

Business
“ผมคือนักวิทยาศาสตร์” : เจาะลึกพลังบวกจากตัวตนยอดคนพลังสูง ‘วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา’
By: unlockmen March 16, 2018 95661
การใช้ชีวิตบนโลกสุดท้าทายใบนี้ต้องใช้ ‘พลังงาน’ มากมายเป็นแรงขับเคลื่อน ต้องใช้ ‘passion’ แรงกล้าในการผลักดันตัวเอง ต้องใช้ ‘ความกล้า’ ขั้นสุดในการเผชิญทุกสิ่งที่ขวางหน้า และต้องมี ‘Positive thinking’ ที่จะช่วยเปลี่ยนพลังจากข้างในให้กลายเป็นความจริงขึ้นมาได้
ทีมงาน UNLOCKMEN มีโอกาสได้พูดคุยกับชายที่มีทุกข้อที่กล่าวมาอย่างเหลือล้น และได้สัมผัสตัวตนทางความคิดของเขาในแบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อน จนหายสงสัยไปเลยว่าทำไมชายที่ชื่อว่า ‘วู้ดดี้’ วุฒิธร มิลินทจินดา ถึงได้ทรงพลังขนาดนี้ ทรงพลังขนาดที่ว่า ทุกคนที่ได้อยู่รอบตัวของเค้า จะต้องซึมซับเอาพลังงานบวก เอาแรงบันดาลใจ เข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าถามว่าคุยกับใครแล้วถึงกับขนลุก พูดแบบไม่โอเวอร์เลยว่า การคุยกับคุณวู้ดดี้ ให้ความรู้สึกแบบนั้นได้จริง ๆ
เรารู้จักคุณวู้ดดี้ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ‘Woody World’ เรียลลิตี้ทอล์กโชว์สุด exclusive ที่ออกอากาศทุกคืนวันอาทิตย์ เวลา 22.15 – 23.30 น. ทางช่อง Workpoint 23 รวมถึงแพลตฟอร์มอื่นอย่าง Facebook และ YouTube นอกจากนี้ยังมีรายการสร้างแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นอย่าง ‘คนแปลงร่าง’ ส่วนงานนอกจอที่โดดเด่นก็คือการจัดเทศกาลดนตรี ‘S2O’ อีเว้นต์สุดมันส์วันสงกรานต์ที่ใครหลายคนเคยไป
นั้นคือสิ่งที่ทุกคนมองเห็น แต่สิ่งที่เขาเป็นคืออะไร ?
เรามาเยือนคุณวู้ดดี้ถึงโลกของเขา ที่ บริษัท วู้ดดี้เวิลด์ จำกัด อาณาจักรที่เขากับทีมงานสร้างสรรค์ผลงานออกสู่ภายนอก ชายที่ทุกคนรู้จักให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พูดคุยกันแบบสบาย ๆ ทำให้เราเข้าถึงตัวตนชายคนนี้ได้ไม่ยาก
“เวลาที่ทุกคนบอกว่าผมคือพิธีกร เป็นนักจัดรายการ ผมก็ยินดีที่จะเป็น แต่ผมขอแชร์กับ UNLOCKMEN เป็นที่แรกว่าผมคือนักวิทยาศาสตร์ ผมชอบทดสอบ ผมทดลองทั้งความคิด ความรู้สึก รวมถึงไอเดียใหม่ ๆ และเชื่อว่าเราจะต้องทำวิจัยกันทุกวันทั้งกับตัวเองและกับสังคม ทุกคอนเท้นต์ที่ผมทำจะต้องทำให้ชีวิตคนดีขึ้น”
“ผมขอแชร์กับ UNLOCKMEN เป็นที่แรกว่าผมคือนักวิทยาศาสตร์”
นี่คือมุมมองใหม่ของเขาที่มีต่อตัวเองในปัจจุบันหลังจากสั่งสมประสบการณ์มานาน ซึ่งเป็นคำตอบที่เราได้ยินแล้วอยากรู้ขึ้นมาเลยว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ มีสิ่งใดในตัวคุณวู้ดดี้ที่เปลี่ยนไปอีกไหม ?
“สิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดคือทุกวันนี้ผมได้ความรู้สึกใหม่ ๆ ตลอดเวลาจากการฟังคนอื่นมากขึ้น สมัยก่อนเวลาที่ผมพูด ผมจะไม่ฟังใคร เวลาอยู่ในที่ประชุมก็จะแล้วแต่อารมณ์ ถ้าคนพูดตื่นเต้นมากก็ไม่อยากฟัง แต่เมื่อเราได้ตั้งใจฟังเราจะรู้เลยว่า ลูกน้องคนนี้ป่วยละ มีปัญหากับแฟนมา หรือคนคนนี้ต้องการความรักมากขึ้น หรือไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ พอเราฟังปุ๊ป ทุกอย่างมันเบามาก ถ้าเราไม่ฟังมันก็จะเหมือนกับตั้งการ์ดดวลกัน เถียงกัน พอเปิดใจฟังเราจะรู้เลยว่าความต้องการเบสิคของทุกคนคืออยากเป็นที่ยอมรับ ไม่มีใครอยากพลาดหรอก เราต้องยอมรับเขาก่อน”
“สิ่งที่ตื่นเต้นที่สุดคือทุกวันนี้ผมได้ความรู้สึกใหม่ ๆ ตลอดเวลาจากการฟังคนอื่นมากขึ้น”
จากที่ติดตามผลงานของพี่มา สไตล์การถามคำถามของพี่ค่อนข้างจะซัดแบบตรง ๆ บางทีแขกรับเชิญก็เหวอไปเลย เดี๋ยวนี้ยังเป็นอยู่ไหม ?
“ตอนที่พี่เลิกถามคำถามว่า จริงหรือเปล่าที่คุณ… ? มีคนมาบอกว่าทำไมพี่ไม่ถามอย่างนั้นอีก พี่ก็ถามตัวเองว่า เห้ย ทำไมพี่ต้องทำอย่างนั้นอีกอะ วันนั้นพี่รู้สึกว่ามันใช่ เราอยากได้เรตติ้ง เราก็เลยถามแรง ๆ เราคิดว่าคนน่าจะชอบ แต่วันนี้พี่รู้สึกว่ามันแปลก ๆ บางทีครีเอทีฟเขาเขียนคำถามขึ้นในคิวว่า รู้สึกยังไงที่คุณเป็นข่าว ? โห พี่อุทานว่าเหี้ยในหัวเลยนะ แล้วตอนนี้ก็เอามาด่าตัวเองด้วย สิบปีที่แล้วถามแบบนั้นไปได้ยังไง คนโดนถามเขาก็ต้องรู้สึกไม่ดีอยู่แล้ว เขาเป็นข่าว เขาผ่านอะไรมาเยอะ เราควรจะให้กำลังใจเขา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ ทุกเหตุการณ์มันเกิดขึ้นเพื่อสอนเรา พี่ควรจะถามว่าคุณได้เรียนรู้อะไรจากมัน ? เราเสียเวลามาเยอะกับการถามคำถามที่ผิด คำถามที่ควรถามควรเป็นคำถามเชิงคุณภาพ You have to ask the right questions”
“เราเสียเวลามาเยอะกับการถามคำถามที่ผิด คำถามที่ควรถามควรเป็นคำถามเชิงคุณภาพ”
ถ้าอย่างนั้นขอถามคุณวู้ดดี้ว่า ผ่านร้อนผ่านฝนผ่านหนาวมาขนาดนี้ มองตัวเองตอนวัยรุ่นว่าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วได้ learning อะไร ?
“ด้วยความที่ว่าเราเป็นเกย์ ตอนวัยรุ่นเราเคยคิดไปเองว่าเราต้องทดแทนด้วยการทำให้ตัวเองเป็นคนดูมั่นใจ ดูเก่ง เพื่อจะได้กลบความเป็นเกย์ ฝึกมาตั้งแต่เด็ก สมัครเป็นประธานชมรมแล้วก็รู้สึกมีพาวเวอร์ ต้องอยู่หน้าห้อง ต้องเป็นที่หนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่าเราแค่ต้องการความรัก แค่นั้นเอง อยากให้พ่อแม่ยอมรับ พอทำงานก็ต้องการเรตติ้ง ต้องแรง เดินเข้ามาในห้องแล้วต้องข่มทุกคน พอมองกลับไปก็รู้สึกว่าสงสารเด็กคนนั้น แต่ก็ดี เพราะถ้าไม่มีวันนั้นก็ไม่มีวันนี้”
“เราเคยคิดไปเองว่าเราต้องทดแทนด้วยการทำให้ตัวเองเป็นคนดูมั่นใจ ดูเก่ง เพื่อจะได้กลบความเป็นเกย์”
เป็นที่ทราบกันดีว่าคุณวู้ดดี้ผ่านการเปลี่ยนแปลงและเผชิญกับบททดสอบมามากมายในฐานะคนของสังคม ทั้งความท้าทายบนหน้าจอ การแข่งขันเข้มข้นในเรื่องของคอนเท้นต์ และธุรกิจที่มีความเสี่ยงเป็นปัจจัย ถ้ากลัวก็คงไม่ไหว ถ้าไม่สู้ก็คงหมดพลัง และถ้าไม่กล้าก็คงพังไปแล้ว แต่มนุษย์อย่างเราย่อมมีความรู้สึกหวั่นกันบ้างเป็นธรรมดา เพียงแต่สาระมันอยู่ที่ว่า คุณจัดการกับความกลัวได้อย่างไร ?
“Fuck fear! ต้องท่องทุกวัน fear มันก็เหมือนม้าที่คุณขี่ ถ้าคุณปล่อยให้ม้าพาคุณไปโดยไม่คอนโทรล ความกลัวก็จะพาคุณไปไหนก็ได้ รู้ตัวอีกทีก็สายไปแล้ว คุณต้องควบคุมจิตใจคุณ อย่าปล่อยให้ใจลอยไป หรือถามเดือนถามดาวเหมือนเนื้อเพลงไทย(หัวเราะ) คุณต้องถามใจตัวเองสิ ต้องมีสติในการข่มใจ สมมุติว่าคุณจะขึ้นพูดต่อหน้าคน 80,000 คนมันก็ต้องมี fear เป็นธรรมดา แต่เราจะ fear จน fail เหรอ คุณต้องออกรบบ่อย ๆ เพื่อฝึกเผชิญหน้ากับ fear ถ้าคุณมัวแต่ซ่อนตัวอยู่ใน comfort zone คุณก็จะเป็นอย่างนี้ทุกงาน เวลาที่ผมสบตาพูดกับใครแล้วได้ยินคำพูดบาดใจ ผมจะไม่กลัว ผมจะเคลียร์ตรงนั้นเลย และถ้าคำพูดเราเวลามันแทงใครเราต้องดึงหอกออกเดี๋ยวนั้นเลย เราจะไม่รอ”
“Fuck fear! ต้องท่องทุกวัน”
นั่งพูดคุยกับคุณวู้ดดี้มาพักหนึ่ง รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนที่เข้าถึงยากหรือนัดยากเลย ทุกอย่างดูสมูธไปหมด ไม่ใช่ชายที่ ‘เยอะ’ อย่างที่คิด อะไรคือสิ่งที่ปลดล็อกเงื่อนไขการใช้ชีวิตของคุณ ?
“ผมจะ say ‘Yes’ กับทุกอย่าง ผมทิ้งคำว่า ‘ดูก่อน’ ในหัวไปหมดแล้ว สำหรับผมคือ ‘ททท’ หรือ ‘ทำทันที’ UNLOCKMEN จะมาสัมภาษณ์ พี่ตอบเลยว่าโอเค ไม่ต้องมีเงื่อนไขมากกับชีวิต ผมเชื่อว่าทุกอย่างในชีวิตมันเตรียมมาไว้ให้คุณแล้ว คนดี ๆ เรียงมาให้คุณตลอด คุณต่างหากที่ปฏิเสธ สมัยก่อนผมจะเยอะมาก แป๊ปนึงนะ ขอดูปฏิทินก่อน เดี๋ยวค่อยว่ากัน พอเจอกับตัวเองบ้าง เวลาที่แขกรับเชิญไม่มีคิวก็เลยเข้าใจ เราโทษเขาไม่ได้ เราไม่มีสิทธิตัดสินใคร
เคยคิดนะว่าทำไมแขกรับเชิญไม่กล้ามา อ่อ ถ้าเราคิดจากมุมเขา การเจอกับเราก็อาจจะหนักไป ตอนนี้ผมเบามากเลย ใครไม่สะดวกผมไม่มีปัญหา เปิดกว้างมาก เอาตามเวลาแขกรับเชิญด้วย เราต้องเอนไปหาเขา ในโซเชียลเน็ตเวิร์กก็เหมือนกัน เมื่อก่อนผมอารมณ์เสียเวลาใครวิจารณ์ผมแรง ๆ แต่เดี๋ยวนี้ผมจะขอบคุณ และพิจารณาตัวเอง ยอมรับความผิดพลาด”
“ผมจะ say Yes กับทุกอย่าง ผมทิ้งคำว่า ดูก่อน ในหัวไปหมดแล้ว สำหรับผมคือ ททท หรือ ทำทันที”
เรารู้แล้วว่าตัวตนและทัศนคติของคุณวู้ดดี้ในตอนนี้เป็นอย่างไร มาถึงเรื่องงานกันบ้าง คุณวู้ดดี้มีเคล็ดลับอะไรในการบริหารงาน ?
“ผมเชื่อว่าคนที่ไม่ค่อยมีความรู้แต่มีกลยุทธ์ กับคนที่มีความรู้แต่ไม่มีกลยุทธ์ ผมว่าคนมีกลยุทธ์น่าจะเวิร์กกว่าคนที่ฉลาดแต่ไร้ strategy คุณต้องมีกลยุทธ์ เริ่มฝึกได้จากเรื่องใกล้ตัว การจัดบ้านนี่แหละ มันเป็นการฝึกที่ดี คุณจะทำยังไงที่จะไม่ให้ในบ้านมีแต่ขยะถมไปหมด ถ้าเอาของที่คนอื่นให้มาไปหมกก็เหมือนการหมกปัญหา ถ้าคุณจัดบ้าน จัดพื้นที่ของคุณให้มัน mimimal ที่สุดได้ พอคุณออกไปข้างนอกคุณจะได้กระบวนการคิดในการบริหารเรื่องในบ้านไปประยุกต์ใช้ อีกอย่าง เราต้องดูว่าใครเป็น giver หรือ taker จงเชื่อใน sense ตัวเอง อย่าดูถูกมันเด็ดขาด”
“จงเชื่อใน sense ตัวเอง อย่าดูถูกมันเด็ดขาด”
แล้วมันไม่ยากเหรอ การจะทำงานใหญ่ที่ใคร ๆ เขาคิดว่าคุณไม่น่าจะทำมันได้ ?
“สำหรับผม Anything is possible ทุกอย่างเป็นไปได้ จงอย่าดูถูกพลังของตัวคุณเองในการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้ดีขึ้น ต้องมีใจที่แน่วแน่มาก ถ้าคุณไม่แน่วแน่ใครมันจะแน่วแน่กับคุณ ผมปลูกฝัง mindset เรื่องทุกอย่างเป็นไปได้ให้กับทีมงานทุกคน และมันเห็นผล ถ้าบ่นก็แพ้แล้ว โปรเจ็คต์บางตัวล่มก็ให้มองดูว่าเรื่องดี ๆ จากการสูญเสียคืออะไร เวลาเรา break down เราต้องหาว่าเราเรียนรู้อะไรได้บ้าง ทุกอย่างเป็นโอกาส”
“พูดถึง S2O มันเริ่มจากการตั้งคำถามว่าเราจะจัดเทศกาลดนตรีในช่วงสงกรานต์ได้อย่างไร ทุกคนก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ ผมชอบมากเวลาที่คนพูดแบบนี้ ผมจะตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไรให้มันเกิดขึ้นได้แล้วหาวิธี จนผมทำให้มันเป็นไปได้ แล้วก็ทำต่อ ๆ แล้วก็หาคนเจ๋ง ๆ มา run พอมันไปได้ดีผมก็ไปทำฝันอย่างอื่นให้เป็นจริงต่อ”
การประสบความสำเร็จว่ายากแล้ว คุณวู้ดดี้มีวิธีการรักษาความสำเร็จอย่างไร ?
“ผมพยายามคิดว่าผมจะต้องวิ่งเข้าเส้นชัยในการแข่งขันมาราธอนให้ได้ ผมต้องเพิ่ม pace ตัวเอง พอเข้าเส้นชัยเสร็จปั๊ปก็ต้องฉลอง เพื่อยินดีกับตัวเอง ยินดีกับทีม แล้วค่อยมาว่ากันที่เป้าต่อไป เราจะซ้อมอย่างไรเพื่อไปกันต่อ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราเอาชนะตัวเองได้ในทุกแมตช์เป็นเวลายาวนานขึ้น คือ ‘ดี’ ไม่พอ ‘เยี่ยมยอด’ ไม่พอ ต้อง ‘เหนือมาตรฐาน’ และ make sure ว่าในสายเลือดของทีมคุณมันต้องเหนือมาตรฐานด้วย อีกอย่างต้องรู้จักลง ยอดเขามันไม่ได้ยืนได้เป็นสิบคน คุณต้องให้คนอื่นขึ้นมาบนยอดเขาบ้าง บางทีบรรยากาศในหุบเขาก็อาจจะดีก็ได้ อยู่หลังเขาก็ได้สนับสนุนคนอื่น เราต้องรู้จักแบ่งปัน”
“ยอดเขามันไม่ได้ยืนได้เป็นสิบคน คุณต้องให้คนอื่นขึ้นมาบนยอดเขาบ้าง บางทีบรรยากาศในหุบเขาก็อาจจะดีก็ได้ อยู่หลังเขาก็ได้สนับสนุนคนอื่น”
จากเรื่องงาน มาถึงเรื่องชีวิตกันบ้าง เรามักจะได้ยินคำแนะนำจากคนที่ประสบความสำเร็จเสมอ ว่าให้ใช้เวลาให้คุ้มค่าในการพัฒนาตัวเอง แต่ในเคสของคุณวู้ดดี้ ดูเหมือนว่าจะเกินคุ้ม เราถามเขาไปว่า ชีวิตนอกเวลาทำงานของเขาเป็นอย่างไร ?
“ชีวิตมันมีค่ามาก ผมจะนอนดูหนังอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้แล้ว เราไม่มีเวลาไปนั่งร้านกาแฟแล้วก็ถ่ายรูปเซลฟี่ สมัยก่อนนั่งร้านกาแฟคุยเรื่องชาวบานได้ทั้งวัน สนุกนะ แต่พอเริ่มรู้สึกว่าถ้าเราตายวันพรุ่งนี้หละ เราได้ทำฝันให้เป็นจริงแล้วหรือยัง เสาร์อาทิตย์ผมก็ทำงาน แต่เพราะผมไม่ได้คิดว่ามันเป็นงานก็เลยเอ็นจอยกับมัน เราต้องมี passion กับมัน passion is king เดี๋ยวคอนเท้นต์ดี ๆ ก็ตามมา การช่วยคนมันไม่ใช่แค่ 5 วัน การทำสิ่งดี ๆ มันคือ 7 วัน ตอนนี้ความสุขของผมคือแบบนี้”
เคยทำรายการดังอย่าง ‘วู้ดดี้เกิดมาคุย’ รวมถึงรายการ ‘วู้ดดี้ตื่นมาคุย’ วันหนึ่งวางทุกอย่างลง ไม่เสียดายบ้างเหรอ คุณปลดล็อกตัวเองจากการยึดติดอย่างไร ?
“ก่อนปลดล็อกคุณอาจจะมีความรู้สึกเสียดายมาขวาง ก็ต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันใช่หรือไม่ใช่ พอปลดล็อกได้คุณจะรู้สึกเจ๋งมาก เหมือนเอากุญแจออก มันเบา มันมีอิสรภาพ มันไม่ยึดติด การ unlock คือการปล่อยวางอย่างหนึ่ง อะไรก็ตามที่คุณแบกอยู่แล้วมันหนักก็วางลงซะ อะไรที่เบาก็รักษาไว้ แค่นี้มลภาวะของชีวิตก็จะหมดไป”
“การ UNLOCK คือการปล่อยวางอย่างหนึ่ง อะไรก็ตามที่คุณแบกอยู่แล้วมันหนักก็วางลงซะ อะไรที่เบาก็รักษาไว้”
มีภารกิจอะไรที่อยากทำให้สำเร็จในอนาคต ?
“ผมชอบออกกำลังกาย ผมอยากให้คนไทยมีสุขภาพดีขึ้น จากข้อมูลวิจัยบอกไว้ว่าประเทศไทยอยู่อันดับรองสุดท้ายในอาเซียนที่ประชากรมีสุขภาพดี ผมเลยมาคิดว่าจะแก้ยังไง แล้วก็พบว่าไม่ยาก ผมต้องสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยรักสุขภาพผ่านทางแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่มี ผมสร้างเทศกาลออกกำลังกาย สร้างคอนเท้นต์เกี่ยวกับการฟิตร่างกาย ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะช่วยให้คนไทยขึ้นไปอยู่ในท็อป 3 ของอาเซียนในเรื่องสุขภาพในปี ค.ศ. 2020 ไม่ก็เกินมาปี 2021 แค่เดือนเดียว”
การพูดคุยกับคุณวู้ดดี้ทำให้เราซึมซับพลังและได้รับแรงบันดาลใจมากมายเหลือเกิน เขาคือคนที่รู้จักปลดล็อกศักยภาพตัวเองออกมาและสร้างคุณค่าได้อย่างน่าทึ่ง รวมถึงมีความเป็น gentleman อย่างแท้จริงแม้เขาจะชัดเจนในแนวทางของตัวเองก็ตาม
“การเป็น gentleman ต้องให้เกียรติคนอื่นไม่ว่าจะเป็นเพศเดียวกันหรือเพศอื่น มึความนุ่มนวล อ่อนโยน ไม่ก้าวร้าว ใช้ใจ ไม่ได้มาจากหน้าตา แต่มาจากใจ ใคร ๆ ก็อยากอยู่ด้วย”
นับเป็นอีกหนึ่งวันที่ทีมงาน UNLOCKMEN ได้สัมผัสประสบการณ์เจ๋ง ๆ จากการพูดคุยกับคนที่เป็นแบบอย่างที่ดีในการปลดล็อกศักยภาพตัวเอง ซึ่งพลังมหาศาลที่เกิดขึ้นจากตัวคุณวู้ดดี้นั้น ทุกคนก็ทรงพลังแบบนี้ได้เช่นกันด้วยการพัฒนาทัศนคติ เรารู้ว่ามันไม่ง่าย แต่ถ้าทำได้ก็สามารถสร้าง energy ที่จะเปลี่ยนตัวเองและโลกใบนี้ได้แบบสบาย ๆ
แล้วทุกอย่างในชีวิตมันก็จะเบาลง…