Shaken, Not Stirred คือวลีเด็ดที่ทำให้นึกถึงใครไม่ได้นอกจาก James Bond สายลับมาดเนี้ยบที่มีหมายเลข 007 เป็นโค้ดเนมประจำตัว ผู้ซึ่งมี Vesper Martini สูตรเฉพาะตัวที่ต้องปรุงแบบ ‘เขย่าแต่ไม่คน’ เป็นเครื่องดื่มประจำกาย แต่นอกเหนือจากมาร์ตินี่สูตรพิเศษ สิ่งสะท้อนตัวตนของจารชนเจ้าเสน่ห์ที่สาวกหนัง James Bond อย่างเรา ๆ เห็นเป็นภาพจำมาตลอด หากไม่นับสาวบอนด์สุดสวยที่มีให้หนุ่ม ๆ ได้ปลื้มในทุกภาค ก็คงหนีไม่พ้นสูทสั่งตัดอย่างดี, รถ Aston Martin คู่ใจ, แกดเจ็ตล้ำ ๆ จาก Q รวมไปถึงนาฬิกาข้อมือ ไอเทมสำคัญที่เพิ่มความภูมิฐานให้สายลับ 007 คนเก่งคนนี้ดูดีทุกกระเบียดนิ้ว ซึ่งเราเชื่อเหลือเกินว่า OMEGA Seamaster เรือนงาม ซึ่ง James Bond คนที่ 5 ที่รับบทโดย Pierce Brosnan สวมใส่ในการถ่ายทำตอน GoldenEye น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้หลงใหลในเรือนเวลาทั่วโลกต่างหันมาจับจ้อง และอยากที่จะครอบครองไอเทมประจำข้อมือของสายลับขวัญใจมหาชนคนนี้ และเนื่องในโอกาสที่
สำหรับหนุ่ม ๆ Urban Men ที่มีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับย่านใจกลางเมืองเป็นส่วนใหญ่ คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘สาทร’ ย่านธุรกิจที่มีเสน่ห์ เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา เพราะที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่ตึกออฟฟิศ หรืออาคารสำนักงานต่าง ๆ เพียงเท่านั้น ย่านสาทรเป็นเหมือนศูนย์กลางของ Urban Lifestyle ที่สะดวกสบายทั้งการเดินทาง และการใช้ชีวิต รายล้อมไปด้วยร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์, ห้างสรรพสินค้า, คาเฟ่บิสโทรสุดชิค รวมไปถึงสถานศึกษา โรงพยาบาล สถานทูต และโรงแรมระดับ 5 ดาว มากมาย นอกจากอาคารสำนักงาน และสถานที่ไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ที่ครบครัน ‘สาทร’ ยังเป็นโลเคชั่นซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับใครที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตใจกลางมหานครได้อย่างสมบูรณ์แบบ กับโครงการ TAIT Sathorn 12 (เทตต์ สาทร ทเวลฟ์) ที่เราอยากชวนชาว UNLOCKMEN ทุกคนไปทำความรู้จักในทุกแง่มุมของคอนโดมิเนียมโครงการนี้ไปพร้อมกัน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เลือกคอนโดใหม่ที่พร้อมตอบสนองวิถีชีวิตคนเมืองได้อย่างลงตัว โครงการ TAIT Sathorn 12 เป็นคอนโด High Rise ระดับ Luxury ความสูง
นาฬิกาที่สร้างมาสำหรับข้อมือผู้ชายโดยเฉพาะ การร่วมมือที่ใช้เวลาพัฒนานานถึง 3 ปี นี่คือ Panerai x Brabus Submersible S Black Ops Edition PAM01240 ความเท่ขรึมสุดพิเศษที่มีจำกัดเพียง 100 เรือน หลายคนอาจสงสัยที่เห็น Panerai นาฬิกาที่เกิดมาจาก Royal Italian Navy ผู้เชี่ยวชาญทางน้ำ ทำไมถึงมาร่วมงานกับสำนักแต่งรถ Benz จากเยอรมนีอย่าง Brabus ได้ ที่จริงแล้ว Brabus ยังมีเรือ ‘Shadow Black Ops’ ที่ผลิตโดยทีม Brabus Marine division เรือทรงพลังระดับ 450 แรงม้าจากเครื่องยนต์ V8 ความเร็วระดับ 60 knots เป็นเรือความเร็วสูงที่ขึ้นชื่อในหมู่นักเล่นเรือ มีจุดเด่นคือการออกแบบที่สวยงามในโทนสีเทา gunmetal gray และแดง มีการตกแต่งที่หรูหราพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน นาฬิการุ่นพิเศษเรือนนี้มีหน้าปัดขนาดใหญ่ 47mm ตัวเคสผลิตจากวัสดุสุดแกร่ง
ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ไม่เว้นแม้แต่ Harley-Davidson ที่วันนี้ยังต้องหันมาจับตลาดสองล้อภายใต้แบรนด์ Serial 1 Cycle และนี่คือ S1 Mosh/Tribute eletric bike รุ่นล่าสุดที่สร้างจากแรงบันดาลใจต้นแบบ ‘Serial Number One’ มอเตอร์ไซค์ที่เก่าแก่ที่สุดของค่ายจากปี 1903 และดีไซน์ที่ต่อยอดมาจาก prototype แรกสุดที่ Harley-Davidson ใช้เปิดตัวแบรนด์จักรยานไฟฟ้าในช่วงปลายปี 2020 Harley-Davidson S1 Mosh/Tribute จักรยานไฟฟ้า Limited Edition โมเดลแรกของค่าย ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์กึ่ง Vintage ผสมผสานความ Modern ออกแบบได้แข็งแกร่งบึกบึนไม่ทิ้งลายเก๋า เฟรมสีดำเงาพิมพ์ตัวอักษรสีทองตัดกับล้อสีขาวสุดเท่สะท้านใจจาก Schwalbe Super Moto-X ซึ่งเป็นยางพิเศษเฉพาะสำหรับ Serial 1 บริเวณ handgrips และเบาะนั่งใช้หนังแท้จาก Brooks England หุ้ม สร้างสัมผัสแบบลูกผู้ชายที่คุ้นเคย ภายในเฟรมบรรจุมอเตอร์ไฟฟ้า 250W จาก Brose ทำความเร็วสูงสุดได้
หากใครเป็นคอหนังภาพยนตร์ไซไฟคงคุ้นเคยกับ ‘ไซบอร์ก’ หรือ สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างคนและเครื่องจักรเป็นอย่างดี หลายคนน่าจะรู้จักมันเป็นครั้งแรกจากภาพยนตร์สุดคลาสสิก เช่น RoboCop และ Terminator แต่อาจไม่รู้ว่าในโลกเราก็มีมนุษย์ไซบอร์กตัวจริงเหมือนกัน หนึ่งในนั้น คือ Neil Harbisson ชายชาวสเปนผู้เติบโตมาพร้อมกับโรค achromatopsia หรือ ที่เราเรียกว่าภาวะตาบอดสีแบบ 100% เขามองเห็นโลกมีเพียงสีขาวดำมาตลอด จนกระทั่งวันที่เทคโนโลยีกับเขาเริ่มกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน กว่าจะมาเป็นไซบอร์ก Neil Harbisson เกิดและเติบโตใน Mataro เมืองชายฝั่งแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในบาเซโลน่า ประเทศสเปน เขามีความสามารถด้านดนตรีตั้งแต่เด็ก หลังจากได้เรียนรู้การเล่นเปียโนที่บ้านเกิด เขาก็สามารถแต่งประพันธ์เพลงของตัวเองได้ตั้งแต่อายุเพียง 11 ปี เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาได้เรียนวิจิตรศิลป์ (Fine Art) ในสถาบัน Institut Alexandre Satorras และได้รับอนุญาตให้สร้างสรรค์งานศิลปะแบบไม่ใช้สีได้ ผลงานศิลปะในช่วงแรกของชีวิตเขาเป็นสีขาวดำทั้งหมด แต่ชีวิตของ Harbisson ก็ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อเขาอายุ 19 ปี และได้ไปศึกษาเรื่องการประพันธ์เพลงที่ Dartington College
Audemars Piguet แบรนด์เครื่องบอกเวลาชั้นสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้นำเสนอนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ 3 โมเดลใหม่ที่พัฒนาจากรุ่นดั้งเดิมในปี 1993 รังสรรค์ด้วยวัสดุที่แตกต่างกัน ได้แก่ สเตนเลส สตีล (Stainless steel) ไทเทเนียม(Titanium) และพิ้งค์โกลด์ 18 กะรัต ถึงแม้จะคงไว้ซึ่งรายละเอียดสำคัญของนาฬิการุ่นดั้งเดิม ทว่าเรือนเวลาขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรทั้ง 3 เรือนนี้มาพร้อมกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง ฟลายแบ็ก โครโนกราฟ (Selfwinding Flyback Chronograph) คาลิเบอร์ล่าสุดจากโอเดอมาร์ ปิเกต์ รวมถึงระบบถอดเปลี่ยนสายด้วยตนเองแบบใหม่ อีกทั้งยังมีการปรับดีไซน์หน้าปัดเล็กน้อย พร้อมยังนำฝาหลังแซฟไฟร์กลับมาใช้อีกครั้งเพื่อนำเสนอกลไกโครโนกราฟซึ่งรังสรรค์อย่างประณีต แม้รังสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ รุ่นดั้งเดิมจากปี 1993 ทว่านาฬิกา 3 เรือนใหม่ในขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตร มาพร้อมกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง ฟลายแบ็ก โครโนกราฟใหม่ล่าสุด และระบบถอดเปลี่ยนสายด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีการปรับดีไซน์บนหน้าปัดเล็กน้อย การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย นาฬิการุ่นรอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ใหม่ทั้ง
Audemars Piguet เปิดตัวนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ ขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรรุ่นใหม่ที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 เรือน เช่นเดียวกับนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ 3 โมเดลที่เปิดตัวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา นาฬิการุ่นลิมิเต็ดเรือนนี้ขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ 4308 ซึ่งเป็นกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง (Selfwinding) ล่าสุดของโอเดอมาร์ ปิเกต์ อีกทั้งยังใช้ระบบถอดเปลี่ยนสายนาฬิกาด้วยตนเอง พร้อมดีไซน์หน้าปัดที่ตอบโจทย์ทุกการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะบนบกหรือใต้น้ำ กลไกที่พร้อมสำหรับทุกการผจญภัย นาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ไดเวอร์ รุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น มาพร้อมกลไกอัตโนมัติแบบล่าสุดของโอเดอมาร์ ปิเกต์ พร้อมการแสดงวินาทีและการแสดงวันที่แบบ Instant-Jump คาลิเบอร์ 4308 ถูกติดตั้งพร้อมกลไกที่ช่วยมอบเสถียรภาพและความแม่นยำเมื่อปรับฟังก์ชันของนาฬิกา สเกลเวลาการดำน้ำที่แสดงอยู่บนวงแหวนด้านในที่สามารถหมุนได้ของหน้าปัดสามารถเปิดใช้งานด้วยกลไกการคลิกแบบทิศทางเดียวที่ถูกติดตั้งให้เชื่อมกับเม็ดมะยมตรงที่ตำแหน่ง 10 นาฬิกา ฝาหลังแซฟไฟร์เผยให้เห็นเทคนิคการตกแต่งสุดประณีตของคาลิเบอร์ 4308 ไม่ว่าจะเป็นลาย โกตส์ เดอ เฌอแนฟ (Côtes de Genève) เทคนิคเทรตส์ ทิเรส์
เชื่อว่าสาวกเรือนเวลาทั้งหลายที่ชอบแสวงหาความแปลกใหม่ไม่จำเจ คงคุ้นเคยกับชื่อของ ALBA แบรนด์นาฬิกาดีไซน์สวย ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องราคาที่สามารถจับต้องได้ภายใต้คุณภาพการผลิตที่การันตีโดย SEIKO แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง ALBA นั้นถือเป็นแบรนด์น้อง ที่รวมพลังร่วมบุกตลาดในไทย ยืนหยัดเคียงข้างแบรนด์พี่ใหญ่อย่าง SEIKO มายาวนาน ล่าสุดในปี 2021 นี้ ทาง ALBA ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมคอนเซ็ปต์ “The Reflection Of Japan” ด้วยงานดีไซน์ที่สะท้อนถึงคุณภาพความเป็น Japan Product โดยเน้นไปที่รูปลักษณ์ของเรือนเวลา Sport Style ที่หนุ่ม ๆ อย่างเราสามารถหยิบมาสวมใส่ได้ในทุกโอกาส และในวันนี้เราได้คัดเลือกเรือนเวลา 5 โมเดลใหม่ที่น่าสนใจจาก ALBA มาอวดโฉมความเท่ ให้ชาว UNLOCKMEN ได้สัมผัส และทำความรู้จักกับจุดเด่นของทั้ง 5 เรือนนี้ ที่พร้อมประทับลงบนข้อมือในฐานะไอเทมบอกเวลาคู่ใจซึ่งช่วยอัพความเท่ให้กับคุณได้ในทุกสถานการณ์ เริ่มต้นที่เรือนแรกซึ่งต้องบอกเลยว่าใครเห็นเป็นต้องสะดุดตา กับความหรูหราที่ผสานความสปอร์ตได้อย่างลงตัวกับ ALBA Automatic รุ่น AL4185X ตัวท็อปแห่งเรือนเวลาดีไซน์สปอร์ตขับเคลื่อนด้วยระบบออโตเมติก มาพร้อมหน้าปัดซันเรย์สีน้ำเงิน มีหลักชั่วโมงแบบพรายน้ำเหลือบทอง
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘SEIKO (ไซโก)’ คำภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า “นาที” “ความดีเยี่ยม” และ “ความสำเร็จ” เป็นคำคุ้นหูที่หลายคนรู้จักในฐานะชื่อแบรนด์นาฬิกาสัญชาติญี่ปุ่นที่อยู่คู่กับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย นอกจากชื่อเสียงที่ชาวไทยคุ้นเคย ในระดับโลก SEIKO ยังถือเป็นแบรนด์ที่สร้างมาตรฐานใหม่บนหน้าประวัติศาสตร์วงการนาฬิกามาแล้วมากมาย ทั้งในฐานะแบรนด์นาฬิกาข้อมือแบรนด์แรกของญี่ปุ่นที่ริเริ่มผลิตนาฬิกาควอตซ์จนทำให้เกิดยุค Quartz Crisis และเป็นแบรนด์ที่ผลิตนาฬิกาดำน้ำไทเทเนียมรุ่นแรกของโลก รวมถึงนวัตกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย จากประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 140 ปี นับตั้งแต่วันแรกที่ SEIKO ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1881 จนกลายเป็นความเชี่ยวชาญที่ผลักดันให้ SEIKO ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทนาฬิกาชั้นนำในญี่ปุ่น เป็น House of Watchmaking ที่ผลิตทุกชิ้นส่วนของนาฬิกาด้วยโดยช่างผู้ชำนาญการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของนาฬิกา ภายใต้คติ Keep Going Forward ซึ่งหมายถึงการไม่หยุดพัฒนาและก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ ที่ SEIKO ยึดถือมาจนถึงปัจจุบัน และในปี 2021 นี้ ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสพิเศษของแบรนด์คุณภาพจากญี่ปุ่นที่เดินทางมาครบรอบ 140 ปีเท่านั้น ซึ่งพวกเราชาวไทยที่เป็นสาวก SEIKO มาตั้งแต่ยุคบุกเบิกน่าจะรู้กันดีว่าช่วงเวลานี้ถือเป็น “ช่วงเวลาพิเศษ” ของไซโก
ขยับเข้ามาใกล้ทุกทีแล้ว สำหรับ Tokyo 2020 Olympics มหกรรมการแข่งขันกีฬาที่จะจัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น แม้จะมีปัญหาจากโควิด-19 คอยรบกวนการจัดงานอยู่บ้าง แต่ถ้ามองข้ามเรื่องนั้นไป ก็ยังมีความน่าสนใจเกี่ยวกับ Olympics ครั้งนี้อีกหลายอย่างที่ญี่ปุ่นทำได้ดี หนึ่งในนั้นก็คือโพเดียมรับเหรียญ ที่ผลิตแบบ 3D Prints จากขยะขวดพลาสติกจากบ้านเรือน 100% จุดประสงค์ของทีมผู้จัดงานของญี่ปุ่นคือต้องการให้ประชาชนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เราได้เห็นการผลิตเหรียญรางวัลจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่บริจาคโดยประชาชนมาแล้ว เช่นเดียวกับโพเดียมรับเหรียญรางวัลในโทนสีฟ้าเข้มนี้ ที่สร้างขึ้นจากขยะขวดพลาสติกจำนวน 400,000 ขวด ที่ชาวญี่ปุ่นนำไปทิ้งในกล่องสะสมขยะพลาสติก 2,000 จุดตามห้างสรรพสินค้าและโรงเรียนในระยะเวลา 9 เดือน “เราต้องการแสดงให้โลกได้เห็นถึงความ sustainability ในสังคมญี่ปุ่น และต้องการให้ชาวญี่ปุ่นได้มีส่วนร่วมกับ Olympics ที่ทุกคนเป็นเจ้าภาพด้วยกัน” ลวดลายบนโพเดียมได้แรงบันดาลใจมาจากโลโก้ Olympics เกิดจากลูกบาศก์สี่เหลี่ยมหลาย ๆ ชิ้นประกอบเข้าด้วยกันโดยเทคโนโลยี 3D Prints จนเป็นแท่นยืนขนาดใหญ่ที่ยาวกว่าโพเดียมปกติเนื่องจากสถานการณ์สังคมปัจจุบันที่ต้อง Social Distance และยังสามารถปรับระดับให้ลาดลงสำหรับนักกีฬา Paralympics หลัง Olympics จบลงได้อีกด้วย การปรับโลโก้ 2D ให้กลายเป็น 3D ทำให้โพเดียมมีมิติและมีระดับสีฟ้าเข้มที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแสงที่แตกต่างกัน
เมื่อได้มองดูภูมิทัศน์อันงดงามและเงียบสงบของโลกใบนี้เรามักจะลืมตระหนักไปว่า จุดเริ่มต้นของดาวเคราะห์ที่ชื่อว่าโลกได้กำเนิดจากพลังอันมหาศาล ที่รุนแรงและยากยิ่งต่อการดำรงชีวิต อีกครั้งที่ Azimuth ได้ใช้จินตนาการพาเราท่องไปยังอดีตกาลซึ่งเป็นปฐมบทของโลกใบนี้ ณ สถานที่ ที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟและลาวาอันร้อนระอุ ผ่านยานสุดแกร่งชื่อ SPACESHIP PREDATOR LAVA OVERLAND 2021 SPACESHIP PREDATOR LAVA OVERLAND เป็นผลผลิตจากความหลงใหลที่ดำเนินมาอย่างยาวนานระหว่าง Azimuth และโลกแห่งนิยายวิทยาศาสตร์ ความหลงใหลเหล่านี้ก่อให้เกิดคอลเลกชันที่โดดเด่นของแบรนด์ อาทิ Mr. Roboto, Spaceship และ Twin Turbo SPACESHIP PREDATOR LAVA OVERLAND ได้รับการผสมผสานระหว่างการขึ้นรูปตัวเรือนที่ล้ำยุค การเคลือบวัสดุที่เป็นเอกลักษณ์ และการออกแบบที่ล้ำหน้า เป็นทายาทโดยตรงของคอลเลกชัน Spaceship คอลเลกชันยอดนิยมของ Azimuth ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องสุนทรียศาสตร์ในการออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากยานอวกาศ แสดงเวลาด้วยเข็มชั่วโมงแบบกระโดดอันชาญฉลาด และมีสไตล์ด้วยเข็มนาทีแบบกว้าง รูปลักษณ์ที่โดดเด่นของ SPACESHIP PREDATOR LAVA OVERLAND ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “ค็อกพิทนักบิน” แสดงถึงจิตวิญญาณแห่งการประดิษฐ์ที่แน่วแน่ของ Azimuth ตัวเรือนสองส่วนออกแบบด้วยแคปซูลด้านในและแชสซีด้านนอก ทำการสลักโครงสร้างตัวเรือนแบบโมดูลาร์
หากพูดถึงแบรนด์ EPOS ขึ้นมา เชื่อว่านักสะสมนาฬิกาน้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก เพราะ EPOS นั้นไม่ใช่แบรนด์นาฬิกาน้องใหม่หรือไก่กาแต่อย่างใด แต่เป็นแบรนด์นาฬิกาจากสวิสที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงเกือบ 100 ปี ซึ่งถ้าพูดถึงนาฬิกาคุณภาพดี มีมาตรฐานระดับสวิส บรรจุฟังก์ชันที่น่าสนใจในราคาที่ทุกคนเอื้อมถึง นาฬิกาแบรนด์ EPOS มีคุณสมบัติดังกล่าวครบถ้วนแน่นอน และถ้าพูดถึงอนิเมะระดับตำนานจากญี่ปุ่น Astro Boy หรือเจ้าหนูปรมาณู ก็จะต้องติดทำเนียบความขลังและเป็นหนึ่งในอนิเมะที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากแฟน ๆ ทั่วโลกแน่นอน นับตั้งแต่ปี 2495 ที่เจ้าหนูปรมาณูได้เฉิดฉายสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก ผ่านการพัฒนาและปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย จนมาถึงเวอร์ชั่นล่าสุดที่ปล่อยออกมาในปี 2019 โดยใช้ชื่อว่า Go Astro Boy Go การร่วมมือของแบรนด์นาฬิกาคุณภาพจากสวิสและเจ้าของลิขสิทธิ์อนิเมะระดับตำนานจากญี่ปุ่น เปิดตัวประวัติศาสตร์ของวงการเครื่องบอกเวลา EPOS X Go Astro Boy Go เรือนเวลาที่โดดเด่นด้วยตัวเรือนสตีลแบบ classic pilot watch ขนาด 42 มิลลิเมตร (ไม่รวมเม็ดมะยม) แมทชิ่งได้ง่าย ไม่เลือกขนาดข้อมือผู้สวมใส่ โดยใช้ดีเอ็นเอจากนาฬิกา EPOS รุ่น