

Guide
MUST BE THERE: เที่ยวอียิปต์ได้ด้วยเงิน 10,000 บาท
By: unlockmen June 2, 2015 7057
มีคนกล่าวไว้ว่า ปีหนึ่งลองไปในที่ไม่เคยไปสักหนึ่งครั้งเพื่อไปเปิดโลกของตัวเองให้กว้างขึ้นไปดูสิ่งใหม่ๆ แต่สำหรับหลายคนอาจจะมองว่าการเดินทางไปในสถานที่แปลกๆ ใหม่ อาจจะใช้เงินเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงเลือกที่จะเที่ยวในสถานที่ซ้ำๆ เดิมๆ โดยเฉพาะคนไทย จะเลือกที่จะไปอยู่ไม่กี่ที่เท่านั้น เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน ส่วนถ้าเพิ่มวันและเงินอีกนิดหน่อยก็จะไป ญี่ปุ่น หรือ เกาหลี
หากลองเปรียบเทียบดูแล้วการที่คนเราจะเดินทางไปในที่ใหม่ๆโดยใช้เงินเพียง 15,000 -20,000 บาท แล้วได้ไปในที่ใหม่ๆ ที่น้อยคนนักจะได้ไป ก็น่าสนใจที่จะลองสักครั้งในชีวิตที่จะ Must Be There
หากไม่นับราคาตั๋วเครื่องบิน ซึ่งประมาณ 30,000 บาทผมจะพาไปดูว่า 3 วัน 2 คืน นี้ ผมใช้เงินเพียง 10,000 บาทแต่ได้เที่ยว ถึงทวีปแอฟริกาใต้เลยที่เดียว ซึ่งที่นั่นก็คือสิ่งมหัศจรรณ์ 1 ใน 7 ของโลก ที่มหานครไคโร ประเทศอียิปต์ การเดินทางนั้นผมเลือกบินโดยอียิปต์แอร์ ใช้เวลาบิน 9 ชั่วโมง คือบินกลางคืนถึงเช้าที่อียิปต์เลย และเวลากลับก็กลับกลางคืน ถึงสายๆที่ไทยเลย และนี้คือการมาเที่ยวต่างทวีปด้วยเงินเพียง 10,000 บาท กับสิ่งที่แปลกใหม่และยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
ผมมาถึงกรุงไคโรในตอนเช้า โดยคนไทยนั้น สามารถทำวีซ่าง่ายๆ ที่ทางตรวจคนเข้าเมือง จากสนามบินเราก็มุ่งหน้าตรงไปยังสิ่งมหัศจรรณ์ 1 ใน 7 ของโลกหมู่มหาพีระมิดแห่งกิซ่าคือกลุ่มพีระมิดสามองค์ที่สร้างโดยฟาโรห์ 3 พระองค์ ซึ่งก็คือฟาโรห์คูฟู คาเฟรและเมนคาอูเร พีระมิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนี้เมื่อดูแล้วจะเห็นว่าองค์ตรงกลางของฟาโรห์คาเฟรที่เสมือนว่า “สวมหมวก” อยู่นั้นจะมีขนาดสูงที่สุด แต่แท้ที่จริงแล้วถ้านับแค่ความสูงที่แท้จริงแล้วนั้น พีระมิดองค์นี้มีความสูงน้อยกว่าพีระมิดของฟาโรห์คูฟูเสียอีก ด้วยว่าพีระมิดของฟาโรห์คูฟูนั้นมีความสูงราว 147 เมตร แต่ความสูงพีระมิดของฟาโรห์คาเฟรนั้นสูงเพียงแค่ 143 เมตร แต่ตั้งอยู่บนเนินที่สูงกว่าจึงดูเหมือนว่ามีความสูงมากกว่าตามไปด้วย
พีระมิดของฟาโรห์คูฟูใช้หินปูนมากมายกว่าสองล้านสามแสนก้อน ซึ่งบ้างก็สกัดจากเหมืองหินปูนท้องถิ่นคุณภาพหยาบใกล้ๆสถานที่สร้างพีระมิด บ้างก็นำมาจากเหมืองหินปูนคุณภาพดีที่ “ทูรา” ทางฝั่งตะวันออก และหินส่วนหนึ่งยังถูกชักลากมาจากเหมืองหินแกรนิตที่เมืองอัสวานทางตอนใต้อีกด้วย
นอกจากพีระมิดของฟาโรห์คูฟู คาเฟรและเมนคาอูเรแล้ว ยังมีสฟิงซ์ขนาดใหญ่ลำตัวยาวร่วม 73 เมตร สูง 20 เมตรนอนหมอบอยู่ด้านหน้าให้ไปถ่ายรูปกันด้วย สฟิงซ์ร่างนี้มีตำนานเรื่องเล่าที่น่าสนใจมากมาย เช่น ตำนานการบูรณะสฟิงซ์ของฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 4 และตำนานการหายไปของจมูกสฟิงซ์ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้รับฟังอย่างจุใจเมื่อเดินทางไปชมมหาสฟิงซ์องค์นี้ที่เมืองกิซ่า
เราสามารถใช้เวลาทั้งวันในการชม พีระมิด ได้เพราะพื้นที่ใหญ่มากๆ และสามารถเข้าชมภายในได้ เพราะหมดวันผมก็เข้าพักโรงแรมระดับใกล้ๆ มหาพีระมิด ซึ่งทั้งการท่องเที่ยวและอาหารถูกร่วมอยู่ในค่าเที่ยว 10,000 บาทเรียบร้อยแล้ว
วันที่สองนั้นเรามาดูพีระมิดแดง สร้างมาประมาณ 4,800 ปี เพื่อเป็นสุสานขององค์ฟาโรห์ ซึ่งในอียิปต์มีพีระมิดมากถึง 118 องค์ จะมีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ วันนี้เรามาดูพีระมิดแท้ที่สร้างเสร็จและสมบูรณ์อันแรกของโลก เรียกว่าพีระมิดแดง โดยใช้หินก้อนละสองตัน ประมาณมากกว่าล้านก้อน ซึ่งพูดได้ว่าอลังการมาก
แล้วเราก็เริ่มมุดพีระมิดกัน ตอนแรกตื่นเต้นมากเลยขอลงคนแรก ข้างในค่อนข้างมืดและไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ขนาดรูที่มุดก็พอดีตัว พอมุดลงไปได้หลายสิบเมตร จากตื่นเต้นก็เริ่มกลัว จะเปลี่ยนตัวก็ไม่ได้เพราะรูมันเล็ก ต้องฝืนไต่ลงไปต่อประมาณห้าสิบเมตรก็ถึงห้องโถงเล็กๆ และมีรูต่อเข้าไปอีกห้องโถง แต่ด้านในไม่มีอะไรนอกจากความมืด น่ากลัวมาก แต่เรายังไม่จบ ต้องมุดต่อไปดูที่ฝังพระศพฟาโรห์ พอไปถึงเป็นห้องเปล่า พร้อมความมืด กลิ่นค่อนข้างแรง แต่ตรงนี้มีพื้นที่กว้างเลยเปลี่ยนตัวหนีขึ้นมาเลย ขาหมดแรงมาก เพราะเกร็งอยู่ตลอดเวลา แต่ภายในพีระมิด พูดได้เลยว่าประณีตมากๆ
วันที่สามช่วงเช้าเราได้เดินทางไปดู พิพิธภัณฑ์อียิปต์กรุงไคโร นับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ของโลกที่เก่าแก่ที่สุด ที่มีชื่อเสียงเพราะความหลากหลายของซากปรักหักพังของวัตถุโบราณที่ได้ถูกค้นพบจากที่ต่างๆ มากมายในหลายสมัย ที่ได้ถูกส่งทยอยเข้ามาเก็บรักษาเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ทั้งมัมมี่ และสมบัติที่ประมาณค่าไม่ได้หลายแสนชิ้น แต่ที่นี้ไม่อนุญาตให้นำกล้องถ่ายรูปเข้าไปได้ จึงไม่สามารถถ่ายรูปมาได้
ช่วงบ่ายก่อนเดินทางไปขึ้นเครื่องบิน เราได้แวะซิตาเดลและสุเหร่ามูฮัมหมัดอาลี คำว่าซิตาเดลหมายถึง “ป้อมปราการ” ซึ่งในอดีตคือป้อมปราการสำคัญของไคโร กินอาณาบริเวณค่อนข้างกว้างและประกอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างมากมายหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือสุเหร่าของมูฮัมหมัด อาลี ปาชา ซึ่งตั้งอยู่ ณ จุดที่สูงที่สุดทางตอนใต้ของซิตาเดล ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่นิยมสูงสุด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ร่วมสมัยกับยุคของฟาโรห์ที่สร้างพีระมิดก็ตามที แต่ก็แสดงให้เห็นถึงศิลปกรรมของอียิปต์ในยุคหลังการปกครองของฟาโรห์ได้เป็นอย่างดี
ย้อนกลับไปเมื่อราวคริสต์ศตวรรษที่ 7 กองทัพมุสลิมชาวอาหรับเข้ายึดครองอียิปต์ได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นการปกครองในอียิปต์ก็เปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นชนวนให้เกิดสงครามครูเสดครั้งที่ 3 ในปี ค.ศ. 1189 ก่อนหน้านั้น ซาลาดินซึ่งเป็นสุลต่านแห่งอียิปต์ได้สั่งให้สร้างป้อมซิตาเดลขึ้นในปี ค.ศ. 1176 ว่ากันว่าเขาเลือกทำเลที่ตั้งด้วยการสั่งให้เอาเนื้อแขวนไว้ตามจุดต่างๆ ทั่วไคโรเพื่อหาตำแหน่งที่เนื้อเน่าช้าที่สุด อันจะเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมกับการเก็บเสบียงของกองทัพมากที่สุดไปด้วย กระนั้นก็เป็นไปได้ว่าเรื่องเล่านี้น่าจะเป็นเพียงแค่ตำนาน เพราะแท้จริงแล้วตำแหน่งนี้สามารถมองเห็นตัวเมืองไคโรได้โดยรอบ ยากต่อการถูกโจมตี จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมต่อสร้างป้อมปราการเป็นอย่างมาก
จุดเด่นแรกที่ต้องไปชมให้ได้คือจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นภาพกว้างของตัวเมืองไคโรได้เป็นอย่างดี สามารถมองเห็นกลุ่มพีระมิดแห่งกิซ่าได้ด้วยเช่นกัน ถ้าหมอกและควันไม่จัดจนเกินไป
สำหรับสุเหร่าของมูฮัมมัด อาลี ปาชานี้ถูกสร้างขึ้นภายหลัง ในช่วงปี ค.ศ. 1830 ถึง ค.ศ. 1848 ตามแบบสถาปัตยกรรมออตโตมัน เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมประดับโดมกลางขนาดใหญ่ ด้านในสุเหร่าปูด้วยพรมแดง ทางขวามือของทางเข้าคือสุสานของมูฮัมหมัด อาลี ปาชา ด้านบนเป็นเพดานโค้งประดับด้วยโคมไฟระย้าขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยโคมขนาดเล็กจำนวนมาก ความน่าสนใจอีกประการหนึ่งคือสุเหร่านี้มีธรรมาสน์ถึง 2 แท่น แท่นแรกเป็นของดั้งเดิมทำจากไม้เนื้อดีประดับลายทองงดงาม อีกแท่นหนึ่งมีขนาดเล็กกว่าและทำด้วยหินปูน ส่วนมิห์รับที่หันหน้าบอกทิศไปทางกรุงเมกกะนั้นสร้างด้วยหินอ่อน
จากนั้นก็ใช้เวลา ประมาณ 30 ที่เดินทางเพื่อไปขึ้นเครืองบิน บินกลับไทยด้วยประสบการ์ ที่ยากจะลืมเลือน แต่แลกมาด้วย เพียง 10,000 บาท หาก ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน
(สรุปค่าที่พัก 2 คืนประมาณ 5,000 บาท ค่ากินประมาณ 2,000 บาท และค่าเข้าที่ต่างๆประมาณ 3,000 บาท)
ติดตามการเดินทางสนุกๆได้ที่ MUST BE THERE