นาฬิกาถือเป็นไอเทมที่อยู่คู่กับเหล่าสุภาพบุรุษมาอย่างยาวนาน บางคนมองว่านาฬิกาคือสิ่งที่ต้องพกติดตัวไปทุกที่เพื่อบอกเวลา บางคนมองว่านาฬิกาเป็นแฟชั่น และหลายคนชื่นชอบสไตล์รวมถึงดีไซน์ที่เฉพาะตัวของแต่ละแบรนด์ ด้วยมุมมองที่แตกต่างทั้งหมดทำให้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับนาฬิกาแบรนด์ Hublot ที่หยิบวัสดุสุดล้ำค่าอย่างแซฟไฟร์มาสร้างสรรค์ให้กลายเป็นเรือนเวลาร่วมสมัยที่ตอบโจทย์ใครหลายคน Hublot (อูโบลท์) แบรนด์นาฬิกาสวิตฯ ก่อตั้งโดย Carlo Crocco เมื่อปี 1980 ถือเป็นนาฬิกาแบรนด์แรกที่ริเริ่มเอาแผ่นยางธรรมชาติมาทำเป็นสายนาฬิกาเพื่อใช้กับตัวเรือนทำจากทองคำ ซึ่งการนำยางมาเป็นส่วนประกอบของนาฬิกาเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตแบรนด์อื่นในช่วงเวลานั้นมองว่าไม่น่าจะมีใครชอบและต้องขายไม่ออกอย่างแน่นอน ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ผู้คนชื่นชอบไอเดียสายนาฬิกาแบบยางของ Hublot แต่แบรนด์ก็ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างเท่าไหร่นักจนปี 2004 เมื่อ Jean-Clsude Biver ขึ้นมารับตำแหน่ง CEO พร้อมกับสร้างคอลเลกชันเรือนเวลาชื่อว่า Big Bang นาฬิกาสปอร์ตโครโนกราฟบอกเวลาอย่างแม่นยำ โดยมักใช้วัสดุหลายอย่างมาผลิตทั้ง ทองคำ เหล็ก และอัญมณี พร้อมกับการกระโดดเข้าสู่วงการกีฬาด้วยการเป็นผู้สนับสนุนสโมสรฟุตบอลชื่อดังจากเกาะอังกฤษ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2008 ด้วยการริเริ่มอะไรหลาย ๆ อย่างและยังไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ทำให้ในที่สุดจากแบรนด์นาฬิกาน้องใหม่นอกสายตากลายเป็นนาฬิกาแบรนด์ดังที่คนเล่นจะต้องรู้จัก แถมตอนนี้ Hublot ก็เตรียมสร้างสรรค์สิ่งใหม่อีกครั้งด้วยเรือนเวลาจากวัสดุราคาสูงอย่างแซฟไฟร์ในคอลเลกชัน ‘Spirit of Big Bang Sapphire’ เรือนเวลาคอลเลกชัน
Luminox แบรนด์นาฬิกาสัญชาติอเมริกันเตรียมฉลองครบรอบ 20 ปี ด้วยการเปิดตัวนาฬิกาสไตล์ทหาร ‘Luminox Navy Seals 3501 Gold Set’ ที่ผ่านการปรับปรุงทั้งรูปลักษณ์ ความทนทาน ตลอดจนประโยชน์การใช้สอยตามมาตรฐานของ Navy SEALs เพื่อให้พวกเขาสามารถสวมใส่ขณะทำภารกิจแสนอันตรายได้ Luminox Navy Seals 3501 Gold Set เรือนนี้ไม่เพียงผ่านการรับรองจากกองทัพเรือและอนุญาตให้หน่วย SEAL สวมใส่ขณะประจำการได้ หากยังโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีส่องสว่างในที่มืด หรือ Night Vision Tubes อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Luminox ที่มีศักยภาพเหนือกว่าระบบพรายน้ำจากแบรนด์นาฬิกาทั่วไป เพราะสามารถส่องสว่างได้นานถึง 25 ปี การดีไซน์บอดี้ของนาฬิกาใช้สีดำเป็นหลัก เข็มนาฬิกา โลโก้ด้านหลัง เม็ดมะยม และหน้าปัดบางส่วนดีไซน์ด้วยสีทองคำที่ตัดกันกับสีดำได้เป็นอย่างดี กลไกการเดินเข็มยังใช้เป็นระบบควอตซ์ที่เชื่อถือได้ แถมยังเพิ่มช่องบอกวันที่มาตรงตำแหน่งที่ 3 ของหน้าปัด ฝาครอบหน้าปัดออกแบบให้หมุนได้แบบทิศทางเดียวและมีวงกลมสีทองคำล้อมรอบ ตัวฝาใช้กระจกแก้วชุบแร่คริสตัลที่ทนต่อรอยขีดข่วนและการกระแทกที่ความแข็งระดับ 550-650 Vickers นาฬิกาเรือนนี้จึงสามารถกันน้ำได้ลึกถึง 200 เมตร Luminox
ถ้าพูดถึงประเทศสกอตแลนด์ ผู้ชายหลายคนคงจินตนาการถึงเมืองเก่าแก่อย่างเอดินบะระ (Edinburgh) อันเป็นเมืองหลวงของประเทศแห่งนี้ แต่เชื่อว่าน้อยคนที่จะรู้จักสกอตติช ไฮแลนด์ส (Scottish Highlands) ดินแดนทางตอนเหนือและตะวันตกของเกาะอังกฤษ สกอตติช ไฮแลนด์ส ไม่เพียงเป็นบ้านเกิดของสายลับเจมส์ บอนด์ จากภาพยนตร์เรื่อง Skyfall ปี 2012 เท่านั้น แต่ที่นี่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติเอาไว้ เป็นดินแดนที่ถูกปกคลุมด้วยเทือกเขา ทุ่งหญ้า ทะเลสาบ และธรรมชาติเต็มพื้นที่โดยไม่เหลือที่ว่างให้ตึกระฟ้าผุดขึ้นมา Mary Arnold-Forster Architects สตูดิโอผู้คร่ำหวอดด้านการสร้างสถาปัตยกรรมแบบยั่งยืน จึงนำหลักสถาปัตยกรรมมาผสมผสานกับความงดงามของธรรมชาติ เพื่อดึงสุนทรียภาพของทั้งสองสิ่งนี้ออกมา จนเกิดเป็นสถาปัตยกรรมบ้านไม้รูปทรงเรขาคณิตในหมู่บ้าน “Nedd” ของเมืองซูเธอร์แลนด์ (Sutherland) ประเทศสกอตแลนด์ เนื่องจากทีมสถาปนิกตั้งใจจะสร้างบ้านโดยไม่ทำลายก้อนหินรอบข้าง พวกเขาจึงต้องสำรวจพื้นที่เพื่อกำหนดตำแหน่งที่แน่นอนก่อนตอกเสาเข็ม แม้การเข้าถึงไซต์ก่อสร้างจะค่อนข้างทุลักทุเล เพราะต้องวิ่งผ่านถนนเส้นเล็กเพียงเส้นเดียว แต่ทีมสถาปนิกก็สามารถสร้างบ้านขึ้นมาได้และเลือกพื้นที่ที่อยู่ระหว่างหินสองก้อนเป็นทำเลที่ตั้งของบ้านหลังนี้ วัสดุหลักที่ห่อหุ้มเปลือกนอกของบ้านใช้ไม้กระดานจากต้นสนที่เคยถูกไฟไหม้ นอกจากจะนำวัสดุเหลือทิ้งมาใช้ให้เกิดประโยชน์แล้ว พื้นผิวผนังด้านนอกของไม้ยังมอบความงดงามที่ต่างจากวัสดุไม้ทั่วไปอีกด้วย แม้โครงสร้างของบ้านจะถูกยึดด้วยเสาคอนกรีต แต่กลับไม่ได้ปูด้วยพื้นคอนกรีต เพราะกลัวว่าผิวดินจะรองรับน้ำหนักของบ้านมากเกินไป จึงเลือกใช้เป็นพื้นไม้ลามิเนตแทน พื้นที่ใช้สอยในบ้านถูกแบ่งเป็นสามส่วนคือ ห้องนั่งเล่น ห้องนอนหลัก และห้องนอนสำหรับแขก ซึ่งโถงทางเดินของบ้านก็สามารถเชื่อมโยงทุกส่วนเข้าด้วยกัน มีหน้าต่างขนาดใหญ่เปิดให้เห็นวิวทุ่งหญ้า เทือกเขา และทะเลสาบ Loch
ถ้าพูดถึงสไตล์มินิมัลแบบญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น ข้าวของเครื่องใช้ คาเฟ่ ไปจนถึงโรงแรมและอาร์ตแกลเลอรี ชื่อแรกที่ใคร ๆ นึกถึงคงหนีไม่พ้นแบรนด์ Muji จากจุดเริ่มต้นปี 1980 ที่ Muji ออกแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์สไตล์มินิมัลให้เป็นมิตรกับผู้คนและสิ่งแวดล้อม แถมเร็ว ๆ นี้ยังขยายไลน์จากแค่การขายสินค้าไปเปิดโรงแรมตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อีกทั้งเติบโตไม่หยุดด้วยการหันมาผลิตบ้านสำเร็จรูปเพื่อแฟนคลับผู้ชื่นชอบที่พักอาศัยขนาดกำลังดีสุดมินิมัล Muji เริ่มหันมาสร้างบ้านสำเร็จรูปเมื่อปี 2004 ระหว่างนั้นก็ยังกระโดดเข้าสู่ธุรกิจซ่อมแซมและรีโนเวตอพาร์ตเมนต์อีกด้วย แถมเมื่อช่วงปี 2017 ยังได้สถาปนิกชื่อดังหลายท่าน เช่น Nao Fukasawa, Jasper Morrison และ Konstantin Grcic มาร่วมออกแบบพื้นที่ใช้สอยขนาดกะทัดรัดตรงตามความต้องการของชาวญี่ปุ่น ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าที่ดินในประเทศญี่ปุ่นมีราคาสูงมาก การซื้อที่ดินและจ้างสถาปนิกมาออกแบบสร้างสิ่งปลูกสร้างเองถือเป็นค่าใช้จ่ายที่หนักเอาการ บ้านสำเร็จรูปจึงถือเป็นตัวเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากจ่ายเงินทีเดียว แต่ได้ทุกอย่างเพียบพร้อมตามต้องการ ทั้งสิ่งปลูกสร้าง สไตล์ที่ตอบโจทย์ และเฟอร์นิเจอร์ครบครัน “YOU NO IE” HOUSE OF MUJI แต่เมื่อ Muji ก้าวเข้าสู่ตลาดบ้านสำเร็จรูป กลับทิ้งช่วงการออกแบบบ้านใหม่
คงต้องยอมรับว่าปัจจุบัน ‘กล้อง’ นั้นมีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์ไม่น้อย ไม่เพียงเป็นอุปกรณ์บันทึกภาพช่วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ หากยังช่วยส่งต่อวัฒนธรรมหรือเรื่องราวในอดีตของคนรุ่นเก่าไปสู่คนรุ่นใหม่ผ่านรูปถ่ายได้อีกด้วย แถมความยิ่งใหญ่ของกล้องก็เป็นแรงบันดาลใจให้การดีไซน์นาฬิกาหลายรุ่น ๆ แม้แต่รุ่น Automatic Vintage Lens II ที่ขายดีที่สุดของ TACS ก็ได้อิทธิพลมาจากเลนส์ของกล้องถ่ายรูป และตอนนี้ TACS ใช้วัสดุโลหะแปลงโฉมนาฬิการุ่นวินเทจให้กลายเป็นเรือนเวลาสีเทาเข้มสุดเท่รุ่นล่าสุดของแบรนด์ ภายใต้ชื่อ ‘TACS’ AVL II Dark Metal’ TACS’ AVL II Dark Metal เรือนนี้ถูกอัปเกรดให้แข็งแกร่งและทนทานยิ่งขึ้นด้วยหน้าปัดสี่ชั้น พร้อมเคลือบป้องกันแสงสะท้อนด้วย Super-Luminova ที่เลียนแบบลักษณะของเลนส์กล้อง ทำให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นตัวเลข เข็ม หรือจุดต่าง ๆ บนหน้าปัดได้อย่างชัดเจน แม้จะอยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้าหรือตอนกลางคืนที่มีสภาพแสงน้อยก็ตาม ใต้ชั้นหน้าปัดตกแต่งด้วยลายเส้นวงกลม และครอบกระจกคริสตัลแซฟไฟร์โปร่งใส ที่ดีไซน์มาให้คล้ายกับเลนส์ฟิชอาย (Fisheye) บริเวณขอบหน้าปัดยังได้แรงบันดาลใจจากวงแหวนที่ใช้หมุนซูมและโฟกัสภาพของกล้องอีกด้วย สิ่งที่นาฬิกาเรือนนี้ต่างจากนาฬิกาวินเทจรุ่นก่อน คือใช้สายนาฬิกาสเตนเลสสตีลเกรดพรีเมียมและตกแต่งตัวบอดี้ด้วยสีเทาเข้ม ทำให้ดูลึกลับน่าค้นหา ทั้งยังทรงพลังและทนทานกว่าเดิม ด้านกลไกใช้เครื่องนาฬิการะบบควอทซ์ Citizen Miyota 82S0 ของญี่ปุ่น ช่วยให้การเดิมเข็มน่าเชื่อถือขึ้น
การมีบ้านพักตากอากาศสักหลังคงเป็นอีกหนึ่งความฝันของผู้ชายหลายคน เพราะคอนโดกลางใจเมืองอาจไม่ได้ตอบโจทย์ความสงบและเป็นส่วนตัวมากเท่าไรนัก บวกกับวิถีชีวิตรีบเร่งและความวุ่นวายที่หนุ่มคนเมืองต้องเจอ ทำให้บางครั้งก็อดโหยหาความสงบและส่วนตัวจากบ้านพักตากอากาศไม่ได้ UNLOCKMEN เลยอยากชวนหนุ่ม ๆ ทิ้งห่างจากป่าคอนกรีตที่ว้าวุ่นชั่วขณะ มาชมบ้านพักตากอากาศแสนสงบริมชายหาดเม็กซิกัน ที่เราเชื่อว่าคงเป็นบ้านในฝันอีกหลังของผู้ชายอย่างคุณ บ้านโทนสีอบอุ่นหลังนี้ออกแบบโดย Colectivo Lateral de Arquitectura สตูดิโอสถาปัตยกรรมสัญชาติเม็กซิกัน ที่ใช้ทำเลริมชายหาดปลายาบลองกา (Playa Blanca) ในเมืองซิฮัวตันเนโจ (Zihuatanejo) ของเม็กซิโก สร้างสถาปัตยกรรมโครงสร้างเรขาคณิตที่ดูกลมกลืนกับธรรมชาติโดยรอบ เนื่องจากชายหาดปลายาบลองกาตั้งอยู่เหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเล็กน้อย จึงมีสภาพอากาศอบอุ่นกำลังดีบวกกับทัศนียภาพของชายหาดที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมของคนเม็กซิกัน บ้านพักตากอากาศหลังนี้ออกแบบผนังและหลังคาด้วยคอนกรีตผสมกับ Tepetate หรือดินเหนียวสีแดง อันเป็นวัสดุท้องถิ่นของเม็กซิโกที่ช่วยให้บ้านมีโทนสีน้ำตาลอ่อนดูอบอุ่น แม้โครงสร้างคอนกรีตจะดูทึบตัน แต่ก็เพิ่มสเปซโปร่งโล่งให้บ้านด้วยประตูกระจกบานเลื่อน และหน้าต่างกระจกทรงสูงหุ้มกรอบไม้ แถมลานรอบบ้านยังสอดแทรกพื้นที่สีเขียวเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้พักอาศัยกับธรรมชาติ บริเวณกึ่งกลางของบ้านขนาด 750 ตารางเมตร ถูกจัดสรรให้เป็นสองห้องนอนขนาดใหญ่ ทั้งยังมีห้องนั่งเล่นและห้องรับประทานอาหารแบบเปิดโล่งที่เชื่อมต่อกับห้องครัวได้ แม้บ้านหลังนี้จะเป็นบ้านชั้นเดียว แต่ก็มีบันไดมุ่งหน้าไปยังลานดาดฟ้าเพื่อให้ผู้อาศัยได้กินลมชมวิวและผ่อนคลายกับธรรมชาติ บางส่วนของบ้านดีไซน์ให้เป็นห้องทำสมาธิที่ตัดเพดานเป็นช่องวงกลม เพื่อให้องค์ประกอบทางธรรมชาติลอดผ่านเข้ามาในบ้านได้ ทั้งเม็ดฝน สายลม หรือแสงแดด แต่ก็มีช่องพื้นดินที่อุดด้วยก้อนหินช่วยระบายน้ำฝนอีกแรง บริเวณนอกบ้านสร้างบ่อน้ำขนาดเล็กช่วยเปลี่ยนลมร้อนที่พัดเข้าบ้านให้เย็นสบายยิ่งขึ้น มีพื้นที่สระว่ายน้ำรูปตัวแอล (L) ที่สร้างจากใต้ชายคายืดออกไปยังชายหาด ครอบคลุมทั้งการว่ายน้ำในร่มและกลางแจ้ง แถมยังมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นี่เป็นบ้านอีกหลังที่ถ่ายทอดกลิ่นอายของธรรมชาติและสะท้อนอิทธิพลของสไตล์โมเดิร์นทรอปิคัล ที่เน้นใช้วัสดุท้องถิ่น
รถเจอรอยเท่าแมวข่วนพวกเรายังตกใจ แต่พอเห็นรูปนี้ครั้งแรกเราบอกได้เลยว่าอึ้ง นี่คือภาพของชายหาดไมอามี หาดสวรรค์ดังของฟลอริดาที่นักท่องเที่ยวนิยมอาบแดด แต่วันนี้กลับมีประติมากรรมคล้ายรถโดนฝังกลบในกองทราย จมไปครึ่งคัน เรียงต่อกันเหมือนรถติดริมหาดยาวถึง 66 คัน ภาพนี้ไม่ใช่ภาพ CG หรือเซ็ ตฉากสำหรับภาพยนตร์เรื่องไหน แต่เป็นผลงานศิลปะของ Leandro Erlich ศิลปินชาวอาร์เจนตินาที่ตั้งใจออกแบบงานประติมากรรมแสดงในงาน Miami Art Week เพื่อเรียกร้องให้คนหันมาตระหนักและให้ความสำคัญกับการปกป้องโลกที่เราอยู่ตามความถนัดของตัวเอง “ในฐานะศิลปิน ผมกำลังดิ้นรนเพื่อให้คนรู้สึกตระหนักกับความจริงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่เราไม่ควรละเลยความรับผิดชอบต่อโลกใบนี้” ทำไมต้องเป็นหาดไมอามี และทำไมรถถึงต้องจมอยู่ในกองทราย ทั้งหมดเกี่ยวพันกับการดูแลโลกอย่างไร เบื้องหลังคอนเซ็ปต์ครั้งนี้มีข้อเท็จจริงชวนตกใจหลายอย่าง เริ่มที่สถานที่จัดแสดงอย่างไมอามีก่อน แม้จะไม่พบมลพิษทางน้ำหรือสารเคมีฝีมือมนุษย์อย่างชัดเจน แต่หลายคนคงไม่เคยรู้ว่าทุกวันนี้ไมอามีเป็นเมืองชายฝั่งที่ได้รับผลกระทบเรื่องระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากวิกฤตด้านสภาพอากาศ ส่วนเหตุผลที่สร้างประติมากรรมจากเม็ดทรายเป็นรถยนต์จมในทรายถึงครึ่งล้อ มาจากวัตถุประสงค์ของศิลปินที่ตั้งใจแสดงให้เห็นความร้ายแรงของเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นว่าไมอามีกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตเนื่องจากมีแนวโน้มการเกิดน้ำท่วมสูง ซึ่งหากไม่ได้รับการเหลียวแล ผลงานของเขาจะเป็นเงาสะท้อนให้เห็นว่าบ้านเมืองหรือรถจะตกอยู่สภาพเช่นไร คอนเซ็ปต์ชัด บอกให้รับรู้อย่างตรงไปตรงมากับสเกลงานอลังการครั้งนี้ Eric เผยว่าเขาต้องใช้ระยะเวลาเซตยาวนานถึง 3 เดือน แต่ไม่เปิดเผยวิธีอัดทรายขึ้นโครงรถ เราคิดว่าเขาน่าจะใช้สูตรเดียวกับการก่อเจดีย์ทรายบ้านเรา เพียงแต่ชิ้นนี้ดูค่อนข้างแห้งและแข็งแรงกว่านั้น ยิ่งถ้าพิจารณาใกล้ ๆ ผลงานชิ้นนี้เก็บรายละเอียดงานปั้นให้โครงชัด ส่วนล้อก็มีช่องว่างให้มองทะลุเข้าไปได้เหมือนรถยนต์จริง ๆ ที่มีทรายเกาะ เห็นแบบนี้แล้วเหมือนอยู่ในหนังวันสิ้นโลก ที่รถยนต์ผ่านมรสุม หรือเจอภัยธรรมชาติมาแล้วจริง
แม้ประโยชน์ใช้สอยหลักของนาฬิกาคือการบอกเวลา แต่ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนาฬิกาต่างพิถีพิถันเรื่องรูปลักษณ์และงานดีไซน์ของเครื่องบอกเวลาชนิดนี้ ไม่น้อยไปกว่ากลไก ความทนทาน หรือความแม่นยำเที่ยงตรงเลย Nendo Design Studio บริษัทออกแบบชั้นนำระดับโลกจากญี่ปุ่นได้ออกแบบนาฬิกาทำมือทรงลูกบาศก์สุดเท่ ที่สามารถบอกเวลาและเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ แต่จะเปิดเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันเพียง 2 ครั้งต่อวันเท่านั้น นาฬิกาลูกบาศก์ หรือ ‘Nendo Cubic Clock’ ดีไซน์รูปร่างมาให้ดูแข็งแกร่งทนทาน นำก้อนอลูมิเนียมที่ผ่านการขัดเงามาใช้เป็นวัสดุหลักของโครงสร้าง ตั้งลูกบาศก์ในแนวเอียงและสร้างสมดุลด้วยการตัดมุมแหลมออกไป ทำให้สามารถตั้งวางบนแนวราบได้ นาฬิกาเรือนนี้ออกแบบมาเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปีของร้านนาฬิกาหรู The Hour Glass และมีจุดมุ่งหมายเพื่อทลายเส้นแบ่งระหว่างศิลปะการออกแบบและนาฬิกาที่เป็นเครื่องบอกเวลา แทนที่จะเพิ่มชิ้นส่วนหรือใช้วัสดุอื่น ๆ สร้างเป็นเข็มนาฬิกาให้ดูโดดเด่นไปเลย แต่ทางสตูดิโอกลับผ่ามุมหนึ่งของลูกบาศก์ออกและแบ่งเป็นสองส่วน เพื่อสร้างเข็มชั่วโมงและเข็มนาทีจากวัสดุเดียวกันกับตัวเรือน เมื่อใดที่เข็มทั้งสองหมุนมาบรรจบกันที่เลข 12 และบอกเวลาเที่ยงวันหรือเที่ยงคืน นั่นจะเป็น 60 วินาทีที่นาฬิกาเรือนนี้เผยรูปร่างที่แท้จริงให้เห็น เป็นทรงลูกบาศก์ที่เต็มสมบูรณ์และไม่มีมุมใดถูกตัดไปนอกจากตัวฐานนาฬิกา Nendo Design Studio และ The Hour Glass มองว่าสุนทรียภาพของวัตถุบอกเวลา ควรเกิดจากคุณภาพ ประโยชน์ใช้สอย และรูปแบบงานดีไซน์ที่ผนวกเข้าด้วยกัน และนาฬิกาเรือนนี้ก็ถือเป็นความแปลกใหม่ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งยังสะท้อนถึงอารมณ์ขันในการสร้างสรรค์ที่มาพร้อมกับความประณีตบรรจงในเวลาเดียวกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่
หลังจากมอเตอร์ไซค์ดีไซน์สุดแปลกชื่อว่า ‘Kenzo’ ถูกเผยโฉมให้เห็นในงาน Bike Shed London เมื่อปี 2018 ในตอนนี้รถคันเก่งถูกดัดแปลงมาจาก Honda Gold Wing ปี 1977 โดยสำนักแต่งชื่อดังของอังกฤษอย่าง Death Machines ก็พร้อมออกจากอู่เข้าสู่อ้อมอกของเหล่านักซิ่งผู้ชื่นชอบเรื่องราวของซามูไรเป็นที่เรียบร้อย UNLOCKMEN ได้ตามหารายละเอียดของ Honda Gold Wing ที่ถูกปรับแต่งใหม่จนแทบจำไม่ได้นามว่า Kenzo และทราบว่าเป็นชื่อที่ได้มาจาก Tada Kenzo นักแข่งชาวเอเชียคนแรกที่เข้าร่วมการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบซึ่งถูกเรียกว่าเป็นสนามสุดอันตรายอย่าง Isle of Man TT ที่จัดขึ้นครั้งแรกในปี 1907 แต่ก่อนเขาจะกลายเป็นนักแข่งรถจักรยานยนต์ Kenzo เริ่มมาจากนักแข่งจักรยานและเริ่มจับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ปี 1921 เมื่อการเติบโตของโลกอุตสาหกรรมพุ่งทะยานไปข้างหน้า รถมอเตอร์ไซค์และการแข่งขันความเร็วได้รับความนิยมเป็นวงกว้างมากขึ้นในประเทศญี่ปุ่น Tada Kenzo ได้รู้จัก Isle of Man TT เป็นครั้งแรกผ่านนิตยสารมอเตอร์ไซค์ของอังกฤษ ทำให้เขาเกิดความสนใจอย่างมาก ในที่สุดปี 1930 นาย Kenzo ตัดสินใจเดินทางไปยังทวีปยุโรป
คงมีผู้ชายน้อยคนที่เคยได้ยินชื่อประเทศไนเจอร์ หรือ สาธารณรัฐไนเจอร์ (Republic of Niger) ประเทศเล็ก ๆ ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกาที่ดูไม่โดดเด่นอะไรนัก แต่หากพูดถึงทะเลทราย Sahara ก็คงทำให้หนุ่ม ๆ ต้องร้อง “อ๋อ” เป็นเสียงเดียวกันแน่นอน ใช่ครับ พื้นที่กว่า 80% ของประเทศไนเจอร์ถูกปกคลุมด้วยทะเลทราย Sahara ที่เราคุ้นหูกันดี แต่น่าแปลกที่ใครหลายคนกลับไม่เคยรู้จักประเทศนี้มาก่อนเลย จนในที่สุดสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญก็เผยตัวขึ้นที่นี่ และทำให้ประเทศในดินแดนทะเลทรายแห่งนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในสายตาของชาวโลก Atelier Masomi สตูดิโอสถาปัตยกรรมที่เน้นใช้วัสดุท้องถิ่นในการก่อสร้าง ได้นำอิฐดินดิบมาสร้างสรรค์อาคารทั้ง 5 หลังใจกลางเมืองนีอาเม เมืองหลวงของไนเจอร์ เพื่อให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นศูนย์วัฒนธรรมของประเทศ และเป็นแลนด์มาร์กแห่งสำคัญของเมืองที่จะเปลี่ยนชีวิตของชาวเมืองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ศูนย์วัฒนธรรมจะถูกสร้างขึ้นบริเวณกึ่งกลางเมือง อันเป็นจุดแบ่งระหว่างชาวฝรั่งเศสกับชาวแอฟริกันพื้นเมือง และ Atelier Masomi ก็หวังว่าสถาปัตยกรรมชิ้นนี้จะรวบรวมผู้คนจากสองฝั่งเมืองเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันได้ อาคารทั้ง 5 จัดสรรให้เป็นพื้นที่หอประชุมสำหรับการแสดง แกลเลอรี่ คาเฟ่ พื้นที่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และห้องสมุด ซึ่งนับเป็นห้องสมุดแห่งแรกที่สร้างขึ้นในเมืองหลังจากที่ประเทศไนเจอร์ได้รับเอกราช วัสดุที่ห่อหุ้มตัวอาคารคืออิฐดินดิบ อันเป็นวัสดุท้องถิ่นของไนเจอร์และเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมในภูมิภาคนี้ เฉดสีและพื้นผิวของอิฐสะท้อนถึงความอบอุ่นและซ่อนกลิ่นอายทะเลทรายเอาไว้ แถมยังทำให้อาคารแห่งนี้ดูกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ ราวกับมันเป็นโครงสร้างที่ผุดขึ้นจากพื้นอย่างไรอย่างนั้น การดีไซน์ภายนอกตอกเสาเข็มให้หอคอยครึ่งวงกลมทั้ง 4
เดินดูงาน Awakening Bangkok มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนี้เองก็ตามมาถ่ายรูป แต่เชื่อว่าคุณยังไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าของผลงานที่อยู่เบื้องหลังแสงไฟสวย ๆ เหล่านี้คือใคร…เราเองก็เช่นกัน ปีนี้ UNLOCKMEN จึงขอถือโอกาสเพิ่มความพิเศษ จากเดินดูงานเปิดไฟ ขอไปเปิดหน้าศิลปินเจ้าของผลงาน 3 ชิ้นที่เราสนใจและเพิ่งลงผลงานของพวกเขาไปเมื่อวานกันบ้าง พร้อมบทสัมภาษณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะทำให้คุณรู้จักเขาและผลงานเพิ่มขึ้น ใครชอบงานชิ้นไหน อย่าลืมจำชื่อของเขาไว้ บางทีระหว่างที่คุณดูงาน AWAKENING 2019 คืนนี้ อาจจะได้เจอกับพวกเขาก็ได้ หรือจบงานนี้ ไปเจอกันที่อื่น อยากจะเดินเข้าไปทักทายก็ทำได้เช่นกัน เพราะพวกเขาพูดคุยเป็นกันเองมาก DON BOY : Lhong 1919 presents D19B19 อย่างที่เราบอกไว้ก่อนหน้านี้ในการลง Gallery Post ว่าเราเลือกความสนใจจากทั้งงานและสถานที่ที่มีกลิ่นอายความเป็นจีน ดังนั้น สถานที่ขนาดใหญ่อย่างล้ง 1919 ที่เซตขึ้นเป็นโรงงิ้ว มาพร้อมแสง สี เสียง จัดเต็มจึงไม่รอดสายตาของเราไป และพวกเขา “DON BOY” คือเจ้าของผลงาน Lhong
มินิมัลเป็นอีกหนึ่งสไตล์การออกแบบที่ผู้ชายหลาย ๆ คนหลงใหล เพราะนอกจากจะใช้วัสดุน้อยชิ้นแล้ว บ้านที่ออกแบบด้วยสไตล์มินิมัลยังดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ธรรมดาของผู้ชายเราเป็นอย่างดี Think Architecture สตูดิโอสถาปัตยกรรมรายนี้ก็เชื่อว่ามินิมัลสไตล์ยังคงมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสมอ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม พวกเขาจึงนำสไตล์มินิมัลอันโด่งดังของแดนปลาดิบมาสร้างสรรค์บ้านกลางเนินเขา ที่เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างสมบูรณ์ ‘House in a Park’ เป็นบ้านสไตล์มินิมัลในเมืองซูริคของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ โดยออกแบบบ้านให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมภายนอก ดีไซน์ตัวบ้านเป็นรูปทรงเรขาคณิตโดยมีหลังคาสีขาวยึดตัวโครงสร้างทั้งหมดเข้าด้วยกัน ผนังหน้าบ้านเป็นปูนปลาสเตอร์และหินธรรมชาติสีอ่อน พร้อมจัดวางกระจกทรงสูงแซมไปกับผนังเพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติและทำให้บ้านดูปลอดโปร่งยิ่งขึ้น จุดนำสายตาของบ้านคือหินทรงสี่เหลี่ยมที่วางซ้อนกันเป็นขั้นบันได เหมือนกำลังหลอกตาว่าบ้านหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นดินและส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ส่วนภายในบ้านจะดีไซน์ผนังด้วยสีขาวเป็นหลัก ซอยย่อยเป็นโซนห้องนอน ห้องดนตรี และห้องโถง ซึ่งทุกห้องพักภายในบ้านจะเชื่อมต่อกับธรรมชาติภายนอกผ่านกระจกใสที่มีความสูงตั้งแต่พื้นดินจรดเพดาน ทำให้ผู้พักอาศัยสามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของภูเขาและทะเลสาบซูริคด้านนอกได้ ตัวบ้านแบ่งเป็น 2 ชั้น แต่ชั้นล่างจะสร้างลงไปในชั้นใต้ดิน เพื่อให้ตัวอาคารไม่กินพื้นที่และกลมกลืนไปเนินเขาอันเป็นที่ตั้งของบ้าน ชั้นล่างของบ้านยังมีมุมพักผ่อน มุมออกกำลังกาย รวมทั้งสระว่ายน้ำในร่มที่ใช้กระเบื้องโมเสคสีดำและแผงอะคูสติกซีดาร์สีแดงตกแต่งด้านบน สร้างบรรยากาศสงบ สบาย และช่วยให้ผู้พักอาศัยได้พักผ่อนอย่างแท้จริง ‘House in a Park’ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของบ้านสไตล์มินิมัลที่ปลูกสร้างบนเนินเขาลาดชันได้อย่างงดงาม ทั้งยังเป็นสถาปัตยกรรมที่สัมพันธ์กับพื้นที่ธรรมชาติอย่างแน่นแฟ้น แต่ก็ไม่หลงลืมทฤษฎีโครงสร้าง พื้นที่ใช้สอย และความสุขของผู้อาศัยที่เป็นหัวใจของงานสถาปัตยกรรม Photography is by Simone