

Life
‘ประโยคสุดท้ายก่อนจากโลกนี้ไป’ 6 คนดังระดับโลกทิ้งข้อคิดอะไรไว้ให้เราบ้าง?
By: unlockmen April 20, 2017 58976
การได้ฟังเรื่องราวดี ๆ หรือบทเรียนใหญ่สักบทจากคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกถือเป็นแรงผลักดันในชีวิตที่ดี โดยเฉพาะคำพูดทรงพลังทั้งหลายที่แม้ไม่ได้มาแบบยาว ๆ แต่หลายครั้งก็ฉุดกระชากเราให้คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ยิ่งคำพูดสุดท้ายก่อนที่คนคนนั้นจะลาจากโลกใบนี้ไป กลายเป็นคำพูดที่หลอมรวมเอาสิ่งที่เขาเรียนรู้มาตลอดชีวิตไว้ในประโยคสั้น ๆ แน่นอนว่าประโยคนั้นไม่ได้แทนบทเรียนทั้งหมดที่คนคนหนึ่งเผชิญมาทั้งชีวิตได้ แต่ก็เป็นประโยคที่กระชับ จับใจ และถ้านำไปคิดอะไรต่อก็ได้อะไรตามมาอีกเยอะแน่นอน
ประโยคทรงพลังของคนมีชื่อเสียงทั่วโลก ที่ถือว่าเป็นประโยคท้าย ๆ ที่พวกเขาพูดก่อนตาย จะกระชากเราออกมาได้ขนาดไหน มาซึมซับประโยคพวกนั้นไปพร้อม ๆ กันเถอะ
Vincent Van Gogh จิตรกรชาวดัชต์ที่มีชื่อเสียง โดยเขาคือศิลปินสาย Post-Impressionist ที่ทรงอิทธิพลจนกลายเป็นต้นแบบให้กับศิลปะยุคต่อ ๆ มา Vincent Van Gogh เลือกจบชีวิตตัวเองลงในปี 1890 และประโยคทิ้งท้ายของเขาบนโลกใบนี้ก็คือ “ความโศกเศร้าจะคงอยู่ตลอดกาล”
สำหรับบางคนความเศร้าก็เป็นความเป็นจริงของชีวิตมากกว่าความสุขจริง ๆ นั่นแหละ แต่ถ้าเรานึกได้ว่าความเศร้าคือของคู่กาย เวลาเราต้องเผชิญหน้ากับมันเราอาจมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตมากขึ้น
Bob Marley หรือ Robert “Bob” Nesta Marley ที่เรามักชินภาพเขาในฐานะผู้ชายไว้เดร็ดล็อคส์ยาว มาพร้อมสีคู่กายอย่างสีเขียวเหลืองแดง ถ้าชื่นชอบดนตรีเร็กเก้ เขาคือนักร้องที่แวดวงเร็กเก้ต้องจดจำ
ราชาเพลงเร็กเก้อย่าง Bob Marley ไม่เพียงแต่ร้องและแต่งเพลงที่ตรึงใจผู้คน แต่เขายังใช้เพลงเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องสิทธิมนุษยชน และพูดถึงเรื่องความเท่าเทียมกันทางสังคมอีกด้วย นอกจากนั้น Bob Marley ได้รับรางวัล Peace Medal of the Third World จากองค์การสหประชาชาติส่วนประโยคทรงพลังสุดท้ายของเขาคือ
“เงินมันซื้อชีวิตไม่ได้หรอก”
เงินก็ซื้อได้แทบทุกอย่างแล้วจริง ๆ นั่นแหละ ตอนนี้ก็เหลือแค่ชีวิตเท่านั้นเอง เงินจึงเป็นทั้งเรื่องที่สำคัญแต่ก็ต้องบริหารจัดการให้ดีว่าสุดท้ายเรามีชีวิตอยู่เพื่อหาเงิน หรือใช้มันเป็นเครื่องมือหนึ่งในการเข้าถึงทรัพยากรของชีวิต แล้วทำสิ่งที่เรามีความสุขตามที่ใจเราต้องการ?
ถ้าจะพูดถึงนักคิด นักวิชาการ นักปรัชญาทางการเมืองที่สร้างองค์ความรู้ทางด้านเศรษฐกิจสังคมของโลกที่มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลมากที่สุดคงหนีชื่อของ Karl Marx ไม่พ้น
บิดาแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์แบบมาร์กซิสต์อย่าง Karl Marx ยังคงความขบถแหวกแนวไว้แม้แต่คำพูดทิ้งท้ายของเขาบนโลกใบนี้ “ประโยคทิ้งท้ายมันมีไว้สำหรับคนโง่ ๆ ที่ไม่เคยได้พูดไว้มากพอต่างหาก”
ไม่แปลกใจเลยว่าความคิดใหม่ ๆ ได้มาจากวิธีคิดวิธีพูดที่ไม่เหมือนใครนี่เอง เพราะบางครั้งการวิ่งตามคำพูดเด็ด ๆ ของคนดัง ๆ ก็อาจไม่ดีเท่าการเรียนรู้ชีวิตของพวกเขาและเริ่มเอามันมาใช้ในชีวิตจริง
เราอาจคุ้นภาพ Leonardo da Vinci ในฐานะศิลปินเอกของโลก เพราะผลงานของเขาล้วนมีชื่อเสียงจนน้อยคนนักจะไม่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นภาพ Mona Lisa สุดโด่งดัง ภาพ The Last Supper หรือ Vitruvian Man
แต่ Leonardo da Vinci ไม่ได้เป็นแค่ศิลปินเท่านั้น เขายังมีความรู้ความสามารถหลากหลายด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และชีววิทยา รวมถึงความสามารถทางด้านสถาปัตยกรรม วิศวกรรม ดนตรี ความอัจฉริยะของเขามีมากจนเราอาจไล่กันได้ไม่หมด แถมเขายังสร้างสิ่งประดิษฐ์อีกมากที่เป็นพื้นฐานของสิ่งสำคัญ ๆ ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้
ประโยคสุดท้ายของเขาคือ “ผมทำผิดต่อพระเจ้าและมวลมนุษยชาติ เพราะงานของผมมันยังไม่มีคุณภาพอย่างที่มันควรมีเลย”
เพราะความถ่อมตัวและคิดว่าตัวเองยังทำได้ดีไม่พอนี่เองสินะ ที่ทำให้เขาเรียนรู้และสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ออกมาตลอด ถ้าเรานึกได้แบบนี้ว่าเรายังมีงานที่ต้องทำให้ได้คุณภาพอีกมาก เราคงไม่รอช้าที่จะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
Wolfgang Amadeus Mozart หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า Mozart นักประพันธ์ดนตรีชื่อก้องโลกที่เริ่มแต่งเพลงซิมโฟนีครั้งแรกเมื่ออายุ 8 ขวบ และแต่งเพลงโอเปราเมื่ออายุ 11 ขวบ เขามีชีวิตตั้งแต่ปี 1756 ถึงปี 1791 แต่เพลงของเขาได้กลายเป็นเพลงคลาสสิคที่ยังมีคนฟังจนถึงทุกวันนี้
ประโยคทิ้งท้ายที่เขาพูดไว้ก่อนเสียชีวิตก็คือ “รสชาติแห่งความตายอยู่บนริมฝีปากของฉัน ฉันสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่าง บางอย่างที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้”
ประโยคทิ้งท้ายก็ดูเป็นบทกวีแฝงปรัชญาที่งดงามสมกับความเป็นคีตกวีจริง ๆ รสชาติแห่งความตายที่สักวันเราทุกคนคงได้สัมผัส แต่ก็อยู่ที่ว่าเราเลือกใช้ชีวิตเพื่อรอลิ้มรสชาติแห่งความตายในแบบไหน
Richard Feynman คือนักฟิสิกส์ชาวอเมริกันที่นับว่าทรงอิทธิพลที่สุดใน คริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเขาถูกจัดอันดับโดยนักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกให้เป็นนักฟิสิกส์ยอดเยี่ยมตลอดกาล และยังครอบครองรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ เมื่อปี ค.ศ. 1965 ร่วมกับนักฟิสิกส์อีก 2 คน และประโยคทิ้งท้ายของเขาก็คือ “ผมเกลียดที่จะต้องตายซ้ำสอง มันน่าเบื่อน่าดู”
เอ้า แน่ล่ะเราต่างต้องตายคนละครั้ง ถ้าเรารู้ว่าเราจะตายได้สองครั้ง เราอาจทำชีวิตพัง ๆ เสีย ๆ ไปหนึ่งชีวิต เพราะเชื่อว่าจะเล่นอย่างไรก็ได้ แต่เรามีชีวิตเดียว ดังนั้นก็ มา มาทำชีวิตให้เต็มที่แล้วตายครั้งเดียวกันให้คุ้มดีกว่า เพราะเราคงไม่มีโอกาสตายครั้งที่สองแล้วนี่เนอะ
ความตายเป็นอีกดินแดนพิศวงที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอเราอยู่กันแน่ แต่การเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด หรือใช้ชีวิตอย่างที่เราคิดว่ามันคุ้มค่าที่สุดแล้ว ต่อให้วันนั้นมาถึงก็คงไม่มีอะไรให้ต้องเสียดาย