ช่วงกลางดึกคืนหนึ่งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมบังเอิญได้เห็นหน้าฟีดบนเพจ Facebook ของ Shonen MainStream โพสต์ว่ามีมังงะน่าสนใจออกใหม่ ที่กำลังไฮป์อย่างมากชื่อ Takopi’s Original Sin ซึ่งมียอดอ่านออนไลน์สูงเป็นระดับปรากฎการณ์ของการ์ตูนญี่ปุ่น-ในตอนที่ 1 มีคนกดอ่านรวมกว่า 8 ล้านครั้ง และตอนที่ 16 ซึ่งเป็นตอนจบก็มีคนอ่านภายในวันเดียวถึง 3 ล้านครั้งเลยทีเดียว (อัพเดทข้อมูล 14/11/2022) แต่ทว่า นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจมังงะเรื่องนี้ซะทีเดียว แต่เป็นเป็นเพราะคำเตือนถึง 2 ครั้งของทางเพจ ที่บอกว่าการ์ตูนเรื่องนี้มีเนื้อหาที่สะเทือนต่อจิตใจอย่างรุนแรงมาก ถึงแม้ว่าพล็อตเรื่องจะมีความคล้ายกับ Doraemon ก็ตาม … นี่ล่ะคือสิ่งที่ดึงดูดผมเข้าสู่โลกของ Takopi’s Original Sin ของจริง ขอยอมรับแบบไม่ปกปิด ผมรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ไม่เชื่อการเตือนถึง 2 ครั้งอย่างหวังดีนั้น เพราะเรื่องราวของ Takopi’s Original Sin ทำเอาหดหู่อย่างมากหลังอ่านจบ-ในระดับที่เกือบจะเขียนคอลัมน์นี้ไม่ไหว ซึ่งถ้าจะให้อธิบายความรู้สึกของผมออกมาเป็นภาพ มันก็คงเหมือนกับกำลังเดินเข้าหาคมมีดเป็นพันเล่ม โดยที่ก่อนหน้านั้นดื่มยาพิษเข้าไปอึกใหญ่ โลกของมังงะเรื่องนี้เต็มไปด้วยความไม่น่าไว้ใจ ความกระอักกระอ่วน ความเจ็บปวด เกินกว่าจะหายใจได้อย่างเต็มปอดและรู้สึกปลอดภัยขณะที่อ่าน แต่ก็ต้องบอกว่า
การกลับมาของอัลบั้มชุดที่ 6 (เลขจริงที่ไม่ได้ตั้งเอาชื่อมงคลแบบชุดที่ 8) ของวง POP ที่ม่วนที่สุดในค่ายห้องเล็ก Smallroom ชื่อ Tattoo Colour หลังจากที่หายจากการปล่อยอัลบั้มเต็มถึง 5 ปี แล้วก็ต้องบอกว่าพวกเขากลับมาอย่างสม ‘ศักดิ์ศรี’ จริง ๆ ทั้งการมีชื่อด้อมของตัวเองเป็นครั้งแรกว่า ‘ชาวนัวร์’ ไปจนถึงคอนเซปต์ของการทำอัลบั้ม ‘เรือนแพ ชุดที่ 6’ ที่ทั้ง 4 คนเช่าบ้านอยู่ด้วยกันเพื่อตกผลึกเพลงของทั้งอัลบั้ม จนทำให้กลายเป็นอัลบั้มที่สำหรับแฟน ๆ แล้ว ใช้คำว่า ‘ใช่’ ได้อย่างสิ้นเปลืองที่สุด ย้อนเวลากลับไปในปี 2008 ตอนที่อัลบั้ม ‘ชุดที่ 8 จงเพราะ’ กำลังโปรโมทซิงเกิล ‘จำทำไม’ อยู่นั้น มันเป็นตอนเดียวกับที่ผู้เขียนกำลังนั่งเรียนพิเศษเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามัธยมปลาย ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาว่ากันว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญและยากที่สุดในชีวิตวัยรุ่น แต่เราก็โชคดี ที่มีเพลงของ Tattoo Colour เป็นเหมือนซาวด์แทร็คประกอบชีวิต ชุบชูจิตวิญญาณของเด็กคนนั้นให้การเติบโตอย่างไม่ยากจนเกินไปนัก และในปัจจุบันที่เป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้ว ความเป็นเด็กของเราก็ยังถูกซ่อนไว้ในความทรงจำที่มีร่วมกับเพลงของพวกเขาเสมอ จะเปิดเพลงไหน เปิดเมื่อไหร่
ต้องบอกว่า The Last Of Us เกมจากค่าย Naughty Dog ไม่เคยห่างหายจากเหล่าเกมเมอร์ไปไหนเลยเป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว นับตั้งแต่ปล่อยภาคแรกออกมาให้เล่นในปี 2013 บน Playstation 3 เรื่อยมาจนถึง The Last of Us Part II ภาคต่อในปี 2020 บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดของซีรีส์ บน Playstation 4 จนล่าสุดปี 2022 ด้วยความทนกระแสแรงกดดันจากเหล่าเกมเมอร์ไม่ไหว ทางค่ายหมาซนก็ได้ Remaster ภาค 1 จุดเริ่มต้นของเกมใหม่ (อีกครั้งหลังจากที่รีมาสเตอร์ไปครั้งนึงแล้ว) ในชื่อ The Last of Us Part I บนเครื่อง Playstation 5 และไม่ใช่แค่ปรับให้กราฟิกงดงามเท่ากับ The Last of Us Part II
ก่อนนอนคุณสตรีมมิ่งอะไรดูเพื่อให้นอนหลับสนิทกันครับ ส่วนตัวผมนั้นเช่าหอพักอยู่กับรูมเมท ที่จะต้องเปิดเรื่องเล่าประสบการณ์ผีจากทางบ้าน The Ghost Radio ฟังทุกคืนราวกับว่าเป็นพิธีกรรมบางอย่างเพื่อให้ตาปิดได้สนิท แต่มีอยู่คืนนึงครับ ตอนเวลา 00:40 ตามเวลานัด เพื่อนคนนี้ก็เร่ง Volume ให้เสียงของพี่แจ็คได้ขับกล่อมเหมือนคืนก่อน ๆ ซึ่งผมที่กำลังพยายามข่มตาหลับถึงกับต้องเปิดตาพร้อมเงี่ยหูฟังไปด้วย เพราะเรื่องเล่าในคืนนั้นเกิดขึ้นในหอที่พวกเราทั้งคู่อาศัยอยู่ แล้วจู่ ๆ คนเล่าคนนั้นก็บอกว่าได้ยินเสียงหัวเราะทุกคืนตอนเวลา 00:40 จากห้องที่หมายเลขเดียวกับที่เราทั้งคู่นอนอยู่! ในตอนนั้นเอง ผมถึงกับสะดุ้งขึ้นมาเพื่อจะคุยกับรูมเมทว่าจะเอายังไ ง… ในเตียงนอนของรูมเมทของผมว่างเปล่า มีเพียงเสียงหัวเราะที่ไม่มีต้นตออย่างน่ากลัวอยู่ตรงนั้น เป็นยังไงบ้างครับกับเรื่อง (แต่ง) ผีของผม ถ้าได้โทรไปเล่าให้ฟังเองจะน่ากลัวกว่านี้อีกนะ นี่ล่ะที่เขาเรียกว่าถ้าเราโตขึ้นมาในประเทศไทยที่มี Soft Power เรื่อง ‘ผี’ เราก็จะมีทักษะในการเล่าเรื่องผีติดตัวไปโดยปริยาย แต่ต้องบอกก่อนนะครับถึงผมจะสนใจเรื่องผี แต่ตัวเองก็กลัวผีมาก ๆ แล้วเรื่องผีในบ้านเรานี่มีทุกรูปแบบ และเยอะแบบไม่จบไม่สิ้นจริง ๆ ลองดูจากข้อมูลปี 2018 ที่ The MATTER ทำเอาไว้ ก็จะเห็นว่าเพียงรายการผีรายการเดียวในไทย ก็มีเรื่องเล่าที่ไม่ซ้ำกันเต็มไปหมด เอาจริง ๆ การเล่าเรื่องผีให้น่ากลัวก็เป็นศิลปะแบบเดียวกับอาชีพ Comedian
หนึ่งในรูปแบบ ‘อัลบั้มที่ดี’ สำหรับเรา คือการที่เพลงในนั้นมีหลาก Mood & Tone เพื่อที่จะสามารถเล่าเรื่องราวของคอนเซปต์อัลบั้มซึ่งถูกคิดเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน แล้วจากจุดนั้นเอง ดนตรีที่อะเรนจ์ เนื้อร้องที่ถูกเขียน ก็ต้องเกิดขึ้นจากศิลปินซึ่งเข้าใจตัวเองและจุดที่ว่าไปมาก ๆ และอัลบั้ม Your Girl เป็นแบบนั้น … นี่คือเพลง Pop ในยุคสมัยใหม่ ที่ประกอบด้วยซาวด์จากเครื่องสังเคราะห์เต็มไปหมด แต่กลับยังสามารถคงความประณีตในการเรียบเรียงได้เป็นอย่างดี ไปจนถึงเนื้อร้องที่เขียนเองก็เยี่ยมไม่แพ้กันเลย เคยฟังบทสัมภาษณ์ที่ไหนสักที่เมื่อนานมากแล้ว จำได้ว่าคุณวีชอบซีรีส์เรื่อง That 70’s Show มาก คือที่จำได้แม่นจนขึ้นใจเนี่ย เป็นเพราะมันบังเอิญมากว่าเราเองก็เป็นแฟนคลับของเรื่องนี้ด้วย และก็ไม่เคยมีเพื่อนคนไหนที่ชอบเหมือนกันมาก่อน เรารัก Sit-Com ของเหล่าวัยรุ่นที่ใช้เวลาด้วยกันในห้องใต้ดิน ‘บ้านฟอร์แมน’ มาก ๆ ถึงขนาดว่าเมื่อดูซีซั่นสุดท้ายจบลงไปแล้ว ก็ติดตามอ่านชีวิตของนักแสดงแต่ละคน พร้อมดูคลิปวันสุดท้ายที่พวกเขายืนเรียงกันหน้ากระดานพร้อมกันเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตลอด 8 ปี ซ้ำไปมาอยู่หลายครั้ง และเสียใจเสมอที่ Topher Grace ที่รับบท Eric Forman เลือกจะไม่อยู่ในช่วงเวลานั้นด้วย เอ้า ๆ ต้องขออภัยด้วยนะครับที่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวเล่าเสียยืดยาว
ในช่วงที่โลกเต็มไปด้วยความโกลาหลจากเหตุการณ์เลวร้ายที่เข้ามาไม่หยุดหย่อนแบบนี้ หลาย ๆ คนก็คงมีวิธีคลายเครียดต่างกันออกไป แต่สำหรับคนที่หลบจากโลกความจริงเอาใจไปปล่อยในมังงะอย่างพวกเรา การมาถึงของอนิเมะบู๊เลือดสาดอย่าง Chain Saw Man ที่กำลังไฮป์ที่สุดในทุกแพลตฟอร์มตอนนี้ ดูจะหนักเกินไปเหลือเกิน ก็ชอบแหละ แต่ขอห่างกันสักพักไปก่อน เพราะตอนนี้มังงะแบบ Slice Of Life น่าจะตอบโจทย์ชีวิตตอนนี้มากกว่า มังงะแนว Slice Of Life เป็นการ์ตูนที่จะพาเราปล่อยใจ พร้อมค้นหาความหมายของชีวิตบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความสามัญธรรมดาในทุกวันที่ผ่านไป จริง ๆ ถ้าลองสังเกตุดี ๆ ก็จะเห็นว่ามังงะแทบทุกเรื่องจะมีตอนที่เป็น Slice Of Life ซ่อนอยู่เสมอ เป็นวันที่ตัวเอกของตอนนั้น ๆ ทำอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่คิดอะไรมาก แค่เดินไปตามท้องถนนเฉย ๆ ให้คนอ่านได้พักหายใจก่อนที่จะออกเดินทางเสพเนื้อเรื่องหลักอันเข้มข้นต่อไป UNLOCKMEN ขอแนะนำมังงะ Slice Of Life ที่ผู้เขียนอ่านเอง รักเอง และเชื่อว่าคนอ่าน UNLOCKMEN น่าจะชอบด้วยเหมือนกัน เพราะโลกมันเครียดมากแล้ว เพราะฉะนั้นคงไม่มีอะไรดีเท่ากับการที่มังงะสักเล่มจะสามารถสร้างวันหยุดให้กับใจเราทุกครั้งที่เปิดอ่านนี่ล่ะ : ) โคทาโร่อยู่คนเดียว
เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ดู ‘ศิลปะล่ะ’ ของช่อง RUBSARB production คลิป Katsushika Hokusai ผู้วาด The Great Wave off Kanagawa แล้วทำเอาสายเสพมังงะของเรากรี๊ดแตกมากกก ก็เรียกว่าสนใจศิลปะในยุคเอโดะทันที เรื่องก็คือ นี่ไปศึกษาเพิ่มเติมมาแล้วเจอว่าศิลปินสมัยนั้นเขาก็เริ่มวาดงานแบบ Horror กันแล้วเว้ย แล้วศิลปิน Utagawa Kuniyoshi เป็นหนึ่งในมาสเตอร์ของสายนี้ ซึ่งภาพวาดผีของเขามันน่าหลงใหลมากเลยอะ UNLOCKMEN ขอส่งท้ายวันฮาโลวีนด้วยเรื่องราวกับผลงานของ Utagawa Kuniyoshi และภาพผี ๆ ของเขา ที่น่ากลัว สวยงาม และเต็มไปด้วยเรื่องราวเบื้องหลังอันน่าขนลุก Ukiyo-e คืออะไร? Ukiyo-e อ่านว่า ‘อุกิโยะเอะ’ เป็นศิลปะที่ได้รับความนิยมอย่างมากของญี่ปุ่นในช่วงยุคเอโดะ (ค.ศ. 1603 – ค.ศ. 1868) วิธีการสร้างผลงานของภาพชนิดนี้เต็มไปด้วยความซับซ้อน ต้องใช้ทั้งความรู้เฉพาะทางในการแกะสลักบล็อกไม้ (woodblock print) การใช้สีในหลาย ๆ ประเภท และการพิมพ์ แต่ถ้าให้อธิบายสั้น
วันนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว 29/10/2002 เป็นวันที่ GTA ภาค Vice City เปิดตัวให้เล่นวันแรกบนเครื่อง Playstation 2 พร้อมได้รับเสียงวิจารณ์ด้านบวกมากมาย โดยเฉพาะที่สำคัญเลยซึ่งผู้พัฒนาซีรีส์ GTA น่าจะยิ้มกริ่มไปตาม ๆ กัน คือการพัฒนาระบบการเล่นที่สนุกขึ้นจาก Grand Theft Auto III ภาคก่อนได้ดีขึ้นมากในหลาย ๆ ด้าน จนถึงส่วนสำคัญอย่างเนื้อเรื่องของเกมโลกเปิดแบบที่ลงลึกมากยิ่งขึ้นด้วย Grand Theft Auto: Vice City จะพาเราย้อนกลับไปในปี 1986 โดยให้ผู้เล่นสวมบทเป็น Tommy Vercetti ผู้พยายามไต่ขึ้นเป็นใหญ่ในวงการมาเฟีย ณ Vice City เมืองซึ่งจำลองภาพของชายหาดของไมอามีอันโดดเด่นด้วยต้นปาล์มขนาบข้าง แสงสีจากไฟนีออนของไนท์คลับชื่อดัง เสื้อฮาวาย และเหล่าตำรวจที่มาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือดของวงการใต้ดิน ความเจ๋งที่ทำให้ GTA ในภาคนี้ยังคงเป็นที่ถูกพูดถึงเสมอไม่แพ้กับภาคอื่น แม้ว่าจะผ่านมา 20 ปี แล้วนั้นมีมากมายเต็มไปหมด แต่โดยส่วนตัวเราเองเชื่อว่าความเคารพต่อการหยิบเรื่องราว ‘มาเฟีย’ มาเล่าของผู้สร้างนั้นมีส่วนสำคัญมาก
เคยมั้ย ฟังเพลงจบแล้วอิน จนต้องหาสื่อบันเทิงในรูปแบบใดก็ตามที่มี Mood & Tone ใกล้เคียงกันมาเสพต่อ ซีรีส์เอย หนังเอย หรือเพลงที่ใกล้เคียงกันเอย แต่ในบางครั้งสื่อที่โดนใจเราที่สุดก็คือ ‘หนังสือ’ สักเล่ม ด้วยความที่มีเนื้อเรื่องเปิด ตอนกลาง และตอนจบ หลากหลายอารมณ์ ไม่ต่างอะไรกับเพลงที่มี Intro ไปจนถึง Outro ทำให้นิยายดี ๆ ช่วยต่อความยาวสาวความอินไปได้อีกสักพักนึงเลย ในซีรีส์ Next Cover, Same Mood เราจะเอาอัลบั้มโปรดที่เพิ่งฟังไป มาดูด้วยกันไปทีละเพลงว่า มีหนังสือเล่มไหนบ้างที่มีจุดเชื่อมโยงกับตัวเพลงนั้น ๆ ทั้งชื่อเพลง, เนื้อร้อง, พาร์ทดนตรี, อารมณ์หลังฟังจบ, เรื่องราวก่อนจะมาเป็นเพลง ไปจนถึงความหมายของเพลง เป็น What You Should Read Next ‘ฟังเพลงนี้จบแล้ว ถ้าอิน ก็ควรอ่านหนังสือเล่มนั้นต่อนะ’ เพื่อช่วยยืดอารมณ์อันไม่มูฟออนจากเพลงของเรากันต่อไป (พูดแบบนี้ดูเศร้า) ขอเปิดตัวคอลัมน์แรกอย่างเป็นทางการ ด้วยอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกเป็นของวง Asia 7 ที่ออกกับค่าย
ในช่วงเวลาที่ชื่อของ Junji Ito ถูกแปะด้วยป้ายนักเขียนราชาสยองขวัญยุคใหม่ (ยังคงมีผลมาถึงปัจจุบัน) อย่างไร้ข้อกังขาใด ๆ ด้วยองค์ประกอบของผลงานที่สร้างความหวาดกลัวสุดขีด ด้วยจังหวะและงานภาพแสนประณีต กับเรื่องราวที่ไม่มีคนอ่านสามารถจับทางได้สักครั้ง และ UNLOCKMEN เคยพูดถึงเรื่องราวของราชาคนนี้เอาไว้อย่างละเอียดในบทความ NIHON STORIES : ITO JUNJI ในคอลัมน์นี้เราจึงไม่ได้จะพูดถึงคุณจุนจิ แต่จะพาไปรู้จักกับมังงะสยองขวัญอีกรสชาติของ Hirohisa Sato นักเขียนที่ค่อนข้าง underrated ในบ้านเรา และเรื่องที่จะพูดถึงก็ติดเรทด้วยภาพของความรุนแรง จนไม่สามารถแปลลิขสิทธิ์เข้ามาอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทยได้ ชื่อของมังงะเรื่องนั้นก็คือ Shiga Hime มังงะปี 2016 ว่าด้วยผู้เป็นอมตะและสาวกทาสรับใช้ของพวกเธอ ขออนุญาตให้เกร็ดของนักเขียนคนนี้เพื่ออรรถรสสักนิดนึง คุณซาโตะเป็นนักเขียนมังงะที่ปัจจุบันมีผลงานทั้งหมด 3 เรื่อง คือ Suzuki Just Wants a Quiet Life (2014), Shiga Hime (2016), และเรื่องล่าสุด Mother Parasite (2020) ความเก่งกาจก็คือมังงะทั้งหมดของคุณซาโตะมีความแตกต่างด้าน Story ออกจากกันอย่างสิ้นเชิง