตอนไหน ซึ่งก็จะเปิดเวลาทำงาน เวลาแต่งเพลง เวลาซ้อม เวลาขึ้นเวที หรือร้องเพลงเศร้า”
“บางทีเราก็ควบคุมมันยากหน่อย เหมือนนักแสดงที่สวมบทบาทแล้วอิน ออกจากบทไม่ได้ไปพักนึง มันก็คล้าย ๆ กัน อย่างเวลาเราร้องเพลงที่เราจบกับมัน เพลงต่อไปมันก็ยังออกไม่ได้ ลิสต์เพลงก็จะต้องค่อย ๆ ไล่ระดับ จนไปถึงช่วงสนุก”
เราเชื่อว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้อิมเมจแข็งแกร่งจนสามารถเปิดปิดสวิทช์อารมณ์ความรู้สึกได้ก็เพราะการที่เธอก้าวเข้าสู่แสงสปอตไลต์ตั้งแต่อายุ 16 แต่เราก็อดครุ่นคิดไม่ได้ว่าการเข้าวงการตั้งแต่อายุเท่านี้มันคุ้มค่าแค่ไหนในความเห็นของเธอ
“มันต้องแลกกัน อิมจะไม่ได้โฟกัสกับการเรียนได้เต็มที่เหมือนคนอื่นที่เขาไม่ได้ทำงานไปด้วย มันก็เสียตรงนี้ อิมก็จะเรียนจบช้ากว่าเพื่อน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือประสบการณ์ที่คุ้มค่า ที่แลกกับอะไรไม่ได้ แต่อิมรู้สึกว่าตัวเองโชคดี เพราะมันไม่ใช่ทุกคนที่จะมาอยู่จุดนี้ได้”
และถ้าย้อนไปถึงตอนที่อิมเมจก้าวสู่แสงสปอตไลต์ครั้งแรก เราก็อดนึกถึงภาพจำของสาวน้อยตาหยีใส่แว่นไม่ได้ วันนี้อิมเมจไม่ได้มีภาพจำเป็นสาวแว่นอีกแล้ว
“อิมไม่ชอบใส่แว่นเพราะอิมเป็นคนขี้รำคาญ อิมรู้สึกว่าก็ดีนะที่เขาชอบเราใส่แว่น มันก็ดี แต่ส่วนตัวเราเป็นคนรำคาญแว่น แว่นจะชอบตกลงมาทั้งวัน ต้องคอยเอามือดัน เราไม่อยากมานั่งดัน หรือเจออุปสรรคเวลาออกกำลังกาย ว่ายน้ำนี่มองไม่เห็นเลย” สำหรับเธอการเป็นตัวเองจึงสำคัญกว่าการที่คนจะชื่นชมในสิ่งที่เธอต้องเป็นตัวเองในรูปแบบที่ไม่เต็มที่กับชีวิตมากนัก
แต่ไม่ว่าเธอจะว่าอย่างไร การเป็นบุคคลสาธารณะย่อมเลี่ยงไม่ได้กับการถูกวิพากษ์ วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นสารพัดรูปแบบ
“จริง ๆ เป็นคนค่อนข้างให้ความสำคัญกับคัญกับสิ่งที่คนอื่นคิดไม่ว่าจะเกี่ยวกับตัวเองหรือสิ่งอื่น ด้วยความที่เราชอบที่จะเข้าใจ เราก็เลยต้องลึกลงไปกับความเห็นหน่อย แต่อย่างที่บอกเราปิดสวิทช์ได้ เวลาเราเจอความเห็นอะไรที่มันสุด เกินขอบเขตที่เราจะเข้าใจเราก็ต้องยอมรับว่าเราอาจจะไม่มีวันเข้าใจสิ่งนี้ แต่ไม่ได้แปลว่าอีกฝั่งไม่มีเหตุผล “
“ไม่ซีเรียสมากนะเวลามีคนมาว่า เราเข้าใจเขา หรือถ้าเราไม่เข้าใจเขา เราก็รู้ว่าเขามีเหตุผลของเขา”
“อิมไม่เคยคอมเมนต์ตอบใครเลยที่เป็นคอมเมนต์แย่ ๆ อิมรู้สึกว่ามันควรปล่อยให้จบลงไป ถ้าเราไปต่อ มันไม่มีทางหยุด”
อิมเมจจึงโอเคกับความคิดที่แตกต่าง พยายามทำความเข้าใจ แต่ถ้าเธอไม่เข้าใจ เธอก็คิดว่ามันไม่จำเป็นต้องตรงกัน และไม่ว่าตัวเธอหรือเขาก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ตัวตนและวิธีคิดหนักแน่นภายใต้เสียงหวานใสแบบนี้แหละที่เราหลงรัก
เราถามเธอถึงนิยามความสำเร็จหรือเป้าหมายในชีวิตว่ามองมันไว้ยังไง เธอนิ่ง ครุ่นคิดเล็กน้อย แต่สิ่งที่ตอบออกมาชัดเจนและหนักแน่นที่สุด
“อิมว่าชีวิตมันไม่ใช่เป้าหมายใหญ่เป้าหมายเดียว แต่มันคือเป้าหมายเล็ก ๆ ที่แตกออกมาเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นเวลาเราไปถึงเป้าหมายสักเป้า มันจะมีเป้าหมายถัดไปเสมอ นี่คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีเสน่ห์เพราะชีวิตไม่เคยหยุดนิ่ง”
เมื่อชัดเจนขนาดนี้ เราคิดว่าก็ไม่ต้องถามอะไรต่อ เพราะชีวิตคือการวิ่งระยะยาวอย่างที่เธอบอกจริง ๆ สำเร็จในกิโลเมตรนี้ กิโลเมตรต่อไปก็คือเป้าหมายใหม่ที่รออยู่แล้ว เราเลยถามเธอต่อว่าถ้าอย่างนั้นระหว่างการวิ่งระยะยาวนี้มีอะไรที่อยาก UNLOCK ตัวเองไหม เพื่อให้เป็นอิมเมจเวอร์ชันที่วิ่งระยะยาวได้แกร่งกว่าเดิม
“อยากกระโดดบันจี้จัมพ์ อิมว่าน่าจะสุดอยู่” เธอตอบแล้วยิ้มตาหยีให้เรา “อยากใช้โปรแกรมทำเพลงให้เป็นกว่านี้ เวลาอัดเดโมจะได้ไม่ต้องใช้โทรศัพท์มาอัดแล้วเพราะเสียงมันไม่ชัด แล้วเราก็อยากตัดต่อวีดีโอเป็น เพราะเราชอบถ่ายภาพ และบางทีเราเห็นอะไรที่มันตรงความรู้สึกเราขณะนั้นมาก เราก็เก็บฟุตเทจไว้ เก็บไว้เยอะมาก แต่เรายังตัดไม่เป็น”
“ความฝันคือนอกจากแต่งเพลงเองแล้ว ก็อยากกำกับ MV เองด้วย”
เรารักที่อิมเมจเป็นแบบนี้ แม้แต่การ UNLOCK ตัวเองมันยังเต็มไปด้วยความสดใสอย่างการอยากไปกระโดดบันจี้จัมพ์ มีความหนักแน่นเรื่องการทำเพลงให้ดีขึ้น มีแพสชั่นที่ไม่ทิ้งอย่างการอยากเล่าเรื่องผ่านการตัดต่อฟุตเทจของตัวเอง มันไม่ต้องแต่งแต้มอะไร มันเป็นแค่ความเป็นตัวเองของเธอที่ควบรวมกันเป็นตัวตนของเธอคนนี้ “อิมเมจ-สุธิตา ชนะชัยสุวรรณ”
เราอ้อยอิ่งครุ่นคิดไปพร้อมกับคำตอบของเธอก่อนจะให้เธอฝากผลงานทิ้งท้าย แต่อิมเมจก็ยังไม่วายทิ้งความเป็นตัวเองไว้
“อิมว่าทุกคนมีมุมมองเป็นของตัวเองและมันต่างกัน ต่างกันเพราะว่าชีวิตเรามันถูกสร้างมาเพื่อเรา ไม่มีใครคิดเหมือนเรา หรือรู้สึกเหมือนเราได้แน่ ๆ ไม่มีใครเข้าใจใครได้ 100% ต่อให้เป็นฝาแฝดกันก็ตาม อิมชอบที่ทุกคนมีมุมมองต่างกัน การตีความชีวิตหรือศิลปะของแต่ละคนมันน่าค้นหา อิมเลยไม่เคยอยากชี้นำให้ใครเข้าใจอะไรในแบบไหน”
“อิมถ่ายทอดเพลงของเราออกมาในแบบที่เราเข้าใจ แต่ว่าเราแค่อยากให้ทุกคนมีอารมณ์ร่วมและเข้าใจในแบบของตัวเอง ไม่มีผิด ไม่มีถูกอยู่แล้ว”
“ตอนนี้อิมมี 2 เพลงนะคะ คือเพลงใจเย็น กับ Unlucky ค่ะ ใจเย็นมี MV แล้ว Unlucky กำลังทำ MV ซึ่งน่าจะออกประมาณมกราคม (2562) ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ”
อิมเมจยิ้มกว้างกว่ากว้างตรึงตาเราไว้ ตัวตนและวิธีคิดหนักแน่นจนชวนทึ่งของเธอยังดำเนินต่อไป แต่บทสนทนากึ่งหนักแน่นและหวานใสกำลังจะจบลง สำหรับใครที่ยังไม่ได้ฟังเสียงหวานใสเต็ม ๆ เราและอิมเมจก็ชวนฟังเพลงใจเย็นและ Unlucky ไปพร้อม ๆ กัน รับรองว่านอกจากจะเคลิบเคลิ้มไปกับทัศนคติที่แน่วแน่ จะต้องล่องลอยไปกับเสียงหวานใสของเธอด้วยแน่นอน ใจความสำคัญก็เป็นอย่างที่เธอฝากไว้
“แค่อยากให้ทุกคนมีอารมณ์ร่วมและเข้าใจในแบบของตัวเอง ไม่มีผิด ไม่มีถูก”
ถ้าอิมเมจ-สุธิตารู้สึกโชคดีทุกครั้งที่ได้จับไมค์ร้องเพลง เราก็ไม่แปลกใจ เพราะเราก็รู้สึกโชคดีทุกครั้งที่ได้รู้จักตัวตนหนักแน่นของเธอผ่านเสียงเพลงหวานใสเช่นกัน …
PHOTOGRAPHER: Warynthorn Buratachwatanasiri