สำหรับหนุ่ม ๆ ที่สะสมฟิกเกอร์และชื่นชอบการ์ตูนเรื่อง Gundam คงจะจดจำการคอลแลปส์ฯ สุดแหวกแนวกันได้ขึ้นใจของตัวต่อที่ผสมผสานเรื่องราวระหว่าง Gundam ที่เป็นตัวแทนของเด็กผู้ชาย กับ Hello Kitty การ์ตูนลายเส้นน่ารัก ๆ ขวัญใจเด็กผู้หญิง เพื่อฉลองความสำเร็จอันยาวนานของการ์ตูนทั้งสองเรื่องที่มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ด้านล่างได้ Hello Kitty x RX-78-2 Gundam คือโมเดลตัวละครสุดลิมิเต็ดที่ออกโปรโมตเมื่อปี 2019 ผลิตโดยบริษัท Bandai Spirits (Tamashii) จับเด็กสาวหน้าตาเหมือนแมวจากเรื่องคิตตี้มาใส่ชุดโมบิลสูทกันดั้มตัวแรก พร้อมกับเอกลักษณ์สุดโดดเด่นที่สลับขั้วจากกันดั้มทั่วไป ที่ปกติจะมีหัวขนาดเล็ก แต่สำหรับฟิกเกอร์สุดพิเศษนี้จะมาในรูปแบบโมเดลหัวโตหน้าตาน่ารัก หมวกมีหูเหมือนแมว แถมยังติดโบว์สีแดงไว้ตรงหูด้วย โดยการจับมือกันของมังงะดังสองเรื่องนี้เกิดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปี Hello Kitty และครบรอบ 40 ปี ของ Gundam เมื่อบริษัทผู้ผลิตปล่อยภาพของฟิกเกอร์ Hello Kitty x RX-78-2 Gundam ก็เกิดกระแสพูดถึงในวงกว้างทันที บางคนบอกว่ามันสาวเกินไป แต่หลายคนก็ชื่นชอบเพราะคอลเลกชันแบบนี้ไม่ได้มีกันบ่อย ๆ แถมแฟนสาวของหนุ่มที่สะสมฟิกเกอร์หลายคนต่างก็โอเคถ้าเราจะซื้อเจ้าโมเดลตัวนี้มาตั้งไว้ในบ้าน (ก็มันน่ารัก) ด้วยกระแสเชิงบวกที่ผู้คนให้ความสนใจทำให้เกิด
เรารู้จัก ‘ยูเครน’ ในฐานะประเทศลึกลับแห่งยุโรปตะวันออก และอาจเป็นประเทศที่โด่งดังเรื่องข่าวสงครามมากกว่าจะเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวหลากเชื้อชาติ แต่เมืองเคียฟ (Kiev) หรือ อิฟ (Kyiv) เมืองหลวงของประเทศลึกลับแห่งนี้ กลับเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ การศึกษา และวัฒนธรรมของยุโรปตะวันออก แถมยังมีพื้นที่ว่างให้สถาปัตยกรรมปรากฏตัวเพื่อบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์และความขลังผ่านกำแพงอิฐเก่าแก่ Rina Lovko Studio ได้รับโจทย์ให้ออกแบบ ‘Balthazar’ บาร์ชั้นใต้ดินที่ตั้งอยู่ทางใต้ของตลาด Besarabsky อันเป็นตลาดในร่มที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและชาวเมืองก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี Balthazar เป็นบาร์เครื่องดื่มเก่าแก่ที่ดูลึกลับและมีเสน่ห์เฉพาะตัว และ Rina Lovko Studio สตูดิโอสัญชาติยูเครนรายนี้ก็เข้ามาออกแบบภายใน โดยไม่ทิ้งกลิ่นอายความเก่าและเก๋าของวัสดุในอดีต ภายในบาร์เผยให้เห็นโครงสร้างแบบอินดัสเทรียลลอฟต์ที่ชัดเจน การตกแต่งจะใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มเป็นหลัก มีเบาะนั่งสีเขียว และกระเบื้องเคลือบเฉดเขียวหุ้มฐานของเคาน์เตอร์ เพื่อสร้างบรรยากาศลึกลับ มีเสน่ห์ และน่าค้นหา แสงไฟสลัวตามมุมต่าง ๆ ของร้านเกิดจากการผสมผสานของเทียน โคมระย้า และโคมไฟตั้งพื้นที่คลุมด้วยผ้า ส่วนผนังและเพดานยังคงความเก่าของอิฐมอญที่ก่อรูปร่างไว้เมื่อหลายปีก่อน โดยไม่ได้ดัดแปลงหรือแต่งเติมจนความขลังที่ว่านั้นเลือนรางไป แม้การออกแบบภายในครั้งนี้จะไปได้สวย แต่ Rina Lovko Studio ก็ยังต้องเจอกับปัญหาใหญ่ เพราะเดิมทีบาร์ใต้ดินแห่งนี้มีทางเดินคดเคี้ยวและลูกค้ามักจะถูกเพดานอิฐความสูง 1.6 เมตรมาขัดจังหวะการเดิน เนื่องจากไม่สามารถทุบเพดานอิฐด้านบนที่เป็นโครงสร้างหลักได้
Wabi-sabi (วะบิ-ซะบิ) เป็นอีกแนวทางการออกแบบของญี่ปุ่นที่โด่งดังไม่แพ้มินิมัลสไตล์อันเลื่องชื่อ บ้างว่า Wabi-sabi คือปรัชญาการใช้ชีวิตเช่นเดียวกับ Ikigai (อิคิไก) แต่ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องการค้นหาความหมายในชีวิต หากว่าด้วยเรื่องการยอมรับความไม่สมบูรณ์ของทุกสรรพสิ่งรอบตัว นอกจากแนวคิดนี้จะหยั่งรากลึกลงในวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นแล้ว Wabi-sabi ยังเข้ามามีอิทธิพลต่อแวดวงการออกแบบด้วยเช่นกัน เหล่านักออกแบบและสถาปนิกบางคนเริ่มนำวัสดุที่ผุกร่อนและมีรอยตำหนิมาใช้ในงาน เลิกยึดติดกับความงามตามอุดมคติและเปิดใจยอมรับว่าบางครั้งความไม่สมบูรณ์แบบก็งดงามและมีคุณค่า NC Design & Architecture สตูดิโอออกแบบของฮ่องกงได้รับโจทย์ให้ออกแบบห้องที่มีพื้นที่ใช้สอย ดูสวยงาม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สตูดิโอรายนี้จึงนำวัสดุที่มีร่องรอยขีดข่วนและรอยตำหนิ ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ไปจนถึงของตกแต่งชิ้นเล็ก มาสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมภายใน ที่สะท้อนความงดงามของความไม่สมบูรณ์แบบตามหลักปรัชญา Wabi-sabi พื้นที่ใช้สอยขนาด 157 ตารางเมตรถูกแบ่งให้เป็นสามส่วนหลักคือห้องนั่งเล่น ห้องนอน และห้องน้ำที่มีทางเดินไม้ยกระดับเป็นตัวกั้น ซึ่งทางเดินไม้ที่ออกแบบให้สูงกว่าพื้นห้องนั้นได้แรงบันดาลใจมาจาก Genkan (เก็นคัง) โถงทางเข้าบ้านที่ไล่ระดับพื้นตามแบบบ้านญี่ปุ่นดั้งเดิม ส่วนห้องครัวและห้องอ่านหนังสือจะตั้งอยู่ทางด้านหลังของห้องหลัก ภายในอพาร์ตเมนต์นี้ดีไซน์ด้วยวัสดุธรรมชาติเป็นหลัก ใช้พื้นไม้และผนังไม้บางส่วนสร้างความอบอุ่นแบบบ้านญี่ปุ่น ผนัง เพดาน ผ้าม่าน และเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นก็เลือกใช้เป็นสีเอิร์ธโทนที่ดูอบอุ่นเช่นกัน แม้จะตกแต่งให้ดูเรียบง่าย แต่ก็มีเฟอร์นิเจอร์หินอ่อนที่มีรอยตำหนิหลายชิ้นช่วยสร้างความโดดเด่นและเป็นจุดนำสายตา ทั้งยังได้หินอ่อนทรงเรขาคณิตและโลหะออกซิไดซ์เก่า ๆ ประดับประดาตามผนัง เป็นเหมือนงานประติมากรรมขนาดย่อม เฟอร์นิเจอร์ที่ติดตั้งในห้องนั่งเล่นยังถูกเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างบรรยากาศที่สงบ เรียบง่าย และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด โทรทัศน์และประตูที่เชื่อมไปยังห้องต่าง ๆ
ต้องยอมรับว่า G-SHOCK ของ Casio เป็นอีกแบรนด์นาฬิกาที่โด่งดังไปทั่วโลก และเชื่อว่าหนุ่ม ๆ สายสตรีตหรือผู้ที่ชอบแต่งตัวแบบ casual style คงหลงรักนาฬิกาจากแดนอาทิตย์อุทัยแบรนด์นี้แน่นอน เพราะนอกจากคุณภาพตัวเรือนที่ได้มาตรฐาน ยังมาพร้อมงานดีไซน์เอกลักษณ์และมิกซ์แอนด์แมตช์เข้าได้กับแทบทุกชุดของผู้ชายเรา ในปี 1995 Casio เคยเปิดตัวนาฬิกา ‘G-SHOCK DW-6900’ ที่นิยมอย่างรวดเร็วและกลายเป็นรุ่นไอคอนิกของแบรนด์ไปโดยปริยาย แถมรุ่นนี้ยังได้รับฉายาว่า “Third Eye” บ่งบอกถึงประสิทธิภาพสามด้านพื้นฐานของการออกแบบนาฬิกา ปี 2020 นี้ Casio G-SHOCK จึงฉลองครบรอบ 25 ปีของนาฬิการุ่น G-SHOCK DW-6900 พร้อมนำโมเดลดังกล่าวมาปรับโฉมและเพิ่มกรอบโลหะสุดเท่แบบใหม่เข้า ภายใต้ชื่อ ‘G-SHOCK GM-6900 Metal Bezel’ ขณะที่แบรนด์นาฬิกาคลาสสิกจำนวนมากนำเสนอกลไกแอนะล็อก แต่ G-SHOCK GM-6900 Metal Bezel รุ่นนี้กลับใช้กลไกแบบดิจิทัล ที่ไม่เพียงช่วยให้อ่านเวลาได้ง่าย หากยังใช้งานหน้าปัดในรูปแบบอื่น ๆ ได้ ที่ไม่ใช่แค่แสดงวันที่หรือเวลาปัจจุบันเท่านั้น นอกจากนาฬิการุ่นนี้จะใช้หน้าปัดที่ทำจากกระจกเงาสุดแกร่ง ตัวกรอบโลหะยังดีไซน์พื้นผิวแบบด้านมาให้เลือกสามสี ทั้งรุ่น
เรื่องความเชื่อ ตำนาน และการเล่าต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นถือเป็นสิ่งที่มีอยู่ทุกสังคมในโลก ประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่บนเกาะอย่างญี่ปุ่นเองก็เช่นกัน พวกเขามีความเชื่อเรื่องโชคลาภ เครื่องรางเสริมโชคที่เหนียวแน่นไม่ต่างจากคนไทย แถมพวกเขายังออกแบบเครื่องรางนำโชคได้หน้าตาน่ารัก จนหลายครอบครัวแม้ไม่ใช่ร้านค้าของญี่ปุ่นยังต้องมีมาเนกิ เนโกะ (Maneki Neko) หรือแมวกวักวางรับแขกอยู่แทบทุกบ้าน มาเนกิ เนโกะ หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อของ ‘แมวกวัก’ เป็นความเชื่อที่อยู่คู่กับชาวญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน คาดว่ามีมาตั้งแต่สมัยเอโดะโดยถูกพบครั้งแรกในศาลเจ้าแห่งหนึ่งในจังหวัดโอซาก้า แต่บางคนก็ฟังมาอีกแบบว่าแมวกวักเริ่มมาจากคุณยายยากจนที่เลี้ยงแมว เธอไม่สามารถหาเงินมาเลี้ยงตัวเองและแมวได้จึงตัดสินใจนำแมวไปปล่อย สุดท้ายคิดถึงแมวมากจนต้องปั้นตุ๊กตาแมวขึ้นมาหนึ่งตัวจนมีคนมาซื้อไปเพราะหน้าตามันน่ารัก ทำให้คุณยายปั้นตุ๊กตาแมวขายอยู่เรื่อย ๆ จนร่ำรวยและสามารถตามหาแมวที่รักกลับบ้าน เรื่องราวของแมวกวักญี่ปุ่นมีหลากหลายที่มา ทว่าความแตกต่างนั้นไม่สำคัญเท่าพอรู้ตัวอีกทีเรื่องราวที่ดำเนินมาตั้งแต่ยุคเอโดะก็หยั่งรากลึกในสังคมญี่ปุ่นไปเสียแล้ว ถ้าใครมีโอกาสไปเยือนประเทศนี้จึงมักเห็นหุ่นหรือตุ๊กตาแมวยกแขนข้างหนึ่งตลอด มีหลากสี หลายขนาด มีทั้งแบบตั้งโต๊ะกำลังดี บางตัวก็เล็กจิ๋วเป็นพวงกุญแจ แถมยังพัฒนากลายเป็นของเล่นยอดฮิตอย่างกาชาปองไปอีก ส่วนครั้งนี้แมวกวักญี่ปุ่นแหวกแนวออกมาปรากฏอยู่บนนาฬิกาคอลเลกชันพิเศษของ G-Shock! เรือนเวลาคอลเลกชันลิมิเตดไม่น่าเชื่อว่าจะมาเจอกับแมวกวักได้ ใช้ชื่อว่า G-SHOCK Limited TOKYO MANEKINEKO ออกแบบโดย BLACKEYEPATCH แบรนด์แฟชั่นชั้นนำจากกรุงโตเกียว โดยในซีรีส์นี้ประกอบด้วยนาฬิกาทั้งหมด 3 เรือน ได้แก่ GA-100 และ DW-5600 สองเรือนที่มีสีสันต่างกัน เริ่มกันที่ GA-100 สีดำสนิทแต่งแต้มด้วยสีทองหรูหรากันก่อน
ทุกวันนี้มี Pantone สียอดนิยมออกมาสร้างความคึกคักกับวงการดีไซน์และผู้คนทั่วไปให้ลุกมาสร้างผลงาน หรือใช้ไอเดียจากสีนั้น ๆ เพื่อเลือกแมตช์เครื่องแต่งกายหรือข้าวของที่ตัวเองมีตามเฉดสีนั้น ๆ ล่าสุดบล็อก Graphic Mama เขามีบทความออกมาพูดถึงคู่สีออกแบบประจำปีนี้ ที่เรารีวิวมาจากงานดีไซน์หลาย ๆ แบบว่าเป็น Best combination หรือสีคู่แท้ที่ควรลอง ถ้าไม่ลองจะตกเทรนด์และเป็นบาปต่อการออกแบบมาก UNLOCKMEN จึงนำคู่สีที่เกิดมาเพื่อปีหนูทั้งหมด 8 คู่ มาส่งต่อเพื่อสร้างแรงบันดาลใจสำหรับงานดีไซน์ของพวกเรา ทั้งในเว็บไซต์ กราฟิก และการวาดภาพประกอบ ถ้าหลายคนเคยเห็นเฉดสีและผลงานคุ้นตาเหล่านี้ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะมันเริ่มฮิตมาตั้งแต่ช่วงปีที่แล้ว ดำ เหลือง คู่สีมีสไตล์ที่เป็นสี CI ของพวกเราชาว UNLOCKMEN ถือเป็นคู่สีต้องใช้เพื่อการออกแบบประจำปีนี้ เพราะความสว่างของสีเหลืองนีออนที่ตัดกับสีมีเสน่ห์ลึกแบบสีดำ ช่วยทำให้มู้ดของงานดูเรียบง่ายแต่ก็มีลูกเล่นน่าสนใจขึ้นมาในสายตา ถ้าให้เปรียบเทียบสีดำ เหลือง คือคู่สีตัวแทนของผู้ชายลึกที่มีชั้นเชิงแต่ก็มีมาดกวนผสม คลาสสิกแต่ดูแพรวพราว เวลานำไปใช้จึงเตะตาแทบทุกงานจริง ๆ ฟ้า แดง ชุดสีของความสง่างาม เป็นสีเพอร์เฟ็กต์ที่ไม่ได้ใช้แค่เฉพาะบนธงชาติไทยเราเท่านั้น แต่ถ้าเอามาจับคู่ในงานดีไซน์ กราฟิก หรือการวาดภาพประกอบ การผสมผสานงาน 2 สีระหว่างน้ำเงินและแดงเป็น 2
‘Whidbey Farm’ เป็นผลงานการออกแบบบ้านของ MW Works สตูดิโอออกแบบในซีแอตเทิล ที่เนรมิตฟาร์มเก่าแก่อายุร่วม 100 ปี ให้กลายเป็นบ้านแสนสงบบนเนินเขา มองเห็นทัศนียภาพของทุ่งหญ้า บ่อน้ำ และป่าไม้ได้เต็มสองตา บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ที่ Whidbey Island ทางตอนเหนือของ Seattle ในรัฐ Washington เดิมทีเป็นฟาร์มที่มีต้นไม้ บ่อตกปลา และโรงนาอายุเก่าแก่หลายช่วงอายุคน ก่อนที่สตูดิโอ MW Works จะเข้ามาสร้างสถานที่พักผ่อนสุดพิเศษ เปลี่ยนฟาร์มเป็นบ้านที่ยืดหยุ่น ทนทาน และรองรับผู้พักอาศัยได้สูงสุด 20 คน (ตามโจทย์ของเจ้าของบ้าน) พื้นที่ 4,420 ตารางฟุต ถูกตอกเสาเข็มสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศที่รองรับครอบครัวขนาดใหญ่ นอกจากต้องมีพื้นที่ให้คนทุกช่วงวัยทำกิจกรรมร่วมกันได้แล้ว ยังต้องเชื่อมความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวให้เป็นหนึ่งเดียวอีกด้วย ทีมสถาปนิกจึงสร้างบ้านบริเวณใจกลางลานที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้หลากชนิด ตั้งแต่ต้นซีดาร์และต้นเฟอร์สูงใหญ่ ไปจนถึงต้นหญ้าและเฟิร์นที่มีขนาดเล็กลงมา ซึ่งลานกลางบ้านนี้จะกลายเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงคนในครอบครัวเข้าด้วยกัน ผ่านทางเดินไม้ที่เชื่อมต่อไปยังส่วนอื่น ๆ ของบ้าน นอกจากผนังกระจกทรงสูงที่เปิดรับภูมิทัศน์ด้านนอก ตัวบ้านยังใช้ผนังไม้ซีดาร์สีแดงแบบตะวันตกช่วยสร้างความรู้สึกมิดชิดและเป็นส่วนตัวให้คนในบ้าน แถมผนังบางส่วนก็สร้างจากกำแพงหินที่วางเรียงซ้อนกัน ทำให้บ้านดูกลมกลืนกับธรรมชาติโดยรอบมากยิ่งขึ้น บริเวณลานมีกำแพงเตี้ย ๆ ที่ทำจากหินบะซอลต์ในท้องถิ่น ช่วยแบ่งขอบเขต และทำหน้าที่เหมือนรั้วบ้านขนาดย่อมที่ไม่ทำให้บ้านดูอึดอัดทึบตัน
Seiko เริ่มต้นปี 2020 ด้วยการประกาศเปิดตัวนาฬิกาสามรุ่นล่าสุดในตระกูล ‘Black Series’ ของไลน์อัป Seiko Prospex ประกอบไปด้วยรุ่น SLA035J1, SPB125J1 และ SSC761J1 ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความมืดมิดและระดับความลึกใต้มหาสมุทร นาฬิกาทั้งสามรุ่นถูกห่อหุ้มด้วยเคสสเตนเลสสีดำไอออน สะท้อนความงดงามใต้ท้องทะเลลึก พร้อมสอดแทรกรายละเอียดงานดีไซน์บนหน้าปัดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และใช้เทคโนโลยีส่องสว่าง LumiBrite ช่วยให้มองเห็นใต้น้ำได้แจ่มชัดยิ่งขึ้น SEIKO PROSPEX BLACK SERIES SLA035J1 นาฬิการุ่นนี้ใช้โมเดล SLA021 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นาน เป็นพื้นฐานการออกแบบ แถมยังได้สมญานามว่าเป็นทายาทของ MarineMaster 300 หนึ่งในนาฬิกาดำน้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Seiko ‘SLA035J1’ มาพร้อมตัวเรือนแบบชิ้นเดียว (Monobloc) และสายซิลิโคนสีดำกับหัวเข็มขัดแบบหมุด นอกจากงานดีไซน์ที่ดูโฉบเฉี่ยว เรือนนี้ยังใช้กลไก Calibre 8L35 ที่แม่นยำและน่าเชื่อถืออีกด้วย บนหน้าปัดขนาด 44.3 มิลลิเมตร ตกแต่งด้วยเข็มวินาทีสีแดงเด่น มีฝาเซรามิกแบบทิศทางเดียวที่แข็งแรงทนทาน ช่วยให้นาฬิกากันน้ำได้ลึกถึง 300 เมตร หน้าปัดยังใช้เทคโนโลยีส่องสว่าง Lumibrite ที่ให้ความสว่างมากกว่าและนานกว่าสารเรืองแสงทั่วไป
คุณว่าการใช้ชีวิตในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง? เชื่อว่าคำถามนี้คงทำให้ผู้ชายหลายคนฉุกคิดและย้อนไปลำดับภาพการใช้ชีวิตที่รีบเร่งในแต่ละวัน สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในหัวอาจเป็นทัศนียภาพป่าคอนกรีตที่อบอวลด้วยฝุ่นควัน ทรัพยากรจำนวนจำกัดที่สวนทางกับจำนวนประชาชน หรือแม้แต่ผังเมืองที่ไม่เคยเอื้อประโยชน์ต่อแผนพัฒนาในอนาคต แม้ปัญหาและข้อจำกัดมากมายจะทำให้เรากุมขมับทุกครั้งที่เรียกตัวเองว่า “คนเมือง” แต่ UNLOCKMEN อยากให้หนุ่ม ๆ ได้สัมผัสอีกแง่มุมหนึ่งผ่านคอลเลกชันภาพถ่ายบุคคลแนวสตรีต ที่บอกเล่าทุกอณูชีวิตคนเมืองอย่างแท้จริง Urban Street Portraits เป็นคอลเลกชันภาพถ่ายสีขาวดำของช่างภาพชาวสวิส Jens Krauer ที่ใช้กล้องตัวโปรดลั่นชัตเตอร์ในจังหวะที่พอเหมาะ และเก็บบันทึกภาพความทรงจำตลอดจนความรู้สึกของคนเมือง ทั้งความกลัว ความเศร้า ความเหงา ความกังวล หรือแม้แต่ความสุขที่ปะปนอยู่บ้าง แม้ Jens Krauer จะไม่ได้พยายามซ่อนตัวเองหรือซ่อนกล้องของเขาจากสายตาผู้คน แต่ภาพถ่ายของเขากลับดูเป็นธรรมชาติและถ่ายทอดทุกอารมณ์ความรู้สึกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ จนเขาได้รับฉายาว่าเป็นช่างภาพที่พกเสื้อคลุมล่องหนติดตัวไปด้วยทุกที่ ภาพถ่ายของเขาไม่เพียงบันทึกความทรงจำในขณะนั้น หากยังสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของคนเมืองที่ไม่ได้สุขหรือทุกข์เพียงด้านเดียว หรือบอกชีวิตเป็นส่วนผสมของความสุขและทุกข์คงจะเหมาะสมกว่า Jens Krauer หวังว่าทุกคนในคอลเลกชันภาพถ่ายนี้จะมีชีวิตอยู่แบบนี้ไปตลอด ไม่ต้องเพิ่มความสุข ไม่ต้องลดความทุกข์ เพียงแค่ให้พวกเขาอยู่ได้เหมือนตอนที่เขายังอยู่ในภาพถ่ายของ Jens Krauer เราเชื่อว่าบางครั้งชีวิตคนเมืองอาจไม่ได้แออัดยัดเยียดเสมอไป ถ้าเลือกมองสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขและเก็บมันมาเป็นพลังบ้าง เหมือนกับภาพถ่ายที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ที่แม้จะมีเพียงภาพเดียวจากทั้งหมด แต่ทันทีที่เห็นก็รับรู้ได้ถึงมวลความสุขที่อัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยม Photographs by Jens Krauer COVER
ญี่ปุ่นไม่ใช่แค่ประเทศที่มีวัฒนธรรมและประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ แต่ยังโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมสไตล์มินิมัลและนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต ตั้งแต่หุ่นยนต์อาซิโมที่เติบโตมากับเราตั้งแต่เด็ก ๆ ไปจนถึงรถไฟหัวกระสุนความเร็วสูง ดูเหมือนว่าแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเมืองไปพร้อมกับเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด Toyota บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น จับมือกับ BIG สตูดิโอสถาปัตยกรรมเดนมาร์ก เผยแผนการสร้าง ‘Toyota Woven City’ เมืองต้นแบบแห่งอนาคต (Prototype City of the Future) ที่เป็นมิตรต่อผู้คนและธรรมชาติ แผนการออกแบบ Toyota Woven City เปิดเผยในงาน Consumer Electronics Show (CES) ซึ่งจัดขึ้นที่นครลาสเวกัส และนำเสนอโครงสร้างเมืองต่อสายตาสาธารณชนผ่านภาพเคลื่อนไหวที่สร้างขึ้นโดย Squint/Opera สตูดิโอดิจิทัลในกรุงลอนดอน โรงงานผลิตรถยนต์ในเมืองซูโซโนะกำลังจะปิดตัวลงภายในปี 2020 และพื้นที่ขนาด 70 เฮกตาร์จะถูกเนรมิตให้กลาย Toyota Woven City ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างเฟสแรกในปี 2021 เมืองนี้จะสร้างขึ้นบริเวณเชิงภูเขาไฟฟูจิ เพื่อให้นักวิจัย วิศวกร และเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ทดสอบระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั้งหุ่นยนต์, ปัญญาประดิษฐ์, สมาร์ตโฮม หรือแม้แต่ยานยนต์ไร้คนขับในสภาพแวดล้อมจริง
ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตรจากวงกลมอาร์กติก (Arctic Circle) คุณจะพบกับเมือง Andenes ที่ตั้งอยู่เหนือสุดของเกาะ Andøya ในเขต Nordland ของประเทศนอร์เวย์ ที่นี่เป็นทางผ่านระหว่างการอพยพของสัตว์น้ำหลากหลายชนิด ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวกว่า 50,000 คน เดินทางมายัง Andenes เพื่อชมการย้ายถิ่นของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดยักษ์ที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรแห่งนี้ เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นตั้งแต่บนบกยันใต้น้ำ บวกกับอุณหภูมิหนาวเย็น ความมืดมิด และระดับน้ำทะเลลึกว่า 1,000 เมตร ทำให้ Andenes ไม่เพียงเป็นพิกัดชมแสงเหนือยอดนิยม หากยังเป็นแหล่งอาศัยของปลาหมึก และปลาหมึกก็เป็นอาหารอันโอชะของวาฬสเปิร์มหรือวาฬหัวทุยด้วย หลังจากที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันระดับนานาชาติ Dorte Mandrup สตูดิโอของสถาปนิกหญิงชาวเดนมาร์ก ก็ได้สิทธิ์ดีไซน์ ‘The Whale’ สถาปัตยกรรมสำหรับชมฝูงวาฬ ซึ่งตั้งอยู่ริมชายฝั่งของเมือง Andenes ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ชมวาฬที่ดีที่สุดในโลก นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้เห็นวาฬอพยพอย่างใกล้ชิดแล้ว Dorte Mandrup ยังตั้งใจให้ The Whale กลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งสำคัญของนอร์เวย์ ที่ช่วยกระตุ้นให้คนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตในท้องทะเลมากยิ่งขึ้น แม้มองเผิน ๆ รูปร่างของอาคารหลังนี้จะดูเหมือนก้อนหินขนาดยักษ์ แต่จริง ๆ แล้วตัวอาคารถูกดีไซน์ให้คล้ายกับหางปลาวาฬที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ประเทศญี่ปุ่นกลายเป็น ‘เจ้าแห่งความมินิมัล’ แต่พบอีกครั้งเราก็มักจะเห็นความเท่แบบเรียบง่ายของชาวญี่ปุ่นโด่งดังมาถึงประเทศไทยอยู่เสมอ เริ่มจากแบรนด์เครื่องใช้มินิมัลเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่าง Muji ที่ผลิตทุกอย่างให้มินิมัลตั้งแต่ของใช้ เฟอร์นิเจอร์ยันบ้านสำเร็จรูป หรือจะเป็นเสื้อผ้าเรียบ ๆ สไตล์วินเทจที่ยังหนีไม่พ้นความมินิมัลของ Uniqio หรือ Earth Music & Ecology ไปจนถึงสตูดิโอออกแบบชื่อดังระดับโลกที่ตั้งอยู่ในกรุงโตเกียวอย่าง FujiwaraMuro Architects สตูดิโอ FujiwaraMuro Architects โด่งดังขึ้นมาจากผลงานออกแบบที่เน้นความเรียบง่าย น้อยแต่มาก (บางครั้งก็น้อยแต่แปลกมาก) สถาปนิกญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักชอบออกแบบบ้านแปลกตามาให้ชาวโลกได้เห็น พวกเขาเปิดกว้างทางความคิดและพร้อมท้าทายสิ่งใหม่ ๆ เพื่อสร้างสีสันให้กับวงการสถาปนิกของญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักไม่ค่อยใช้จ่ายไปกับการออกแบบหรือตกแต่งบ้านเท่าไรนัก พวกเขามักอยู่กับบ้านสไตล์ญี่ปุ่นแท้ ๆ แถมยังไม่ควักเงินจ่ายเพื่อปรับปรุงที่อยู่อาศัยเท่าไรนัก เพราะบ้านส่วนใหญ่มันทั้งแคบ เก่า พื้นที่ในบ้านก็อัดแน่นไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ของสมาชิกในครอบครัว หลาย ๆ คนจึงเช่าอยู่มากกว่าลงแรงซื้อบ้านและที่ดินเป็นของตัวเอง การออกแบบบ้านให้แปลกตา หรือออกแบบให้มีสไตล์มินิมัลน้อยแต่มาก เน้นประโยชน์ใช้สอยสุดคุ้มค่าในพื้นที่จำกัด พร้อมกับการตกแต่งโปร่ง โล่ง สบายตา FujiwaraMuro Architects ไม่เคยเกี่ยงการออกแบบบ้าน แม้บางครั้งเจอโจทย์ออกแบบบ้านมินิมัลที่ต้องมีทุกอย่างครบถ้วนในพื้นที่โคตรแคบ เหล่าสถาปนิกก็พร้อมเฟ้นไอเดีย คิดสร้างสิ่งใหม่อยู่เสมอ จึงมีส่วนทำให้ชาวญี่ปุ่นยุคปัจจุบันเริ่มมองเห็นความจำเป็นกับการลงทุนเรื่องที่พักอาศัยมากขึ้น UNLOCKMEN เจอเคสออกแบบบ้านที่น่าสนใจของ FujiwaraMuro