มีอะไรที่ทำให้เราแค่มองเห็นก็รู้สึกตื่นเต้นจนเลือดสูบฉีดได้บ้าง? มีอะไรที่เราเห็นแล้วต้องคว้ากล้องขึ้นมาถ่าย ต้องสะกิดคนข้าง ๆ ให้หันไปดูด้วยกันได้บ้าง? แม้ผู้ชายเราจะมีความชอบและไลฟ์สไตล์แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราทุกคนเกิดปฏิกิริยานั้นได้ ก็เมื่อ Nissan Skyline GT-R ขับผ่านหน้าเราไป ไม่ว่าจะเป็น Skyline GT-R รุ่นไหนก็ตาม แม้คุณจะไม่ใช่ Hardcore Fans ในเรื่องรถยนต์ แต่ทุกครั้งที่เราได้เห็นไฟท้ายโดนัทคู่ เสียงท่อคำรามจากเครื่องยนต์ 6 สูบเทอร์โบคู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ เราก็รู้ทันทีว่ามันมีความพิเศษที่รถคันอื่น หรือแม้แต่ Supercar ราคาหลายสิบล้านไม่มี นั่นคือเสน่ห์ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุค 1969 ซึ่งถือเป็น Skyline GT-R รหัสแรกที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีรถรุ่นไหนสามารถสืบทอดคุณค่าให้เป็นที่นิยมทั้งในและนอกสนาม ทำให้รหัส GT-R กลายเป็น Iconic Car แห่งความเร็วในฝันได้ทุก Generation มีหลายอย่างที่เราเข้าใจผิดเดียวกับ GT-R อย่างเช่นไม่ใช่ทุก Skyline จะต้องมีรหัส GT-R หรือคำว่า GT-R ย่อมาจากคำว่า Gran Turismo Racer
สำหรับคนรักมอเตอร์สปอร์ต อีกสถานที่ที่คนรักความเร็วต้องได้ไปสัมผัสคือ สนาม Mugello ในประเทศอิตาลี หนึ่งในสนามแข่งระดับโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเรื่องสุดประทับใจและฟินกันไปอีกนาน เมื่อ The Ultimate JOY Experience พาสมาชิกผู้รักความเร็วไปเยือนสวรรค์ของคนรักมอเตอร์สปอร์ตในทริป The Ultimate BMW M Track Experience – Mugello ณ สนามมูเกลโล ประเทศอิตาลี โอกาสนี้สมาชิกได้สัมผัสความแรงของ BMW M4 และ M5 ในสนามแข่ง และยังได้ซิ่ง BMW M4 GT4 ‘รถแข่ง’ ในฝันที่คนรักความเร็วทุกคนต้องอยากลองขับสักครั้งในชีวิต และได้ใส่ความเร็วกันเต็มสปีดในแทร็กมูเกลโล สนามแข่งระดับโลกที่มีโค้งต่อเนื่องมากกว่า 20 โค้ง และยังท้าทายสุด ๆ ด้วยองศาโค้งที่แตกต่างกัน แถมตัวสนามยังเป็นเนินเขา ความยาวมากกว่า 5 กิโลเมตร เนื่องจากทริปนี้เป็นทริประดับ advance ซึ่งสมาชิกนักขับต้องผ่านหลักสูตรการขับในสนามแข่งมาแล้วจากโปรแกรม BMW M race track training
เมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ยุคแรกเริ่มแห่งการบุกเบิกอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 26 ธันวาคม ปี 1933 ได้มีบริษัทรถยนต์แห่งใหม่ถือกำเนิดขึ้นจากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท Tobata Imono และ Nihon Sangyo โดยใช้ชื่อว่าใหม่ว่า Jidosha Seizo Co., Ltd. แน่นอนว่าชื่อบริษัทเหล่านี้หลายคนคงรู้สึกไม่คุ้นหูสักเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าทุกคนจะต้องร้องอ๋อในทันที เมื่อได้รู้ว่าในปีถัดมาบริษัทผลิตรถยนต์น้องใหม่รายนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Nissan Motor Co., Ltd. หรือ Nissan ที่เรารู้จักกันดี และกลายเป็นผู้นำที่ออกแบบพัฒนารถยนต์ระดับ Iconic บนหน้าประวัติศาสตร์มามากมาย รวมถึงยังเป็นแบรนด์แรกที่พารถยนต์ญี่ปุ่นไปสร้างชื่อเสียงให้คนทั้งโลกได้รับรู้กับความล้ำหน้าของรถยนต์ Made In Japan ผ่านเวลามาจนถึงวันนี้ เวลาเดินทางผ่านไปเกือบ 86 ปี จากบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นมาด้วยเงินทุนเพียง 10 ล้านเยน ได้กลายมาเป็นบริษัทยานยนต์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นและเป็นหนึ่งในแถวหน้าของโลก ผลิตรถยนต์จำหน่ายไปแล้ว 150 ล้านคันทั่วโลก (ข้อมูลเมื่อปี 2017) และได้สร้างสรรค์ Iconic Cars ระดับตำนานภายใต้แบรนด์ Datsun และ
Christian von Koenigsegg ผู้ก่อตั้ง Koenigsegg (คอนิกเส็กก์) ค่ายรถยนต์สมรรถนะสูงจากประเทศสวีเดนเคยฝันว่าอยากผลิตซูเปอร์คาร์ระดับโลก ดูเหมือนตอนนี้ความฝันของเขากำลังจะเป็นจริงขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากพวกเขาปล่อยภาพและสเปคบางส่วนของ Koenigsegg JESKO รุ่นพิเศษที่ทั้งสวยงามและแรงจนทำให้หนุ่ม ๆ ทุกคนไฝ่ฝันอยากได้มาครอบครองแน่นอน JESCO เป็นไฮเปอร์คาร์คันล่าสุดจาก Koenigsegg เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาใน Geneva Motor Show 2019 โดยลือกันว่ามีความเร็วสุดโหดที่กล้าเทียบรัศมีรุ่นใหญ่ในวงการซึ่งครั้งนั้นเผยโฉมในเครื่องแบบสีขาวสะดุดตา จนใคร ๆ ก็ตาลุกวาว แต่ดูเหมือนพัฒนาการจะไม่หยุดเพียงเท่านั้น เมื่อ Koenigsegg เปิดตัวรุ่นพิเศษโดยให้ชื่อว่า Koenigsegg JESCO Red Cherry Edition ที่มีเครื่องแบบสีแดงเข้มและสมรรถนะสุดโหดคันหนึ่งของยุคเลยก็ว่าได้ ภายนอกของ JESCO : Red Cherry Edition ถูกออกแบบมาให้เป็นไฮเปอร์คาร์สายวิชาตัวเบาอย่างแท้จริง เริ่มจากโครงสร้างรถที่ใช้เป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์สีแดงเข้มตัดสลับสีดำอย่างลงตัว เส้นสายและช่องลมอันโดดเด่นโดยเฉพาะบริเวณด้านหน้าและด้านข้างของตัวรถ รวมถึงฝากระโปรง เมื่อทำงานร่วมกับสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ด้านหลังทำให้มีระบบ Aerodynamic ที่กดทับและประคองตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ล้อด้านหน้าทั้งสองข้างที่ผลิตจากเส้นใยคาร์บอนซึ่งมีน้ำหนักไม่ถึง 6.7 กิโลกรัมและล้อด้านหลังที่มีน้ำหนัก 8.4 กิโลกรัม ทำให้น้ำหนักรวมของรถหนักเพียง
ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าภาพยนตร์ James Bond 007 : Goldfinger คือส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้ชายหลายคนรู้จักรถยนต์สุด Iconic สายพันธุ์แรงเมืองผู้ดีอย่าง Aston Martin DB5 ที่โดดเด่นทั้งเรื่องดีไซน์สุดคลาสสิกและสมรรถนะปราดเปรียว โดยรถ 1 ใน 4 คันที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้กำลังจะถูกนำออกประมูลแล้ว Aston Martin DB5 4 คันถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้งานในภาพยนตร์ James Bond 007 : Goldfinger มีรถสองคันถูกใช้ระหว่างการถ่ายทำ หนึ่งคันถูกใช้เพื่อการโปรโมต ส่วนอีกหนึ่งคันที่ดัดแปลงโดย John Stears ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์สายลับก็ถูกมือดีขโมยไปในปี 1997 และไม่เคยได้กลับคืนมา โดย RM Sotheby บริษัทจัดประมูลรถยนต์ชื่อดังตั้งใจจะนำ DB5 คันที่ถูกใช้สำหรับโปรโมตออกประมูลในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ รถยนต์คันนี้ถูกเสนอขายเป็นครั้งแรกในปี 1969 ก่อนถูกนักสะสมซื้อไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ The Smokey Mountian Car Museum และจอดแสดงทิ้งไว้เป็นเวลากว่า 35 ปีทำให้รถมีสภาพทรุดโทรมลงไปตามเวลา
หลังมีข่าวเล่าลือมานานเกี่ยวกับรถคันใหม่ของ Porsche ตระกูล 718 ทำให้หนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบรถสปอร์ตขนาดกลางของค่ายต่างคาดหวังว่ารถคันใหม่ที่จะปล่อยออกมา ต้องติดของดีของแรงมาสร้างความประทับใจให้อย่างแน่นอน แต่เหมือนจะเหนือกว่าที่คาดการณ์กันเอาไว้เพราะ Porsche ทำให้ประหลาดใจกว่าที่คาดด้วยการปล่อย 718 ออกมาพร้อมกัน 2 โมเดล ค่ายรถยนต์สุดแรงจากเยอรมนีเปิดตัว Cayman GT4 สุดหล่อที่มาในรูปแบบคูเป้และ Boxster Spyder ตัวแรงในลุคเปิดประทุน โดยทั้งสองคันเป็นรถยนต์ที่อยู่ในสายการผลิตของรถสปอร์ตขนาดกลางอย่างตระกูล 718 แต่สำหรับหนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบยนตรกรรมของค่ายนี้เป็นทุนเดิม คงจะพอใจกับเครื่องยนต์แบบ 6 สูบแบบเดียวกันกับที่ใช้ใน 911 Carrera s Cayman GT4 และ Boxster Spyder มาพร้อมเครื่องยนต์หกสูบนอน Boxer ขนาด 4.0 ลิตรที่ให้กำลัง 414 แรงมาสูงสุดที่ 7,600 ต่อ/นาที แรงบิดที่ 309 ปอนด์-ฟุตสูงสุดที่ 5,000-6800 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับชุดเกียร์ธรรมดา 6-speed ที่จะส่งกำลังไปยังล้อหลังทั้งสองซึ่งให้อัตราเร่ง
ในโลกของกีฬามอเตอร์สปอร์ต สิ่งสำคัญที่คนในวงการต่างให้ความสำคัญก็คือเรื่องของ “ความเร็ว” เพราะมันคือหัวใจหลักที่จะตัดสินผลแพ้ชนะในการแข่งขัน และเป็นเรื่องที่ทั้งตัวนักขับ ทีมวิเคราะห์ ทีมเทคนิค รวมไปถึงทีมช่างทุกคนต่างทำงานอย่างหนักเพื่อให้รถยนต์จากทีมของพวกเขาเร็วที่สุด เพื่อจะทะยานแซงรถทุกคันเข้าสู่เส้นชัยเป็นอันดับ 1 ถ้าพูดถึงทีมมอเตอร์สปอร์ตชั้นนำจากเอเชียชื่อของ BMW Team Studie คืออีกชื่อที่ผู้รักความเร็วทุกคนต้องจำให้ขึ้นใจ เพราะพวกเขาคือทีมแข่งขันของ BMW จากประเทศญี่ปุ่นที่มีทั้งนักขับมือฉมังและทีมงานมืออาชีพซึ่งทำงานภายใต้เป้าหมายเดียวกัน คือการเป็นเจ้าความเร็วในทุกสนามที่ลงแข่งขัน รายการ Blancpain GT Series Asia 2019 (บลองค์แปง จีที ซีรีส์ เอเชีย) พวกเขาก็พร้อมมาร่วมล่าแชมป์ด้วย BMW M4 GT4 ที่มากับลวดลายชุดแข่งใหม่ที่จะสะกดสายตาทุกคู่ในสนาม สำหรับ Blancpain GT Series Asia 2019 เป็นการแข่งขันรถยนต์ประเภท Grand Tourer ระดับโลกของทวีปเอเชียที่จัดโดย SRO MotorSport เป็นซีรีส์แข่งขันที่เต็มไปด้วยทีมมอเตอร์สปอร์ตชั้นนำจากทั่วทั้งทวีป แข่งขันแบบเก็บสะสมแต้มจากทั้งหมด 6 สนาม สนามแรกจัดที่ Sepang International Circuit ประเทศมาเลเซีย ทีม
หลังจากสู้งานหนักมาตลอดทั้งเดือน ประคองชีวิตเหนื่อย ๆ มาตลอดทั้งปี การมีช่วงวันหยุดวันพักให้ตัวเองมีเวลาว่างทั้งที หนุ่ม ๆ ทั้งหลายคงถือโอกาสเตรียมการเดินทางพักผ่อนให้กับตัวเองเอาไว้แล้ว บางคนอาจเลือกที่จะบินตรงไปถึงจุดหมายเพื่อความรวดเร็ว แต่สำหรับผู้ชายสาย Road trip ที่ชอบขับรถท่องเที่ยวเองพร้อมนั่งฮัมเพลงสบาย ๆ นี่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่จะได้เดินทางไปกับรถคันคู่ใจ เพื่อมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมให้กับตัวเอง สำหรับขาประจำที่เคยมีประสบการณ์จัดทริปขับรถทางไกลคงรู้ดีว่าการเตรียมตัวและวางแผนให้พร้อม จะช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พัก เส้นทางและจุดหมายสำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องของน้ำมันที่เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับ Road Trip ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะน้ำมันที่ดีเปรียบเสมือนเลือดที่รถยนต์ขาดไม่ได้ ให้อะไรกับรถยนต์และตัวคุณมากกว่าที่คิด วันนี้ UNLOCKMEN เลยถือโอกาสพิสูจน์น้ำมันคุณภาพสูงจาก Caltex ที่มาพร้อมเทคโนโลยี TECHRON ด้วยทริปส่วนตัวของเรา มาดูกันว่าการเดินทางด้วยน้ำมันคุณภาพเต็มถังในครั้งนี้จะมีผลดีต่อรถยนต์และการเดินทางของเรายังไงกันบ้าง กำลังเครื่องยนต์และสมรรถนะที่ดีขึ้น อาการเครื่องยนต์มีปัญหาหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ มีต้นเหตุมาจากการเลือกเติมน้ำมันที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้เกิดการสะสมตัวของคราบสกปรกภายในห้องเผาไหม้ ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่เต็มที่และอาจมีปัญหาใหญ่ตามมาในระยะยาว แต่การเลือกเติมน้ำมันคุณภาพสูงจาก Caltex ในทริปครั้งนี้ของเราช่วยลดปัญหาได้เพราะ Polyetheramine หนึ่งในส่วนผสมของน้ำมันสูตรเทครอน ไม่ได้ทำหน้าที่แค่กำจัดคราบเขม่าคาร์บอนที่สะสมในเครื่องยนต์เท่านั้น แต่ยังทำความสะอาดคราบสกปรกที่มีผลต่ออัตราการเร่งด้วย ทำให้ทุกครั้งที่เราเหยียบคันเร่งก็ได้สัมผัสถึงอัตราการทำความเร็วที่มีพลังมากขึ้นจากรถยนต์ที่ใช้งานอยู่จนรู้สึกเหมือนรถใหม่ในวันแรกที่เจอกัน การขับขี่ที่ต่อเนื่องและนุ่มนวล หลายคนอาจเคยเจอกับอาการตอบสนองช้าและเครื่องยนต์สะดุดจากรถที่ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นระหว่างสตาร์ทเครื่องยนต์ ขับขี่และเร่งเครื่อง ซึ่งส่วนใหญ่มักเจอในรถยนต์ที่ใช้งานวิ่งในระยะสั้นเป็นประจำและมีคราบเขม่าอุดตันที่หัวฉีดทำให้อัตราการจ่ายน้ำมันไม่ต่อเนื่อง เป็นสาเหตุให้เกิดอาการจุกจิกต่าง
หลังจากที่ BMW ได้ประกาศการกลับมาของ 8-Series ในรหัสตัวถัง G14 G15 และ G16 ไปในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดโปรเจกต์ที่เคยถูกพับเก็บไปกำลังจะกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่ให้ตระกูล 8 อีกครั้ง ด้วยรถสายพันธุ์แรงรหัส M คันรุ่นล่าสุดอย่าง BMW M8 หลังจากเปิดตัว BMW M8 Coupe ออกมาก่อนหน้านี้เพียงโมเดลเดียวทำให้หนุ่ม ๆ ที่รอคอย M8 ตั้งข้อสงสัยว่าในสายการผลิตล่าสุดของรถยนต์สมรรถนะสูงอย่าง M8 ปี 2020 จะประกอบด้วยโมเดลแบบไหนบ้าง จนในที่สุดค่ายใบพัดสีฟ้าก็เปิดตัวโมเดลที่เหลือซึ่งได้แก่ตัว Convertible รวมถึงของแรงอย่าง M8 Coupe Competition และ M8 Convertible Competition ที่อัปเกรดขึ้นมาเล็กน้อยจากรุ่นปกติ ภายนอก M8 สามคันที่เพิ่งเปิดตัวออกมามีตัวถังยาว 4.86 เมตร กว้าง 1.90 เมตรและสูง 1.36 เมตร มีฐานล้อขนาด 2.82 เมตรเพื่อรองรับห้องเครื่องยนต์และห้องโดยสารขนาดใหญ่ ดีไซน์รถมีมิติที่สวยงาม
ดูเหมือนอีเวนต์ 24 Hours of Le Mans 2019 งานแข่งรถสายพันธุ์อึดที่จัดขึ้นในวันที่ 15-16 มิถุนายนนี้จะไม่ได้มีแค่ผลการแข่งขันว่าใครจะได้แชมป์มาราธอนของปีนี้ไปครองเพียงอย่างเดียวแล้ว เมื่อ Aston Martin ประกาศว่าพวกเขาเปิดตัว DB4 Zagato Continuation รถยนต์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่นดั้งเดิมของมันที่ผลิตขึ้นมาเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ให้กลับมาโลดแล่นบนท้องถนนอีกครั้ง ย้อนกลับไปในปี 1960 ค่ายรถจากเมืองผู้ดีเปิดตัว Aston Martin DB4 GT Zagato ในงาน London Motor Show รถรุ่นดังกล่าวผลิตขึ้นในโรงงาน Zagato ประเทศอิตาลี โดยตั้งใจผลิตมันออกมาเป็นสายพันธุ์นักแข่งน้ำหนักเบาที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 6 สูบขนาด 3.7 ลิตรซึ่งถือว่าแรงสุดในเวลานั้น แผนเดิมของพวกเขาคือผลิตออกมาทั้งหมด 25 คัน แต่ผลิตออกมาจริงเพียง 20 คันเท่านั้น จนกลายเป็นหนึ่งในโมเดลหายากที่แฟน ๆ Aston Martin ทั่วโลกอยากได้มาครอบครอง เวลาผ่านไปเกือบ 60 ปีพร้อมข่าวลือที่เล็ดลอดออกมาว่า Aston
สำหรับแบรนด์รถยนต์ที่ยืนหนึ่งเรื่องความ Innovation กับประวัติศาสตร์ที่ยาวนานถึง 85 ปีของ Nissan ล่าสุดได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านการเคลื่อนที่ในอนาคตในงาน CES Asia 2019 ด้วยการนำเสนอ เทคโนโลยีที่ใช้คลื่นสมองและการผสานโลกความเป็นจริง และโลกเสมือนจริงเพื่อช่วยผู้ขับขี่ ให้สมกับที่เป็นเจ้าแห่ง “Intelligent Mobility” Nissan แสดงเทคโนโลยี Invisible-to-Visible หรือ I2V เทคโนโลยี Brain-to-Vehicle หรือ B2Vรวมถึง IMs รถยนต์ต้นแบบที่ใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนแบบ all-wheel-drive (AWD) ที่งานแสดงสินค้า ณ นครเซี่ยงไฮ้ การจัดแสดงนวัตกรรมเหล่านี้เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกของ Nissan Intelligent Mobility ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ของแบรนด์ แก่ลูกค้า ที่เปลี่ยนวิธีขับเคลื่อนยานยนต์ เปลี่ยนวิถีในการขับขี่ รวมถึงการบูรณาการเข้ากับสังคม “ที่นิสสันเรามุ่งมั่นการพัฒนานวัตกรรมให้ก้าวไกลกว่าคนอื่นเสมอ” รอย เดอ วีรส์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดของนิสสัน (Roel De Vries – Senior Vice President for Marketing)
มันเป็นยุคของรถ SUV ที่ทำให้ตลาดรถ Supercar ต่างต้องแข่งกันออกแบบพัฒนารถหรู แรง และลุยได้ของตัวเองออกมาแย่งชิ้นเค้กในตลาดนี้กันไม่เว้นแม้แต่ Lamborghini ที่ส่ง Urus ตัวลุยโคตรแรงที่ถูกจำกัดความว่าเป็น Super SUV แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะ Happy กับการเห็นรถในฝันของตัวเองกลายร่างเป็นลุยทรงตลาดแบบนี้ (แม้จุดเริ่มต้นของค่ายนี้จะมาจากรถ Tractor และเคยมี SUV มาก่อนทำ Supercar ด้วยซ้ำ) What’s done is done! คนทำธุรกิจก็ต้องหาเงิน แต่ในขณะเดียวกัน Lamborghini ก็ไม่ปล่อยให้คนค้างคาใจ เปิดตัวลุย All-Road รุ่นใหม่ที่คราวนี้ไม่ทำให้ใครผิดหวังแน่นอน เพราะยึดจากรูปทรงรถของ Huracan ที่ผ่านการปรับแต่งรอบคันทั้งภายนอกและภายใน มั่นใจได้เลยว่าจะสถาพถนนแบบไหนก็สามารถลุยไปได้อย่างมีสไตล์กว่าใครเพื่อน Lamborghini Huracan Sterrato ถือเป็นรถ Off-roader ยุคใหม่รุ่นที่ 2 ของค่ายนับตั้งแต่ Urus ภายนอกสังเกตได้ทันทีว่ารุ่นนี้สายลุย ด้วยสติกเกอร์ตกแต่งรอบคันพร้อมไฟ LED ด้านหน้าและด้านบนหลังคารถ ช่วงล่างเพิ่ม clearence มีการยกสูงมากขึ้นกว่า Huracan ปกติถึงวง 47mm