ความหวังของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ดูเหมือนจะกลับมาเชิดฉายอีกครั้งทั้งผู้ผลิตและโรงหนัง หลัง Godzilla vs Kong เข้าฉายทุบทำลายสถิติรายได้สูงสุดในตลาดต่างประเทศหลัง Covid-19 ไปถึง $122 ล้านเหรียญ ยังไม่รวมตลาดสำคัญอย่างในอเมริกา ที่เตรียมเข้าฉายสัปดาห์หน้า และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิด Godzilla สถิติของ Godzilla vs Kong นั้นสูงยิ่งกว่า Tenet ของ Christopher Nolan ที่ทำรายได้ในตลาดต่างประเทศแบบไม่แคร์ Covid-19 ไปได้ $53 ล้านเหรียญ เข้าใจว่าน่าจะไม่อยากเลื่อนจนกระแสหายไป และแม้จะรู้ว่ารายได้จากโรงหนังอาจจะน้อย แต่ไปเน้นขายผ่าน online streaming ก็ยังทำเงินได้ ดีกว่ารอไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย แต่สำหรับ Godzilla vs Kong ดูเหมือนจังหวะจะดีกว่า เข้าฉายในช่วงที่คนอัดอั้นบรรยากาศการดูหนัง และบางประเทศเริ่มคลายมาตรการเกี่ยวกับ Covid-19 ไปแล้ว อย่างเช่นประเทศจีน ที่ก่อนหน้านี้ก็ทำสถิติให้ Avatar เวอร์ชั่นฉายใหม่ไปแล้ว มาถึงศึกสงครามสัตว์ประหลาดเรื่องนี้ แค่จีนประเทศเดียวก็กวาดไป $70.3 ล้านเหรียญ
บนโลกใบนี้ มีขาวย่อมมีดำ มีมืดย่อมมีสว่าง มีดีก็ย่อมมีห่วย ดังนั้นเรามีเวทีชื่นชมหนังยอดเยี่ยมประจำปีอย่างรางวัล Oscars แล้ว ไฉนเลยเราจะมีรางวัลที่มอบให้หนังยอดแย่ไม่ได้ และรางวัล Golden Raspberry Awards หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Razzie Awards จึงมีมาเพื่อสรุปความยอดแย่ของหนังในแต่ละปี เพื่อแซ่ซ้องโห่ฮาถึงหนังในแต่ละปีที่ที่เหลือทนจนต้องมอบรางวัลให้ ซึ่งรางวัลนี้ไม่ได้เพิ่งมาจัด แต่จัดกันมาแล้วถึง 40 ครั้ง และครั้งล่าสุดก็ถือเป็นครั้งที่ 41 แล้ว เรามาทำความรู้จักรางวัลของหนังแสนห่วยนี้ มาดูกันว่าที่ผ่านมาได้บันทึกความห่วยในแง่ไหน และปีล่าสุดนี้มีมีหนังเรื่องไหนที่ได้รับการเข้าชิงกันบ้าง ค่ำคืนปาร์ตี้เกรียน ๆ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแจกรางวัลหนังโคตรห่วย รางวัล Golden Raspberry Awards เริ่มต้นแบบไม่ตั้งใจในปี 1981 เมื่อ Copy Writer และ นักประชาสัมพันธ์ที่ชื่อ John J. B. Wilson จัดปาร์ตี้ดูถ่ายทอดสดคืนประกาศผลรางวัลออสการ์ครั้งที่ 53 กับเพื่อน ๆ ที่บ้านของเขาในย่านฮอลลีวู้ด เมื่อดูจบ จากนั้น
‘ภาวะผู้นำ’ เป็นสกิลสำคัญที่ช่วยให้หัวหน้าประสบความสำเร็จเสมอทั้งในเรื่องการสร้างภาพลักษณ์ และการควบคุมดูแลลูกน้องให้อยู่หมัด ในทางกลับกัน หากหัวหน้าไม่มีภาวะผู้นำแล้ว มักนำปัญหามาสู่การทำงาน และอาจทำให้เกิดกระแสตีกลับจากผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่เสมอ ซึ่งเรื่องภาวะผู้นำ เราสามารถเรียนรู้ได้ผ่านการดูหนังเช่นกัน เราเลยได้รวบรวมหนังดี ๆ 5 เรื่องที่ช่วยสอนเรื่องการเป็นหัวหน้ามาให้ทุกคนได้ลองไปดูกัน Up in the Air (2009) การรับฟังความเห็นของคนอื่นถือเป็นคุณสมบัติที่หัวหน้าจะต้องมี เพราะถ้าเราไม่รับฟังความคิดเห็นของบางคน เช่น ลูกน้อง เราอาจเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือ คนรุ่นใหม่ที่เขาอาจมีข้อเสนอแนะในการทำงานที่ทันสมัยกว่า ถ้าเราไม่ยอมรับไอเดียใหม่ และยึดความคิดเก่ามากเกินไป เราก็อาจไม่เท่าทันสถานการณ์ปัจจุบันได้เหมือนกัน เรื่องเหล่านี้ถูกเล่าออกมาได้เป็นอย่างดีในภาพยนตร์เรื่อง Up in the Air ซึ่งเล่าถึงชีวิตของ ไรอัน พนักงานบริษัทคอนเซาท์ทรัพยากรมนุษย์ (HR) ที่เชี่ยวชาญเรื่อง ’การช่วยเลย์ออฟคน’ โดย ไรอัน ต้องเดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อเป็นตัวแทนไล่คนออกจากบริษัทของผู้ว่าจ้าง ไรอันดูจะมีความสุขกับอิสรภาพที่เขาได้รับจากงานของตัวเอง การได้นั่งเครื่องบินไปตามที่ต่าง ๆ พบเจอกับสาวสวยอย่าง อเล็กซ์ แต่เขาก็เริ่มตั้งคำถามกับชีวิตตัวเองมากขึ้น หลังจากที่ได้เจอกับ นาตาลี พนักงานใหม่ไฟแรง ที่เสนอให้มีการเลย์ออฟคนผ่านการ video conference
เรียกได้ว่าฉลองชัยในการเป็นแชมป์หนังทำเงินตลอดกาลทั่วโลกได้เพียงไม่กี่ปี ในที่สุดบทสรุปหนังรวมดาวจักรวาลมาร์เวลเฟสสาม Avengers: End Game ที่สร้างสถิติหนังทำเงินตลอดกาลในปี 2018 ก็ถูกทำลายลง ซึ่งหนังที่มาเบียดตำแหน่งจนเหล่าซูเปอร์ฮีโรหล่นตุ้บลงไปอยู่อันดับ 2 ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อดีตแชมป์ที่เคยถูกโค่นจนร่วงหล่นมาอันดับ 2 อย่างหนัง Avatar นั่นเอง ได้รับการยืนยันจากตาราง Box Office อย่างเป็นทางการแล้วว่า Avatar ที่นำกลับมาฉายใหม่ที่ประเทศจีนในสุดสัปดาห์ที่ 12 มีนาคม 2021 ที่ผ่านมานั้นทำรายได้รวม 21 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 127 ล้านหยวนของจีน ซึ่งตัวเลขนั้นเองไม่ได้มากมายนัก แต่ก็มากพอที่จะพาตัวเองกลับเข้ามาครองบัลลังก์หนังทำเงินสูงสุดในโลกอันดับ 1 ได้อีกหนด้วยรายได้รวม 2,810 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรากฎการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้อย่างไรในยุคสมัยที่ภาพยนตร์และธุรกิจโรงหนังนั้นกำลังอยู่ในภาวะซบเซาจากวิกฤตไวรัสระบาด Unlockmen ขอทำการถอดรหัสความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ไปด้วยกัน จริงอยู่ว่าในช่วง Lockdown ที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้ดูหนังเก่ามากมายเพราะสตูดิโอค่ายยักษ์ใหญ่ต่างพากันเลื่อนฉายหนังใหญ่ของตนไปอย่างไม่มีกำหนด ไม่ว่าจะเป็น No Time to Die / Black Widow / The Fast
หลายคนอาจจะรู้จักเขาในฐานะนักแสดงตลกสุดฮา ที่มาพร้อมความป่วนและความกวนแบบสุดห่ามแห่งทศวรรษที่ 2000’s จวบจนปัจจุบัน แถมยังออกตัวว่าโปรดปรานกัญชาแบบเข้าเส้นอีกด้วย และในวันนี้ ฝันของเขากำลังจะเป็นจริง เมื่อดาวตลกท่านนี้ สามารถผลักดันแบรนด์กัญชาสู่ประชากรอเมริกันได้เป็นผลสำเร็จ เรามาทำความรู้จักทั้งตัวตนของชายสุดห่ามคนนี้ รวมถึงแบรนด์ Houseplant ที่เป็นมากกว่าสมุนไพรสายเขียวของผู้ชายคนนี้ Seth Rogen สำหรับคอหนังคงไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงกันมากมาย สำหรับนักแสดงสายฮาผู้มาพร้อมความกวนระดับพระกาฬ จากที่เขาได้แจ้งเกิดในหนังตลก Knocked Up เรื่องของความสัมพันธ์เพียงชั่วข้ามคืนของหนุ่มเนิร์ดที่รับบทโดย Seth กับสาวสวย แต่ต้องซวยตลอดไปเมื่อพวกเขาเผลอมีลูกด้วยกันแบบไม่ตั้งใจ ที่กลายเป็นหนังฮิตสะท้อนชีวิตสายอันเดอร์ด็อกได้อย่างถึงแก่น ทำให้ Seth Rogen เป็นดาวตลกที่เข้าถึงผู้ชาย Gen-Y จนถึง Gen-Z กันอย่างล้นหลาม ด้วยความห่ามและตลกในแบบที่เข้าถึงได้ นอกจากนี้ยังวาดลวดลายในหนังเจ๋งๆอีกหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Funny People (2009) 50/50 (2011) The Green Hornet (2011) Bad Neighbors (2014) รวมไปถึงการให้เสียงพากย์ในหนังแอนิเมชั่นอย่าง Kung Fu Panda (2008) แถมยังฉาวไปกำกับหนังที่เล่าถึงการไปตามสัมภาษณ์ท่านผู้นำแห่งเกาหลีเหนืออย่าง The
ศิลปินฮิปฮอปกวนส้นเท้า / นักข่าวป่วนที่ชวนระอา / เผด็จการบ้าอำนาจ หรือดีไซน์เนอร์แต๋วแนวกัดจิก ทั้งหมดทั้งมวล เกิดจากตัวตนของผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่เพิ่งคว้ารางวัลลูกโลกทองคำนักแสดงนำชายสาขาภาพยนตร์เพลงและตลกมาหมาด ๆ จากภาคต่อของหนังโคตรกวนแต่ฮิต Borat ด้วยคาแรคเตอร์ที่ชอบสร้างสถานการณ์สุดประหลาดผ่านการถ่ายทำสารคดีเก๊ (Mockumentary) ที่คนดูโคตรขำ แต่คนถูกอำมักไม่ค่อยจะฮาด้วย การจิกกัดสังคมแบบสุดห่าม ทำให้ชายหนุ่มจากอังกฤษคนนี้ เป็นที่ถูกอกถูกใจของนักดูหนังที่ชอบความเกรียน และเฝ้าติดตามผลงานเรื่องต่อไปว่าเขาจะมาในคาแรคเตอร์ไหนอยู่เสมอ กระทั่งปีที่ผ่านมาการแสดงของเขาไม่ถูกจัดอยู่เพียงบทบาทฮา ๆ แต่ยังเดินหน้าสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการแสดงระดับคุณภาพที่ทำให้ได้เข้าชิงรางวัลสมทบฝ่ายชายยอดเยี่ยมจาก The Trial of the Chicago 7 อีกด้วย วันนี้เราขอพาย้อนไปทำความรู้จักคาแรคเตอร์ต่าง ๆ ที่สร้างชื่อให้กับเขา และจะพบว่าแต่ละตัวละครที่เขารับบทบาทนั้น กล้า ซ่า และบ้าดีเดือดขนาดไหน ก่อนหน้าที่ Sacha Baron Cohen จะหันเหเข้าสู่วงการตลก เขามีดีกรีถึงนักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาประวัติศาสตร์จากมหาลัยมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ก่อนจะค้นพบพรสวรรค์จากการเล่นตลกเมื่อเขาไปเรียนการแสดงเสริมที่ปารีส และเริ่มสร้างตัวตนผ่านคาแรคเตอร์แร๊ปเปอร์สุดแสบที่ชื่อ Ali G ที่เริ่มต้นจากแก๊กสั้นๆในรายการ The 11 O’Clock Show ของ Channel 4
เนื้อเรื่องของดาบพิฆาตอสูรภาคต่อใน Anime ที่เน้นการผจญภัยใน ‘โยชิวาระ’ ย่านอโคจรที่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับเข้มงวดเหมือนด่านตรวจคนเข้าเมืองตามสนามบินในยุคปัจจุบัน อยู่ ๆ ดินแดนแห่งความรื่นเริงใจของบุรุษกลับเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาด เหมือนกับว่ามีปีศาจร้ายออกอาละวาด หน่วยพิฆาตอสูรแห่งยุคไทโช จึงต้องตามหาต้นตอของปัญหา จัดการเหล่าร้ายร่วมกับ ‘อุซุย’ เสาหลักเสียง …และนี่คือเรื่องราวคร่าว ๆ ของ ดาบพิฆาตอสูรแอนิเมชันซีซัน 2: ย่านเริงรมย์ ต้องเกริ่นกันไว้ก่อนว่า NIHON STORIES ตอนนี้จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการดื่มด่ำกับบรรยากาศของโยชิวาระในยุคไทโชที่ประชาธิปไตยเบ่งบาน อาจจะมีเนื้อหาที่ผู้รอชมแอนิเมชันอย่างใจจดใจจ่อแต่ไม่เคยอ่านมังงะไม่ควรได้รู้ตอนนี้ (เพราะจะเป็นการสปอยล์ให้เสียอารมณ์) ส่วนที่สองคือพาร์ทที่สามารถอ่านได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเปิดเผยเนื้อเรื่อง เนื่องจาก UNLOCKMEN เตรียมแผนไว้ในอนาคตข้างหน้า กับโยชิวาระในยุคปัจจุบัน หากโควิด-19 จบลงเมื่อไหร่ สถานที่ในมังงะก็กำลังรอให้ทุกคนได้ไปเยี่ยมเยียนเพื่อย้อนรอยความยิ่งใหญ่ของย่านบันเทิงที่มีปีศาจสิงสู่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น *เนื้อเรื่องส่วนนี้มีการสปอยล์ต่อคนที่ยังไม่ได้อ่านมังงะ เนื้อเรื่องของดาบพิฆาตอสูรเล่ม 9 เริ่มต้นกับบท ‘แผนแทรกซึมเข้าย่านเริงรมย์’ หากใครเคยอ่านบทความของ NIHON STORIES ก่อนหน้านี้ที่เล่าถึงประวัติศาสตร์ของดินแดนต้องห้ามโยชิวาระ จะรู้กันดีว่าบุรุษที่ต้องการเข้าเมืองนั้นไม่สามารถพกอาวุธ หรือเดินดุ่ม ๆ ไม่ดูตาม้าตาเรือเข้าย่านนี้ได้ หากจะทำอะไรบางอย่างนอกเหนือเพลิดเพลินกับสาวงามในโยชิวาระ ทุกอย่างต้องวางแผนไว้อย่างรอบคอบก่อนเสมอ กฎข้อบังคับที่เข้มงวดตั้งแต่หน้าประตู ทำให้อุซุยที่พยายามเข้าโยชิวาระในฐานะลูกค้าเพื่อสืบข้อมูล แต่เขากลับไม่ได้อะไรมากมายกลับมา
เจ้าหน้าที่สาวค่อย ๆ เดินเข้าไปยังห้องขังที่คราคร่ำไปด้วยนักโทษคดีพิสดารมากมาย แต่ในห้องที่ลึกที่สุดกลับกักขังผู้ชายที่อันตรายที่สุดเอาไว้ในห้องนิรภัยที่มีล็อกไว้อย่างแน่นหนา ยิ่งเธอค่อย ๆ เดินเข้าไป รังสีอำมหิตก็ค่อย ๆ แผ่ซ่านคืบคลานมาใกล้ จนเธอเดินไปยังจุดหมาย เพียงแค่สายตาของเขาที่จับจ้องมา ก็จู่โจมจนเธอชะงักงัน ทั้ง ๆ ที่มีกระจกนิรภัยอันหนาแน่นกั้น แต่สัมผัสได้ถึงการคุกคามจนยากที่ขยับเขยื้อนตัวไปไหนได้ แววตาอันแข็งกร้าวภายใต้น้ำเสียงอันทุ้มนุ่มลึกนี้ สร้างความหวาดกลัวให้กับนักอ่านและคอหนังมาแล้วถึง 4 ทศวรรษ UNLOCKMEN ขอนำคุณไปทำความรู้จักกับฆาตกรอัจฉริยะ Hannibal Lecter ที่สร้างตำนานความโหดและความเฉลียวฉลาดผ่านหนังและซีรีส์มาอย่างมากมาย เพื่อรับรู้ว่า เขาคือวายร้ายที่โลกรักที่สุดในโลกภาพยนตร์ Dr. Hannibal Lecter โลดแล่นบนหน้ากระดาษผ่านนวนิยายฆาตกรรมสืบสวนสอบสวน ตั้งแต่ปี 1981 โดยผู้ประพันธ์ Thomas Harris ได้แรงบันดาลใจของฆาตกรสุดอำมหิตแต่ฉลาดเป็นกรดนี้มาจากการที่เขาได้ทำงานเป็นนักข่าวให้กับนิตยสาร Argosy และมีโอกาสได้สัมภาษณ์ฆาตกรโรคจิตรายหนึ่งที่ถูกผู้คุมยิงได้รับบาดเจ็บจากการหลบหนี ณ เรือนจำรัฐ Nuevo León ในระหว่างที่ทำการสัมภาษณ์นั้น Thomas ก็ได้พบหมอที่ให้การรักษา Dr. Alfredo Ballí Treviño ที่ใครต่อใครในนั้นเรียกหมอคนนี้ว่า “Dr.Salazar” ชายผมแดงตัวเล็กท่าทางสุภาพคนนี้ อธิบายการรักษา
มีใครสักคนเคยบอกไว้ว่า คนที่เคยสร้างเสียงหัวเราะให้เรา เมื่อใดที่เขาจากไป เขาจะทำให้เราร้องไห้มากกว่าปกติหลายเท่า และทฤษฎีนี้ก็เป็นความจริง เมื่อเราได้รับข่าวสุดช็อคถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของนักแสดงสายฮา ที่แม้ไม่เคยมีโอกาสได้รับบทเด่นนักแสดงนำ แต่ชายผู้นี้กลับสร้างความรู้สึกที่ดี และเป็นที่จดจำพูดถึงได้ในฐานะนักแสดงสมทบมาอย่างยาวนาน UNLOCKMEN ขอพาทุกคนนั่งไทม์แมชชีน สำรวจ 5 บทบาทอันยอดเยี่ยมที่ผ่านมา ที่บางเรื่องยังสามารถหาชมได้ทางสตรีมมิ่งในขณะนี้ ไปย้อนดูความเก่งกาจของนักแสดงผู้ยิ่งใหญ่และอารมณ์ดีท่านนี้ ที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม อู๋ม่งต๊ะ นักแสดงสมทบยอดเยี่ยมตลอดกาล A Moment to Romance (1990) – ผู้หญิงข้า…ใครอย่าแตะ ผลงานที่ทำให้เขาคว้ารางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากเด็กหนุ่มจากจีนแผ่นดินใหญ่ เดินทางมาไกลเพื่อเต็มเติมฝันในฐานะนักแสดงจากทีวีบีในยุค 70s อู๋ม่งต๊ะ แม้หน้าตาของเขาจะไม่หล่อดุจเทพบุตร แต่เขาก็พยายามค้นหาตัวตนจากการรับบทตัวประกอบมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะเลือกรับบทตัวร้าย เหตุผลเพราะในยุค 80s นั้นที่ว่างของตำแหน่งนี้ยังมีให้เขาได้รับอยู่เสมอ อู๋ม่งต๊ะจึงพยายามเล่นหนังที่เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ขอให้ได้แสดง ก็เพียงพอแล้ว แต่บทบาทที่ทำให้คนดูหนังตราตรึง กลับหาใช่บทตัวร้ายที่เขาพยายามมาโดยตลอดไม่ แต่กลับเป็น Rambo ชายกระจอกไร้บ้าน รับจ้างล้างรถที่มาจอดแลกเศษเงิน เป็นทั้งลูกพี่และลูกกระจ๊อกของหลิวเต๋อหัวในคราวเดียวกัน ในหนังที่สร้างชื่อให้หลิวเต๋อหัวได้เป็นขวัญใจนักดูหนังชาวไทย นั่นก็คือ “ผู้หญิงข้า…ใครอย่าแตะ” นั่นเอง บทบาทนักเลงปลายแถวสุดกระจอก อวดดี และอยากเป็นนักเลงโตของอู๋ม่งต๊ะ ฉายภาพของคนจรไร้รากได้ทั้งน่าหมั่นไส้และน่าสงสารในคราวเดียวกัน
แม้จะผ่านปี 2021 มาแล้ว 2 เดือน แต่สถานการณ์ของวงการหนังก็ยังไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะโรงหนังที่ยังไม่มีสตูดิโอไหนกล้าที่จะปล่อยหนังเด็ดหนังใหญ่ให้ได้ดูกันแบบปกติเหมือนปีก่อน ๆ เช่นเคย แต่ช้าก่อน…ถึงแม้บางคนยังไม่กล้าที่จะดูหนังในโรง แต่สตรีมมิ่งอย่าง Netflix ก็ยังเสนอความร้อนแรงผ่านหนังหลากหลายให้ได้ชมกันเช่นเดิม และในเดือน มีนาคม 2021 นี้ Netflix ก็ยังมีหนังดี ๆ หลากแนว หลายรูปแบบให้ชม ทั้งสารคดี / หนังแอ๊คชั่น ไปยันหนังตลกก็มีให้ชมอย่างจุใจ แถมยังมีหลายสัญชาติให้คอหนังได้ลองลิ้มชิมรสชาติที่แตกต่างอีกด้วย ไปดูกันว่าเดือนนี้ มีหนังอะไรเด็ด ๆ ที่ UNLOCKMEN ภูมิใจเสนอให้ดูกันบ้าง เริ่มต้นด้วยสารคดีที่เล่าถึงแร็ปเปอร์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าสำคัญให้กับวงการ Hip Hop ก่อนถูกลอบสังหารอย่างเป็นปริศนาที่ค้างคาใจครอบครัวมาตลอด 24 ปี หนังเล่าเรื่องของ Christopher George Latore Wallace หรือ ฉายา Biggie Smalls ที่มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ๆ และเกือบจะได้เป็นศิลปินแจ๊ส ก่อนชีวิตจะหักเหไปสู่หนทางแห่งการค้ายา อำนาจ และพลังแห่งดนตรี
ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าช่วงนี้กระแสของเหล่าแก๊งมาเฟียกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นข่าวรองหัวหน้าแก๊งยากูซ่าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเพิ่งออกจากคุกมาหมาด ๆ หรือภาพยนตร์มาเฟียเรื่อง The Irishman ของผู้กำกับดังออกฉายพร้อมกวาดรางวัลจากเวทีไปแล้วนับไม่ถ้วน ไปจนถึงเรื่องราวของแก๊งนักเลงปลายแถวจากย่านเบอร์มิงแฮมของเกาะอังกฤษที่นำมาสร้างเป็นซีรีส์เรื่อง Peaky Blinders ทั้งหมดสามารถโหมกระแสโลกผู้ชายให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ในวันนี้ UNLOCKMEN ไม่ได้มาเล่าถึงเรื่องราวในซีรีส์ของ Peaky Blinders แต่เน้นการเจาะลึกด้านแฟชั่นอันโดดเด่นของ Thomas Shelby กับชาวแก๊งของเขาว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมสั้นเกรียนเกือบทั้งหัว เสื้อโค้ตยาว หมวกรุ่นคุณปู่แสนเชย และมวนบุหรี่ถึงเท่มากเมื่ออยู่ในหนังเรื่องนี้ WHAT IS ‘PEAKY BLINDERS’ ? ย้อนกลับไปในเกาะอังกฤษคริสต์ศตวรรษที่ 19 ช่วงเวลาแห่งรอยต่อระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ใครหลายคนไม่คาดคิดว่าโลกจะกลายเป็นสนามรบอีกครั้ง อังกฤษกำลังเจริญทางด้านอุตสาหกรรมแบบสุด ๆ แต่กลับไม่ใช่ทุกคนจะร่ำรวย ยังมีคนตกงานจำนวนมาก ชนชั้นแรงงานทำงานหนักเพื่อแลกกับเงินจำนวนน้อยนิด เกิดอาชญากรรมบ่อยครั้งในย่านที่ไม่ค่อยได้รับการใส่ใจ Peaky Blinders เป็นเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากบุคคลที่มีตัวตนจริงในอังกฤษช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่ในชีวิตจริงพวกเขาเป็นแก๊งอันธพาลเล็ก ๆ ในเมืองเบอร์มิงแฮม สมาชิกของกลุ่มส่วนใหญ่เป็นเยาวชนแต่งตัวจัดจ้าน จากคำบอกเล่าของผู้คนบอกว่า ชาวแก๊งบางคนมีแต่กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่ง เดินเตร่ไปมาบนถนน ไม่ได้มีอำนาจล้นมือมากขนาดนั้น
ช่วงนี้กระแสของการเล่น SurfSkate & Skateboard กลายเป็นเทรนด์ฮิตอย่างมาก ไม่เพียงแค่หมู่วัยรุ่นเท่านั้น แม้แต่วัยทำงานที่เคยมองผ่านกีฬา Extreme ชนิดนี้ในยุครุ่งเรืองก็เล่นกันให้เต็มบ้านเต็มเมืองเลยทีเดียว เหล่า celeb ที่โหมจนเซิร์ฟบกกลายเป็น Mega เทรนด์ใหม่ รวมไปถึงเด็ก ๆ ต่างก็พากันจับจองพื้นราบพื้นเนินตามสวนสาธารณะ เพื่อเล่นกีฬาสุดฮิตนี้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อปล่อยตัวไปตามไปตามแรงลมและลู่ล้อแห่งความอิสระเสรี เรามาดูวิวัฒนาการผ่านหนัง Surf Skate & Skateboard ที่แม้บางเรื่องจะหาดูยาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถในการรับชมได้ทาง Internet และบางเรื่องก็บันทึกช่วงเวลาสำคัญแห่งนักสเก็ตบอร์ดชื่อดังในตำนาน UNLOCKMEN ไม่อยากให้คุณพลาดกับที่สุดของหนังเหล่านี้ ถ้าพร้อมแล้ว ไถหน้าจอแล้วไปหาดูกันได้เลย คุณูปการสำคัญสำหรับ Skaterdater คือหนังที่ได้รับการบันทึกว่า “เป็นหนังสเก็ตบอร์ดเรื่องแรกของโลก” หนังสั้นไร้ไดอะล็อคเรื่องนี้ บันทึกภาพของเหล่าเด็กสเก็ตเท้าเปล่าที่โชว์ความโลดโผนบนท้องถนน ผ่านสายตาผู้คนในชุมชนมากมายที่บ้างมองด้วยความทึ่ง บ้างมองด้วยความดูถูกดูแคลน แต่หนุ่มน้อยคนหนึ่งในแก๊งกลับผ่าเหล่าเมื่อเขาได้ชนกับเด็กสาวที่ขี่จักรยานโดยบังเอิญ จนกลายเป็นความรัก / ความขัดแย้งของกลุ่ม / การแบทเทิ่ล และการเรียนรู้ของชีวิตในแบบ Coming-of-Age จนเรียกได้ว่าเป็น “แฟนฉัน” ฉบับ Skateboard ได้เลย หนังสั้นเพียง 15