

Guide
Explore Doha : เมืองทะเลทรายสุดล้ำ สร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่จนกลายเป็นศูนย์กลาง Middle East
By: Chaipohn January 9, 2017 49791
Doha คงไม่ได้เป็นเมืองที่อยู่ในใจของใครหลายๆ คน อาจเป็นเพราะภาพในหัวของเราต่อเมืองในทะเลทรายว่าอาจจะอากาศร้อน ไม่มีอะไรน่าสนใจ เลยทำให้เรามองข้าม เลือกที่จะไปประเทศอื่นแทน แต่หลังจาก UNLOCKMEN ตัดสินใจลองไปสัมผัสประสบการณ์ใน Doha เมืองหลวงของประเทศ Qatar ทำให้เรารู้เลยว่า ภาพที่เราเคยคิดเกี่ยวกับประเทศกลางทะเลทรายนั้น “เรามองผิดไป”
จริง ๆ แล้ว UNLOCKMEN ปกติเดินทางในหลายประเทศอยู่บ่อย ๆ อย่างล่าสุดที่เราเคยไป Dubai มาเมื่อกลางปีที่แล้ว ก็ประทับใจในอะไรหลาย ๆ อย่างตั้งแต่สนามบิน Dubai แต่ก็ยังไม่ตกใจเท่ากับสนามบินใหม่ Hamad International Airport (HIA) ของ Doha ที่เพิ่งเปิดในปี 2015 เพราะที่นี่มีความคึกคักและเพียบพร้อมยิ่งกว่า จะพูดว่าใหญ่กว่าห้างสรรพสินค้าก็ไม่ผิด สินค้า Duty Free, ร้านค้า ร้านอาหารทุกสัญชาติ และสารพัดห้องสำหรับใช้งานหรือพักผ่อนก็มีให้เลือกใช้เพียบ การออกแบบก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมแม้ในรายละเอียดเล็กน้อย ไม่แปลกใจเลยที่คนชอบบอกว่าสนามบินของ Doha เป็นสนามบินที่ Stopover ได้เพลิดเพลินในอันดับต้น ๆ และต้องห้ามพลาด Landmark เด่นของสนามบิน “Yellow Giant Teddy Bear”
ที่จริงแล้ว เจ้า Yellow Giant Teddy Bear สูง 7 เมตร น้ำหนักเกือบสองหมื่นกิโลกรัมตัวนี้ มีประวัติที่น่าสนใจอยู่ มันเป็นผลงานอาร์ตของศิลปินระดับโลก Urs Fischer ที่เคยถูกตั้งไว้หน้าตึก Seagram Building บนย่าน New York’s Park Avenue ก่อนจะย้ายมาที่ Qatar จากการประมูลมาด้วยราคาสูงถึง $6.8 ล้านเหรียญ (ประมาณ 240 ล้านบาท) ไม่ใช่แค่ตุ๊กตาธรรมดา ๆ อย่างที่หลายคนอาจจะเคยเข้าใจ
แต่จุดที่พีคสุดของสนามบิน HIA คือส่วน Lounge สำหรับผู้โดยสารที่นั่ง Business Class และ First Class ซึ่งนับเป็น Lounge ที่โหญ่โตมโหฬารสุด ๆ เท่าที่เราเคยสัมผัสมา และที่เท่มากคือ เราสามารถผ่าน immigration ได้จากใน lounge นี้แบบไม่ต้องเข้าแถวแย่งกับใครเลย !!! แถมด้านในยังมีอะไรเว่อร์ ๆ อาทิเช่น สระว่ายน้ำขนาด 25 เมตร, Salon ทำผม หรือแม้แต่ Spa แบบจริงจัง ไม่ใช่แค่ Spa สองที่นั่งแบบดอนเมือง
พอได้ออกมาจากสนามบิน เราก็เริ่มแปลกใจมากขึ้น จากภาพทะเลทรายที่เคยวาดเอาไว้ในหัว กลายเป็นภาพเมืองร่มรื่นที่อยู่ร่วมกับความเจริญได้อย่างลงตัว บ้านเมืองที่สะอาดมากถึงขนาดสู้กับประเทศญี่ปุ่นได้สบาย สมกับที่เป็นเมืองหลวงที่มีการพัฒนาเร็วที่สุดของ Qatar, ของ Middle East, รวมถึงของโลกเลยก็ว่าได้ เพราะ Doha ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น World City โดย Globalization and World Cities Research Network ว่ากันว่าจำนวนประชากรครึ่งนึงของประเทศ ก็อยู่ในเมืองหลวง Doha นี่แหละ
หลายคนอาจจะพอรู้บ้างว่า Qatar เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจดีถึงดีมาก เรียกว่ารวยกันสุด ๆ แต่อาจจะไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ทำไมถึงรวยเอารวยเอา เราจะมาเล่าใหัฟังคร่าว ๆ ต้นกำเนิดความมั่งคั่งมาจากการค้าน้ำมันที่เริ่มตั้งแต่ช่วง 1951 ในยุคนั้น Qatar ภายใต้การปกครองของอังกฤษ และตระกูล Al-Thani เคยผลิตน้ำมันสูงถึงวันละ 233,000 barrels ต่อวัน เมื่อเงินไหลเข้ามากกว่าที่คิดเอาไว้ การพัฒนาประเทศก็เริ่มต้นขึ้น โรงเรียน โรงพยาบาล ระบบการสื่อสาร ทุกอย่างล้วนมีจุดเริ่มต้นในยุค 50s แบบก้าวกระโดด และเศรษฐกิจพัฒนาถึงขีดสุดในช่วงยุค 90s ภายใต้การบริหารของ Sheikh Hamad bin Khalifa Al-Thani ที่เริ่มหันมาผลิตและส่งออก Natural Gas ซึ่งเป็นอีกขุมทรัพย์ขนาดใหญ่ในประเทศอีก ผลคือ GDP ของ Qatar พุ่งกระฉูดไปหลายเท่าตัว เมื่อรายได้เยอะขึ้นเรื่อย ๆ ก็เริ่มมีการนำเงินไปลงทุนอีกต่อผ่านการซื้อธุรกิจต่างประเทศ เช่น Volkswagen Group, Paris Saint-Germain F.C. เรียกว่าเป็นอาณาจักรที่อุดมสมบูรณ์เหมือนถูกหวยก็ว่าได้
เมื่อประเทศรวย ประชาชนก็สบาย จากการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ ทำให้เราเพิ่งรู้ว่าชาว Qatari มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวมากที่สุดของโลก แถมยังไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าภาษี รวมถึง ค่าพื้นที่สำหรับสร้างบ้าน!!! งงไปเลย ประเทศอะไรโคตรรวย โจรก็แทบจะไม่มี ปลอดภัยสุด ๆ เพราะฉะนั้นการสร้างเมือง สร้างตึกสูงระฟ้ามากมายขนาดนี้จึงเป็นเรื่องเล็ก ๆ
นอกจากด้านการลงทุน Qatar ยังมีนโยบายมากมายที่จะดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยี่ยมเยียนในฐานะประเทศแห่งการท่องเที่ยว โดยเฉพาะเมือง Doha คำถามคือประเทศที่เด่นด้านน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ จะทำยังไง?? เนื่องจาก Doha ไม่ได้เป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวโบราณ หรือธรรมชาติอันสวยงามเหมือนบ้านเรา รัฐบาลเลยทำสิ่งที่ง่ายที่สุดคือการไม่รอโชคชะตา “สร้างมันขึ้นมา” สร้างทุกสิ่งอย่างที่มนุษย์จะสร้างได้ ไม่ว่าจะเป็นตลาดที่ดังที่สุด คือ SOUQ waqif ก็เอาตลาดเก่ามา renovate ใหม่ (นึกภาพเอาตลาดนัดจตุจักรมารวมกับสยามแสควร์) มีทั้งความดั้งเดิมและความฮิปอยู่ในตัว
Islamic Art Museum
The Pearl
หรือ Islamic Art Museum ที่เพิ่งถูกสร้างมาเพียงไม่กี่ปีก็เป็นสถานที่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมาย เนื่องความสวยงามของสถาปัตยกรรมและวิวที่สุดยอด (สามารถเห็นวิวฝั่งมหานครตึกระฟ้าได้ทั้งหมด) หรือว่าจะเป็น The Pearl ที่ถูกสร้างมาให้กับมหาเศรษฐีระดับโลก เป็นเกาะใหม่ คล้ายๆ กับ Palm Islands ในดูไบ ที่ประกอบด้วย โรงแรม 5 ดาว, บ้านพักตากอากาศ, ร้านค้าหรู ที่เรียงหน้ากันมาเรียกเงินจากเหล่ามหาเศรษฐีจากทั่วโลก (เช่น Ferrari, Rolls Royce, Richard Mille, etc…)
นอกจากนั้นแล้วทะเลทรายก็ยังเป็นอีกที่ ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะมาสัมผัสประสบการณ์ Desert Safari คือการท่องเที่ยวทะเลทรายบนรถ Off-Road คันใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่การนั่งรถดูวิวทิวทัศน์แน่นอน แต่เป็นการโต้คลื่นเนินทรายเล็กใหญ่ด้วยรถยนต์ Off-Road สุดมันส์ อาจจะดูเหมือนค่อนข้างอันตรายจากพลิกคว่ำ แต่หายห่วงได้เลยเพราะคนขับรถ Desert Safari ทุกคนจะต้องมีการทดสอบเสมอ ทุกคนจึงต้องมีเทคนิคการขับขี่ที่ดีมาก ลองคิดดูว่าเค้าขับกันทุกวัน เรียกว่ารู้ไลน์รู้เนินกันเป็นอย่างดี แต่ถ้ามา Doha แล้วทั้งที แนะนำเลยว่าต้องมาตะลุยทะเลทรายให้ได้สักครั้ง ไม่งั้นน่าเสียดายแย่เลย
Shakespeare and Co
Spice Market
ไม่มีมื้อไหนที่ไม่อิ่ม ของกินใน Qatar หาง่ายมาก และมีให้เลือกหลากหลายทั้งแบบ Local food สุด ๆ ที่ถ้าจะทานให้ได้อารมณ์ ต้องไปทานในเต็นท์บนพื้นที่ที่เรียกว่า Katara ซึ่งเราจะได้ประสบการณ์การทานข้าวแบบพื้นเมือง ส่วนอาหารนั้นก็อร่อยไม่แพ้บรรยากาศ โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบแกะเป็นพิเศษ จะต้องมีความสุขอย่างมาก เพราะทั้งหอมและรสชาตินุ่มนวลมาก หรือถ้าชอบร้านบรรยากาศดี ๆ ตกแต่งสวยงาม ก็มีหลายร้านที่เราแนะนำให้แวะไปให้ได้ อย่างเช่น Shakespeare and Co, Spice Market, Hakkasan Doha ที่มีดีทั้งบรรยากาศ และอาหารรสชาติเยี่ยม รวมถึงความหลายหลายของเมนูสำหรับคนที่อาจจะเบื่อเนื้อแกะ รับรองว่ามันจะดีจนคุณต้องติดใจเหมือนเราแน่นอน
อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าหลายคนคงเคยไป Qatar เพื่อ transit หรือ connect flight และใช้เวลาที่เหลือเดินเล่นอยู่ในสนามบิน HIA เพราะที่นั่นก็มีอะไรให้ทำมากเกินพออยู่แล้ว แต่เราบอกได้เลยว่าคุณคิดผิด! ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว เราอยากแนะนำให้ออกมาเสพประสบการณ์ในเมือง Doha จะดีกว่า แถมช่วงนี้นับเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่สนใจจะบินกับไป Qatar หรือแม้แต่แวะ Qatar เพราะสายการบิน Qatar Airways กำลังมีโปรโมชั่นแรง ลดค่าตั๋วโดยสารสูงสุด 50% ไปยังเส้นทางมากกว่า 150 เส้นทางทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ยุโรป อเมริกา แอฟริกา และ ตะวันออกกลาง ตั้งแต่วันที่ 9 – 16 มกราคม ใช้บินได้ถึง 15 ธันวาคม 2017 เลยทีเดียว และใครที่ต้องรอ Transit ที่สนามบิน HIA นานกว่า 5 ชั่วโมงขึ้นไป สามารถขอ Transit Visa ล่วงหน้าผ่านทางเว็บ www.qatarairways.com ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อออกไปท่องเที่ยวใน Doha ได้ไม่เกิน 96 ชั่วโมง
ไม่ว่าจะมุ่งหน้าตรงไป Doha หรือจะวางแผนแวะ transit เที่ยวเล่นสัก 4 วันที่นี่ ก็น่าจะทำให้ทริปของคุณเติมเต็มประสบการณ์สนุกได้มากกว่าเดิม เพราะเมือง Doha ถือเป็นเมืองที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ซึ่งถ้ามันสามารถดึงดูดคนจากหลากหลายเชื้อชาติให้ถึงขนาดอยากไปตั้งรกรากกันที่นั่น แสดงว่ามันต้องมีประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ซึ่งเราอยากแนะนำให้ลองหาเวลาว่างไปสัมผัสด้วยตัวคุณเอง น่าจะเข้าใจเสน่ห์นั้นได้อย่างแน่นอนครับ