วันก่อนเราเห็นบทความจากเพจลงทุนแมน สรุปราคาค่าออกแบบโลโก้แบรนด์ดังสนนราคาหลายหลัก รู้สึกทึ่งทั้งงานและราคา เชื่อว่าพ่อแม่คนไหนผ่านมาเห็นและมีลูกเป็นกราฟิกจะต้องยิ้มภูมิใจอย่างแน่นอน ยกเว้น Microsoft กับ CocaCola ไว้สัก 2 แบรนด์เพราะเขาคิดราคาจ่ายไปพร้อมเงินเดือนแล้ว ส่วนโลโก้ Nike ราคานักศึกษาอันนั้นก็คงไม่ต้องพูดถึง ราคาสุดโหดที่จบด้วยงานมินิมัลเหล่านี้ ไม่มีอะไรเป็นบรรทัดฐานตายตัว อยู่ที่ความพอใจกับฝีมือล้วน แน่นอนว่าเบื้องหลังอาจจะมีแนวคิดอัดแน่นกว่าที่เห็นแต่ถ้าไม่เปิดเผยใครจะรู้? แถม “ความสวย” “ความเท่” เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทำให้เกิดช่องว่างราคามหาศาล ในตลาดเลยมีคนออกแบบงานได้ราคาแสนถูกและแพงให้เลือกตามความพอใจ ที่สำคัญวันนี้ยังมี AI เข้ามาเป็นทางเลือกสุดถูกเพิ่มให้อีกตัวด้วย! BRANDCROWD เป็นเว็บไซต์บริการออกแบบโลโก้ที่ใช้ AI ประมวลผลในพริบตาและเคลมว่าตัวเองก็อยู่ท็อป ๆ ของการออกแบบโลโก้เพื่อสร้างแบรนด์ครบวงจร คุณแค่คิดและลงมือพิมพ์ระบุสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่การออกแบบส่วนที่เหลือที่เกี่ยวข้องกับการใช้โลโก้เขาจะเตรียม Artwork พร้อมใช้ให้ได้ทุกส่วน บทความนี้ไม่เหมาะแก่การทุ่มเถียงเอาเป็นเอาตาย ด่า AI ไปก็ใช่เรื่อง เชิญพิสูจน์ความสามารถมันด้วยตาตัวเองแบบเดียวกับเราดีกว่า ใช้เวลาแค่ไม่ถึง 10 นาทีก็ได้โลโก้มาใช้งานแล้ว จากที่เข้าไปใช้ด้วยตัวเอง มันฉลาดกว่าที่คิดและเว็บไซต์นี้ประเมินผลไว และนี่คือ Tutorial เบา ๆ แนะนำการใช้ที่ยืนยันว่ามันง่ายจริงว่ะคุณ 1. พิมพ์ชื่อแบรนด์ที่ต้องการทำ
“GOLDEN MOMENTS” ‘เอ็กซ์คลูซีฟ ปาร์ตี้ เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งความสำเร็จให้กับภารกิจพิชิตดวงจันทร์ ที่นำท่านย้อนเวลาสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ กับวินาทีที่สองนักบินอวกาศจากโครงการอพอลโล 11 ประทับรอยเท้าลงบนพื้นผิวดวงจันทร์ได้สำเร็จพร้อมร่วมดื่มด่ำกับความล้ำค่าของเหล่าเรือนเวลา ‘สปีดมาสเตอร์’ สัญลักษณ์แห่งความช่างประดิษฐ์ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นนาฬิกาเรือนแรกที่สวมใส่บนดวงจันทร์อย่างแท้จริง พร้อมไฮไลท์เปิดตัว OMEGA SPEEDMASTER APOLLO 11 50th Anniversary Limited Edition อย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย อีกทั้งยังได้รับเกียรติจากวีรบุรุษแห่งองค์การนาซา มร.เทอร์รี่ เวิรตส์ นักบินอวกาศผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของมิชชั่นสุดหฤโหดมานับไม่ถ้วน และ มร.เกรกอรี่ คิสลิ่ง หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ โอเมก้า สวิตเซอร์แลนด์ บินตรงร่วมฉลองพร้อมพูดคุยแบบเอ็กซคลูซีฟ เป็นเวลากึ่งศตวรรษแล้ว กับความสำเร็จของโครงการสำรวจดวงจันทร์อพอลโล 11 นับตั้งแต่ “นีล อาร์มสตรอง” และ “บัซ อัลดริน” ประทับรอยเท้าลงบนดวงจันทร์อย่างกล้าหาญในปี 1969 จนกลายเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง ในวาระครบรอบ 50 ปี ของเหตุการณ์สำคัญที่สุดของมวลมนุษยชาติ โอเมก้า (OMEGA)
‘ความเร็ว’ ‘ซูเปอร์คาร์’ ‘ศาสดาอาร์ต’ ‘งานศิลปะ’ ทั้งหมดนี้เมื่อมองดูแล้วไม่น่าจะเป็นสิ่งที่สามารถรวมกันได้ แต่สำหรับ BMW มองเห็นความเจ๋งของทุกอย่างที่กล่าวมาจนเกิดงานศิลปะสุดแนวชื่อว่า BMW Art Car โดยได้เหล่าศิลปินชื่อก้องโลกแต่ละยุคมามีส่วนสร้างสรรค์รถซูเปอร์คาร์ให้กลายเป็นศิลปะ เช่นเดียวกับผลงานที่ครบรอบ 40 ปี ในปีนี้กับงานของ BMW M1 และ เจ้าพ่อ Pop Art นาม Andy Warhol คอรถวินเทจหลายคนคงรู้จักซูเปอร์คาร์จากค่าย BMW กับรุ่น M1 ทวินแคม 6 สูบเรียง 3,500 ซีซี (3.5 ลิตร) เครื่องยนต์วางกึ่งกลาง โดดเด่นทุกครั้งเวลาเปิดประตูด้วยประตูแบบปีกนก ไฟหน้าแบบ pop up สุดคลาสสิก พร้อมขุมพลัง 470 แรงม้า ซึ่งถือว่า BMW เป็นแบรนด์รถยนต์แรก ๆ ที่สามารถทำความเร็วแรงได้มากขนาดนี้ BMW M1 เริ่มวางจำหน่ายช่วงปี 1978-1981 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวก็มีศิลปินชาวอเมริกันกำลังโด่งดังเป็นพลุแตกด้วยผลงานแนว
ย้อนไปในปี ค.ศ. 1950-1970 เป็นช่วงเวลาที่การออกแบบสไตล์บรูทัลลิสต์ครองความนิยมทั่วโลก เพราะเน้นการแสดงออกเชิงโครงสร้าง เลือกใช้สัจจะวัสดุอย่างคอนกรีตเป็นพระเอกของเรื่อง อวดพื้นผิวที่เป็นธรรมชาติ พร้อมเปิดให้เห็นเนื้อแท้ของวัสดุก่อสร้างอย่างโจ๋งครึ่ม ไม่เพียงออกแบบเปลือกนอกของตัวอาคารด้วยรูปทรงเรขาคณิต แต่ยังนำแพตเทิร์นซ้ำไปซ้ำมาสร้างความโดดเด่นให้สถาปัตยกรรมสไตล์นี้ ซึ่งคอนเซ็ปต์การดีไซน์นั้นแฝงกลิ่นอายของยุโรปสมัยก่อนและคงเสน่ห์แห่งความร่วมสมัยมาจนถึงปัจจุบัน สถาปัตยกรรมที่ถูกนำมาใช้ในอาคารราชการ เพราะสะท้อนอุดมการณ์แรงกล้า BRUTALIST ARCHITECTURE ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่อัดแน่นไปด้วยอุดมการณ์และความซื่อสัตย์สุจริต ในอดีตมันคือสิ่งแปลกใหม่ที่โค่นล้มความคิดเก่าคร่ำครึในแวดวงสถาปัตยกรรมไปได้แบบขาดรอย แถมรูปแบบงานดีไซน์ยังถูกนำไปใช้ในการออกแบบอาคารราชการและอนุสรณ์สถาน เนื่องจากบ่งบอกถึงความแข็งแรง มั่นคงหนักแน่น และตรงไปตรงมา แต่บางทีมันก็แสดงออกถึงความเป็นเผด็จการ เมื่อสังคมเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น ความคิดความอ่านของผู้คนก็แปรผัน สถาปัตยกรรมแนวบรูทัลลิตส์ที่เคยงดงามถูกมองว่าโหดร้าย เข้าถึงยาก และดูเป็นนามธรรม ทั้งยังนำไปผูกโยงกับลัทธิคอมมิวนิสต์ ทำให้รูปทรงเรขาคณิตและปูนเปลือยที่เป็นเอกลักษณ์กลับสื่อถึงความเป็นเผด็จการและแสดงความก้าวร้าวรุนแรง ต้องบอกว่าความคิดสมัยใหม่นั้นเจาะทำลายโครงสร้างของสถาปัตยกรรมแนวนี้ไปได้อย่างง่ายดาย แถมมีการประเมินว่าโครงสร้างแข็งแรงทนทานของสถาปัตยกรรมบรูทัลลิสต์ ต้องใช้เงินมหาศาลในการทำนุบำรุงและเป็นเรื่องยากที่จะดัดแปลงหรือแต่งเติม การกลับมาของสถาปัตยกรรมที่เคยถูกดูแคลน แต่แล้วแนวคิดที่เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าน่าเกลียดน่าชังในอดีต ก็หวนคืนสู่วงการสถาปัตยกรรมและกลับมาผงาดอีกครั้งอย่างสง่างาม ในช่วงไม่กี่ปีมานี้มีการหยิบเอารูปแบบงานดีไซน์คอนกรีตของบรูทัลลิสต์ มาดัดแปลงให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน แม้จะลดทอนความแข็งกร้าวของรูปทรง แต่ยังคงการเล่นแพตเทิร์นและคอนกรีตที่เป็นเอกลักษณ์ แต่เปลี่ยนจากคอนกรีตเปลือยที่หนาเตอะวิวัฒนาการเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กกล้าที่ยังแข็งแกร่ง ทนทาน และงดงามเหนือกาลเวลาเช่นเคย Centre Point, London Habitat 67, Montreal Sirius Building, Sydney Robarts Library, Toronto Hayward
หลังจากคอลเลกชัน Adidas x Dragonball Z ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น ดูเหมือนยักษ์ใหญ่ค่ายกีฬาอย่าง Adidas กำลังมองหาการ์ตูนเรื่องใหม่มาคอลแลปส์รองเท้าอีกครั้ง ล่าสุดมีภาพหลุดรองเท้าคู่ที่ 2 ในคอลเลกชันออกมาแล้วโดยเป็น NARUTO x ADIDAS ซึ่งอาจารย์จากทีม 7 อย่าง “ฮาตาเกะ คาคาชิ” ก็เป็นตัวละครผู้ถูกเลือกนั่นเอง ก่อนหน้านี้มีข่าวเล่าลือว่าค่ายสามขีดและ Naruto Shippeden หรือชื่อไทยที่ว่า นินจาจอมคาถา ผลงานของอาจารย์ Masashi Kishimoto หนึ่งในการ์ตูนดังจากแดนปลาดิบที่หนุ่มทั่วโลกหลงใหล โดยลือกันว่ากำลังซุ่มร่วมทำงานคอลแลปส์รองเท้าคอลเลกชันใหม่กันอยู่ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีภาพหลุดรองเท้าที่คาดกันว่าเป็นคู่ประจำตัวนางเอกของเรื่อง ฮารุโนะ ซากุระ ที่มีสีแดง-ชมพู คล้ายกับชุดหลักของตัวละคร รวมถึงสัญลักษณ์ T7 แปลว่า ทีม 7 ติดไว้ข้างเท้าด้านนอก รวมถึงแผ่นอินโซลสีม่วงที่มีรูปตัวละครอยู่ด้วย ซึ่งทำให้ผู้ที่ชอบการ์ตูนเรื่องนี้พากันคาดเดากันว่าคอลเลกชันดังกล่าวใกล้สมบูรณ์แล้ว ยิ่งเป็นการตอกย้ำข่าวลือไปอีกเมื่อมีรูปหลุดของรองเท้าคู่ล่าสุดซึ่งคราวนี้เป็นตัวละครโปรดของใครหลายคนอย่าง ฮาตาเกะ คาคาชิ ผู้เป็นอาจารย์ในทีม 7 ของเหล่าตัวเอก รวมถึงโฮคาเงะรุ่นที่ 6 ในเวลาต่อมา ผู้ซึ่งมีเอกลักษณ์เด่นคือผ้าคลุมปากและผ้าคาดศรีษะที่ปิดตาข้างหนึ่งไว้ ซึ่งคนที่อ่านนารูโตะมาแล้วคงทราบกันดีว่าคืออะไร รองเท้ารุ่นประจำตัวของเจ้าของฉายา “นินจาก๊อปปี้” มาในรุ่น Copa
LAYAN สตูดิโอสถาปนิกชื่อดังได้ดีไซน์บ้าน ‘LIGHT HOUSE’ แก่ผู้อำนวยการของ The Flaming Beacon ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบไฟระดับนานาชาติในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย จากกระท่อมคนงานเก่าคร่ำคร่าถูกขยายและปรับปรุงให้เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นที่คงเอกลักษณ์เฉพาะตัว สร้างสเปซบริเวณลานกลางบ้าน พร้อมต่อเติมด้านบนของโครงสร้างเก่าเพื่อหยอกเย้ากับแสงอาทิตย์ จนเกิดเป็นเงาตกกระทบและช่องว่างที่เอื้อประโยชน์ต่อการระบายอากาศด้วยลมธรรมชาติ บริเวณส่วนบนของบ้านที่ถูกต่อเติมผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและพิถีพิถัน เลือกใช้วัสดุโพลีคาร์บอเนต 907 แผ่น มาเชื่อมติดกับท่อเหล็กที่ปรับหมุนได้ 67 ตัว สร้างกลไกขนาดย่อมที่มีแสงและลมเป็นฟันเฟืองหลักในการทำงาน ระนาบโพลีคาร์บอเนตที่รังสรรค์ขึ้นเป็นเหมือนพื้นที่ปิดล้อมกึ่งสมบูรณ์ ที่สร้างช่องว่างมากพอให้สายลมและแสงแดดลอดผ่านไปยังตัวบ้าน แต่ก็ควบคุมแสงจากภายนอกได้อย่างดีเยี่ยม เพราะมีเสถียรภาพในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) และไม่ได้เปิดโล่งโจ้งจนทำให้ผู้พักอาศัยขาดความเป็นส่วนตัว ในตอนกลางวันเมื่อแสงแดดสาดส่องมายัง LIGHT HOUSE สภาพของแสงที่ตกกระทบก็จะเปลี่ยนไปตามองศาของพระอาทิตย์ แถมรูปแบบงานดีไซน์ที่ราวกับกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาก็ดูเป็นมิตรไม่น้อยต่อแขกผู้มาเยือน ส่วนตอนกลางคืนลูกบ้านก็สามารถเปิดไฟ LED สีเหลืองอำพันที่ติดตั้งในแผ่นโพลีคาร์บอเนตได้ โดยตัวไฟจะใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย 60 วัตต์ และเพิ่มความโดดเด่นให้บ้านหลังนี้ในยามค่ำคืนได้อย่างเป็นอย่างดี ด้านนอกของตัวบ้านไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็รับรู้ได้ถึงดีไซน์ทรงเรขาคณิต ที่ไม่เพียงช่วยให้บ้านดูทันสมัยและทรงเสน่ห์ หากยังทำให้สเปซโดยรอบดูกว้างขวางยิ่งขึ้น แถมยังใช้ประตูบานเลื่อนทรงสูงสร้างความรู้สึกโปร่งโล่งสบาย ไม่ทึบตัน และช่วยให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ชั้นล่างของบ้านมีโซนห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร ห้องส่วนตัว และสตูดิโอหลังบ้านที่รับกับวิวกังหันลมขนาดเล็กด้านบน วัสดุส่วนใหญ่ที่ใช้ตกแต่งจะเป็นไม้และเฟอร์นิเจอร์สีเอิร์ธโทน ทำให้บ้านดูเรียบง่ายแต่ไม่ล้าหลัง ทั้งยังสร้างลูกเล่นให้ผนังด้วยอิฐเคลือบสีขาวบางสลับกับไม้โอ๊คสไตล์อเมริกัน เพื่อเว้นระยะให้งานดีไซน์เกิดความแตกต่างหลากมิติ LIGHT
Saint Laurent เปิดตัวสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของหนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบความสนุกสนานและการพบปะผู้คน แต่ยังคงไว้ด้วยความหรูหราที่ช่วยสร้างความประทับใจในงานปาร์ตี้ได้ ด้วยการปล่อยไอเทมที่มักอยู่คู่กับงานสังสรรค์อย่างลูกเต๋า โดมิโน่ วิทยุอันจิ๋วไปจนถึงตู้เกม ไอเทมทั้งหมดที่กล่าวมาของ Saint Laurent สร้างสรรค์โดย Anthony Vaccarello ครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนปัจจุบัน เพราะเขาไม่ต้องการให้สไตล์ของ Saint Laurent ถูกจำกัดอยู่แค่คอลเลกชันเสื้อผ้า ก่อนหน้านี้เขาจึงนำเรื่องราวของแบรนด์ไปอยู่บนสิ่งของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงไฟแช็ก และล่าสุดก็ออกผลงานสนุก ๆ บนของเล่นที่มักเห็นในงานปาร์ตี้ เริ่มจากรูบิกสีดำด้านที่อัดแน่นไปด้วยลูกเล่นแปลกตาไม่เหมือนกันสักด้าน เช่น ด้านหนึ่งจะมีคำว่า SAINT LAURENT PARIS ที่จะต้องบิดรูบิกให้ถูกต้องจึงจะได้ข้อความที่สมบูรณ์ อีกฝั่งจะเป็นลายจุดสีสันสดใส ส่วนอีกด้านเป็นพื้นสีขาวที่มีลายขีดสีดำ ที่เพิ่มความสนุกสนานให้กับปาร์ตี้ได้อย่างแน่นอน ขณะที่ไอเทมอื่น ๆ ก็ไม่ยอมให้น้อยหน้าและคงความหรูหราฉบับ Saint Laurent เช่น โดมิโน่ของเล่นแสนคุ้นตาในวัยเด็กนำมาผลิตใหม่ด้วยการใช้คริสตัลสีต่าง ๆ แทนจุดสีบอกจำนวนบนชิ้นตัวต่อ เปลี่ยนมุมมองกับของเล่นวัยเยาว์ ส่วนลูกเต๋าทองเหลืองโดดเด่นไม่แพ้ใคร เพราะ Saint Laurent ก็นำคริสตัลมาประทับเพื่อบอกจำนวนเลขแทนจุดสีทึบเหมือนกับโดมิโน่ด้วยเช่นกัน ลูกเต๋าสุดกวนที่สลักข้อความไว้ให้ผู้เล่นทำตามคำสั่งที่ทอย เป็นของเล่นขาประจำสำหรับปาร์ตี้ของนักดื่ม โดย Saint
จะพูดว่าเป็นเรื่องไกลตัวก็คงไม่ใช่ จะบอกว่าใกล้ก็คงไม่เชิง กับปรากฏการณ์น้ำแข็งขั้วโลกที่หลอมเหลวเร็วกว่าปกติ เนื่องด้วยภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนนักวิทยาศาสตร์เองยังคาดไม่ถึง ในปัจจุบันน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วกว่าเมื่อ 39 ปีก่อนถึง 6 เท่า ซึ่งในช่วงปี 2009 ถึง 2017 น้ำแข็งบริเวณทวีปแอนตาร์กติกาหลอมเหลวกลายเป็นน้ำมากถึง 252,000 ล้านตัน แน่นอนว่ามันส่งผลให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นตามมา เป็นสัญญาณที่บอกว่าโลกของเราได้เปลี่ยนไปแล้วและความแข็งแกร่งของน้ำแข็งก็เริ่มสั่นคลอน ด้วยเหตุนี้ทีมนักออกแบบนำโดย Faris Rajak Kotahatuhaha, Denny Lesmana Budi และ Fiera Alifa จึงร่วมคิดค้นโปรเจกต์ ‘RE-FREEZE THE ARCTIC’ สร้างเรือดำน้ำผลิตน้ำแข็งเพื่อแก้วิกฤตน้ำแข็งขั้วโลกหลอมละลายในครั้งนี้ นอกจากผลงานชิ้นนี้จะได้รับรางวัลในการแข่งขันระดับนานาชาติที่จัดขึ้นโดย Association of Siamese Architects เรือดำน้ำของพวกเขายังมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูความสมดุลของระบบนิเวศขั้วโลก ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อภูมิอากาศของทุกประเทศ กึ่งกลางของตัวเรือถูกดีไซน์ให้เป็นช่องว่างหกเหลี่ยมขนาดใหญ่และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 เมตร เมื่อเรือลำนี้ดำดิ่งลงไปใต้ทะเลจะหอบเอาประมาณน้ำ 2,027 ลูกบาศก์เมตรขึ้นมาด้วย และเปลี่ยนสถานะของสสารจากน้ำที่เป็นของเหลวให้กลายเป็นน้ำแข็ง ใช้ระบบ Reverse Osmosis กรองเกลือบางส่วนจากน้ำทะเลทิ้งไปเพื่อเร่งกระบวนการเยือกแข็ง จากนั้นเรือจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำพร้อมกับใช้อุปกรณ์ปกคลุมก้อนน้ำแข็งเพื่อรักษาอุณหภูมิและป้องกันแสงแดด เมื่อน้ำทะเลถูกแช่แข็งและปล่อยก้อนน้ำแข็งทรงหกเหลี่ยมลงสู่ทะเลเรียบร้อยแล้ว
ถือว่า Nike Daybreak x UNDERCOVER ได้ไปต่อและได้รับความนิยมไม่น้อยเลยทีเดียวโดย Nike Daybreak x UNDERCOVER ถือเป็นงานคอลแลปส์คู่ล่าสุดระหว่างค่ายกีฬาอย่าง Nike และแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชาย UNDERCOVER ของดีไซน์เนอร์ Jun Takahashi และความแรงฉุดไม่อยู่นี้ทำให้ Nike Daybreak x UNDERCOVER เตรียมเปิดตัวรองเท้า 3 สีใหม่ ออกมาล้วงเงินในกระเป๋าหนุ่ม ๆ อย่างเราแล้ว นี่คืองาน Collaboration อีกรุ่นที่น่าสนใจของปี หลังจากสองแบรนด์อย่าง Nike และ UNDERCOVER ตัดสินใจหยิบรองเท้าโมเดล Daybreak ซึ่งเป็นรองเท้าวิ่งที่เริ่มผลิตขึ้นในปี 1984 มาปัดฝุ่นสร้างผลงานคอลแลปส์ชิ้นใหม่ จนออกมาเป็น Nike Daybreak x UNDERCOVER ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ของโครงสร้างอัปเปอร์ขนาดใหญ่ด้านหลังที่ใช้หนังกลับเป็นวัสดุ แต่ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์แบบดั้งเดิมด้วยพื้นวาฟเฟิล ก่อนจะส่งไปเปิดตัวในงาน Paris Fashion Week 19 ซึ่งนับได้ 4 โทนสีด้วยกัน และตอนนี้กำลังจะเปิดตัว 3 สีล่าสุดตามออกมาแล้ว 3
สำหรับผู้ชายที่หลงใหลการเล่นกีฬาและดูการแข่งขันกีฬา รวมไปถึงคนที่ชื่นชอบเสื้อผ้ากีฬาและรองเท้ารูปแบบต่าง ๆ เชื่อเหลือเกินว่าโลโก้ “Swoosh” ของแบรนด์กีฬา Nike ต้องเป็นหนึ่งในเครื่องหมายการค้าที่เราคุ้นเคยกันดี แม้จะเปลี่ยนแปลงหลายตลบกว่าจะมาเป็นโลโก้ที่เห็นในปัจจุบัน ระยะเวลาผ่านมา 48 ปี นับตั้งแต่ชายที่ชื่อ Phil Knight และ Bill Bowerman ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทรองเท้าของพวกเขาด้วยการเปลี่ยนชื่อจาก Blue Ribbon Sport มาเป็น Nike.inc ณ เวลานั้นพวกเขาต้องการสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนสินค้า นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของโลโก้ที่ใครหลายคนรู้จัก วันนี้เราจะชวนย้อนดูความเป็นมาและวิวัฒนาการของโลโก้ “Swoosh” ผ่านคอลเลกชัน “The Evolution of the Swoosh” กับ 3 แพ็ครองเท้าที่นำโลโก้รุ่นเก๋าจากยุค 70’s มาดีไซน์ลงบนรองเท้ารุ่นยอดฮิตของค่ายในปัจจุบัน กลับสู่จุดกำเนิด “Script Swoosh” Pack เริ่มต้นกันที่ “Script Swoosh” หนึ่งในแพ็คที่โดดเด่นด้วยโทนสีขาว-ดำและแดง รองเท้าทั้ง 4 ในแพ็คประกอบไปด้วยโมเดลอย่าง Air Force 1, Air
กลายเป็นธรรมเนียมที่ทำกันต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีกับการจัดประกวดงานถ่ายภาพที่มีชื่อว่า iPhone Photography Awards ซึ่งปีนี้ก้าวเข้าสู่ครั้งที่ 12 แล้ว ที่ Apple เปิดรับภาพถ่ายจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อแสดงให้เห็นว่าภาพถ่ายที่สร้างสรรค์เกิดจากฝีมือของคนเบื้องหลังเลนส์ UNLOCKMEN จะพาไปดูกันว่ารูปภาพที่คว้ารางวัลกลับบ้านไปมีอะไรบ้าง เพื่อเป็นไอเดียต่อยอดสำหรับหนุ่ม ๆ ผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพ รวมถึงล้างความคิดเดิมที่กล่าวกันว่าต้องใช้กล้องโปรแพง ๆ เท่านั้นถึงจะถ่ายรูปสวย ประเภทของรางวัลการแข่งขันแบ่งออกตามหมวดหมู่ เช่น ภาพทิวทัศน์ บุคคล สัตว์ สถาปัตยกรรม ไลฟ์สไตล์ ต้นไม้ ธรรมชาติ โดยมีรางวัลใหญ่อย่าง Grand Prize Winner และ Photographer of the Year Award ภาพที่หลายคนกำลังตั้งตารออยู่จะเป็นภาพไหน อยู่ในสาขาใดบ้าง และสวยน่าสนใจสมราคาหรือไม่ ลองไปดูพร้อมกัน เงื่อนไขการเข้าร่วมประกวดงานนี้มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น ภาพถ่ายที่ส่งเข้ามาจะต้องเป็นภาพที่ถ่ายจากกล้องของ iPhone หรือ iPad ความละเอียด 1,000 Pixel ขึ้นไปและยังไม่ผ่านการตีพิมพ์หรือลงในโซเชียลมีเดีย ตอนนี้ทาง iPhone Photography
ถ้าพูดถึงระบบรองรับแรงกระแทกของแบรนด์อย่าง Nike ผู้ชายหลายคนคงคุ้นเคยกันดีกับ “AIR” รวมถึงระบบ React ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่ดูเหมือนค่าย Swoosh ยังยอมหยุดพัฒนาเรื่องความนุ่มสบายให้รองเท้าของพวกเขา ล่าสุดจึงเปิดตัวนวัตกรรมรองรับแรงกระแทกตัวใหม่ของค่ายที่เรียกว่า JoyRide ออกมา ถ้าพูดถึงระบบรองรับแรงกระแทก AIR ที่พัฒนาจนต่อยอดออกมาเป็นนวัตกรรมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Air Max, Air Zoom, Air Huarache ที่หนุ่ม ๆ หลายคนโดยเฉพาะนักวิ่งหรือนักออกกำลังคงเคยสัมผัสความนุ่มสบายของระบบต่าง ๆ กันมาบ้าง Nike เองก็ทราบดีว่ากลุ่มลูกค้าของพวกเขาต่างมองหารองเท้าวิ่งที่มาพร้อมระบบรองรับแรงกระแทกที่นุ่มนวล นวัตกรรมรองรับแรงกระแทกที่ชื่อ Joyride จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดค้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการนี้โดยเฉพาะ หลังจากเปิดตัวนวัตกรรม React มาได้ปีกว่า ๆ และได้เสียงตอบรับที่ดี จนถูกพัฒนาออกมารวมกับรองเท้ารุ่นต่าง ๆ มากมาย ล่าสุด Nike เปิดตัว Joyride นวัตกรรมรองรับแรงกระแทกกรรมสิทธิ์ล่าสุดที่ออกแบบมาสำหรับรองเท้ากีฬา โดยเฉพาะรองเท้าวิ่งระยะใกล้รวมถึงระยะกลาง หลักการทำงานของ Joyride คือการลดและกระจายแรงกระแทก ด้วยเม็ด Thermoplastic Elastomers (TPE) จำนวนมากที่ถูกห่อเอาไว้โดยเม็ดโพลิเมอร์เหล่านั้นจะมีลักษณะยืดหยุ่นคล้ายสปริงและมีความทนทานสูง เมื่อถูกน้ำหนักกดทับจะหดและขยายตัวได้แบบทุกทิศทาง อีกทั้งยังจัดการความเหมาะสมในการรองรับแรงกระแทกด้วยการแบ่งเม็ด TPE