

Life
“THE BURT MUNRO STORY” ตำนานลูกผู้ชายฉายา “The God of Speed”
By: unlockmen December 26, 2016 49722
เรื่องราวในอดีตหลายเหตุการณ์ได้กลายเป็นตำนาน ถึงแม้ว่าจะผ่านล่วงเลยวันเวลามาขนาดไหนก็ตาม เรื่องราวสุดพิเศษนี้ก็ยังคงถูกเล่าขานต่อมาไม่เคยเลือนหายไป เช่นเดียวกับผู้ชายคนนึงที่มีชีวะประวัติน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เค้าคือคนที่ยิ่งใหญ่ด้วยความพยายาม ความตั้งใจ และความหลงใหลอย่างแท้จริง คุณเชื่อหรือไม่ว่า สิ่งที่เค้าทำเอาไว้ตั้งแต่ปี 1962 มาจนกระทั่งวันนี้ ยังไม่เคยมีใครเทียบได้ และยังคงไม่มีใครลืมในสิ่งที่เค้าทำเอาไว้ สำหรับชายที่ชื่อว่า Burt Munro แม้ว่าจะได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่เรื่องราว และความหญิ่งใหญ่ของเค้า ยังคงถูกบันทึกไว้เป็นสถิติไปตลอดกาล เชิญพบกับเรื่องราวของผู้ชาย ที่จะทำให้พวกเราเข้าใจกับประโยคที่ว่า “ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ ตราบใดที่เรายังคงมีความเชื่อ ความมุ่งมั่นจริงจัง และความพยายาม” กันได้เลย
ถ้าหากคุณเป็นคนที่อยู่ในแวดวง 2 ล้อ คุณอาจจะเคยได้ยินชื่อของชายผู้นี้มาบ้าง Burt Munro ผู้ชายที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเจ้าของฉายาว่า “The God of Speed” หรือ “เทพเจ้าแห่งความเร็ว” ตัวจริงเสียงจริง มันไม่ใช่เรื่องเล่าในการ์ตูน มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกแต่งขึ้นให้ฟังดูเจ๋ง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาได้นั้น นาย Burt Munro ได้พยายามทำมันอย่างเต็มที่
Herbert James Munro เกิดที่เมือง Invercargil ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของประเทศ New Zealand ในปี 1899 Burt ถือว่าเป็นเด็กชายที่ชื่นชอบในเรื่องของความเป็นพิเศษ โดยเฉพาะความเร็วที่มากับรถ 2 ล้อ สำหรับเค้าแล้ว ความสนใจในรถจักรยานยนต์นั้น เรียกได้ว่าเจริญเติบโตขึ้นไปพร้อมๆ กับตัวเค้าเองเลยทีเดียว
เพราะนอกจากการขี่รถแล้ว Burt ยังทำการศึกษาในเรื่องของกลไกการทำงานของเครื่องยนต์ รวมไปถึงดัดแปลง ชิ้นส่วนอะไหล่ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรถได้อีกด้วย Burt Munro เคยพูดถึงเรื่องราวที่มาของความชอบนี้เอาไว้ว่า “พ่อของผมเป็นเจ้าของฟาร์ม ฟังดูแล้วอาจจะสงสัยว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการตกหลุมรักในความเร็วของผม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเร็วที่ผมหลงรักเป็นครั้งแรกนั้น มันเกิดขึ้นจากการขี่ม้าในฟาร์ม และนั่นถือเป็นรักแรก ระหว่างผมกับความเร็ว”
หลังจากที่ Burt Munro เติบโตขึ้นภายในฟาร์มจนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว เค้าก็ตัดสินใจที่จะออกไปเปิดโลก โดยได้ไปสมัครงานเป็นพนักงานขายรถจักรยานยนต์ และเป็นช่างซ่อมบำรุง เค้าทุ่มเทความชอบทั้งหมดที่มีต่อรถจักรยานยนต์ลงไปในการทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่ง รวมไปถึงลงแข่งด้วยตัวเอง และนั่นจึงส่งผลให้ ชื่อของ Burt Munro ที่ทำงานอยู่ในอู่ เล็กๆ กลับโด่งดังในฐานะช่างมืออาชีพในระดับแนวหน้าของประเทศ New Zealand เลยทีเดียว
เค้าทำแบบนั้นทุกวันเรื่อยมาจนเมื่อมีอายุย่างเข้า 40 ปี Burt Munro ตัดสินใจลาออกจากงานประจำพร้อมทั้งได้นำเอาเงินเก็บที่สะสมมา จัดการดัดแปลงเปลี่ยนบ้านตัวเองให้กลายเป็นอู่สำหรับซ่อม และปรับแต่งรถจักรยานยนต์ ในตอนนั้นเองที่เค้ามีความคิดที่อยากจะสร้างผลงานอะไรที่เป็นสถิติโลกสักอย่างนึง ซึ่งหลายคนมองว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ เนื่องจาก Burt ในเวลานั้นก็มีอายุมากแล้ว จะให้สร้างรถ หรือขี่รถทำลายสถิติโลกก็คงจะไม่ไหว เพราะรถจักรยานยนต์ของเค้าเอง ซึ่งเป็นรถยี่ห้อ Indian รุ่น Scout สร้างขึ้นในปี 1920 ก็มีความเก่าแก่ไม่แพ้เจ้าของ อีกทั้งตัวรถที่ใช้ขี่ก็สามารถทำความเร็วสูงสุดได้เพียงแค่ 55 ไมล์ ต่อชั่วโมงเท่านั้น
แต่สำหรับ Burt Munro แล้ว เสียงของคนรอบข้างไม่เคยทำให้ความฝันที่จะเป็นคนที่ขี่จักรยานยนต์เร็วที่เร็วสุดในโลก สั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย เค้าจึงเริ่มคิดว่า หากต้องการจะทำสถิติโลกให้ได้ต้องทำอย่างไรบ้าง ทันทีที่แผนการถูกวางไว้ Burt พยายามปรับแต่งรถของเค้าให้ทะลุขีดจำกัดที่มีอยู่ที่ 55 ไมล์ ต่อชั่วโมงให้สำเร็จก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเริ่มที่จะผลิตอะไหล่ทุกชิ้นขึ้นใหม่ด้วยตัวเองทุกชิ้นส่วน ไม่ว่าจะเป็นการหล่อลูกสูบขึ้นมาใหม่ รวมไปถึงชิ้นส่วนสำคัญๆ ต่างๆ อีกด้วย
เมื่อ Burt มั่นใจว่ารถเค้าแรงได้สุดๆ แล้ว ปัญหาอีกอย่างก็ตามมา เมื่อสถานที่ที่ Burt Munro ฝันว่าจะต้องไปสร้างสถิติให้ได้สักครั้งนึงนั้น ไม่ได้อยู่ที่ New Zealand แต่มันตั้งอยู่ที่รัฐ Utah ประเทศสหรัฐอเมริกา นั่นก็คือ “Bonneville Speed Week” ที่นั่นเป็นสถานที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และเป็นสถานที่ที่มีความกว้างขนาด 40 ตารางกิโลเมตร เปรียบเสมือสังเวียนของคนที่ต้องการพิสูจน์ตัวเองว่า คนคนนั้นจะสามารถกลายเป็นคนที่เร็วที่สุดในโลกได้หรือไม่
แต่สมัยก่อนนั้น การเดินทางไปนั้นไม่ง่ายอย่างในสมัยนี้ Burt จึงต้องนำรถขึ้นเรือจาก New Zealand ไปลงที่ LA จากนั้น ต้องขับรถพร้อมทั้งลากรถจักรยานยนต์ของเค้าต่อไปที่ Utah ด้วยตัวเองเพียงลำพัง ระหว่างนั้นเค้าต้องเจอกับอุปสรรคมากมายนับไม่ถ้วน จนแทบที่จะล้มเลิกความตั้งใจไป แต่สุดท้ายเค้าก็กัดฟันจนไปถึง แม้ว่าแทบจะไม่เหลือเงินติดตัวแล้วก็ตาม
แต่นั่นยังไม่ทำให้ Burt ต้องเสียใจเท่ากับสิ่งที่เค้าต้องเจอเมื่อไปถึง เพราะเมื่อเค้าได้นำเอารถเข้าตรวจสภาพก่อนเข้าการแข่งขัน ผลปรากฏว่า รถของเค้า และตัวเค้าเองนั้นแก่ และเก่าเกินไป จนกลุ่มผู้จัดการแข่งขันเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ซึ่งไม่สามารถจะปล่อยให้รถเค้าลงวิ่งได้ Burt พยายามทุกวิถีทาง และขอร้องว่า ขอให้รถเค้าได้วิ่งสักครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอันตรายกับชีวิตเค้าก็ตาม เพราะเค้าต้องการที่จะทำมันจริงๆ และแม้ว่ามันอาจจะอันตรายถึงชีวิตเค้าก็ยอมที่จะเสี่ยงทำมันอย่างเต็มใจ
เมื่อทุกคนที่เข้าร่วมงาน รวมไปถึงนักแข่ง และผู้จัดได้เห็นถึงความตั้งใจ ของ Bert ที่เดินทางมาไกลจากอีกฝั่งของโลก จึงอนุญาตให้เค้าลงทำการวัดความเร็วสูงสุดอย่างที่เค้าตั้งใจไว้ตอนแรก อีกทั้งยังได้รวบรวมเงินกันให้กับ Bert เป็นของรางวัลอีกด้วย
เดิมทีทุกคนคิดว่ารถจักรยานยนต์ Indian Scout นั้น ยังไงก็วิ่งได้ไม่เกิน 55 ไมล์อยู่แล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายในเรื่องทำสถิตความเร็ว เพียงแต่ช่วยกันลุ้นในเรื่องของความปลอดภัยกันซะมากกว่า แต่ Burt Munro ก็ทำให้ทุกคนถึงขั้นต้องอ้าปากค้าง หลังจากที่เค้าออกตัวไปชนิดที่จรวดเรียกพี่ อีกทั้งยังควบ Indian Scout คันเก่าๆ ทำลายสถิติสูงสุดด้วยความเร็ว 183.3 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 295 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้เค้ากลายเป็นคนที่ขี่รถจักรยานยนต์ที่มีขนาดความจุไม่เกิน 1,000 cc และเป็นรถจักรยานยนต์ Indian คันแรก และคันเดียวที่ไปถึงระดับความเร็วนั้นได้ อย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน สถิติจึงถูกบันทึกไว้ในปี 1962 เป็นต้นมา
หลังจากนั้น Burt Munro ยังคงเดินทางไป “Bonneville Speed Week” อีก 2 ครั้ง ซึ่งก็สามารถทำลายสถิติเดิมที่ทำไว้ได้ตลอด จนครั้งสุดท้าย เค้าสามารถวิ่งได้ในความเร็วสูงสุดถึง 305 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงเลยทีเดียว ในปี 1967 Burt Munro ถูกยกย่องให้กลายเป็นเทพเจ้าแห่งความเร็วตลอดกาล เพราะยังไม่เคยมีใครคนไหนที่ขี่รถจักรยานยนต์ที่มี CC ขนาดนี้ทำได้อย่างเค้ามาก่อน
และนี่คือผู้ชายที่พวกเราทุกคนควรเอาเยี่ยงอย่าง ไม่ใช่ในเรื่องของการขี่รถจักรยานยนต์เร็วเป็นจรวดท้าความตาย แต่เราต้องมีความคิดให้ได้อย่างเค้า ผู้ซึ่งไม่เคยมองว่าความฝันของตัวเองเป็นเพียงเรื่องไร้สาระอย่างที่ใครๆ คอยพูดใส่หน้าตลอดเวลา และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ เมื่อคุณตั้งใจทำอะไรสักอย่างแล้ว คุณใส่ใจกับมันแค่ไหน รู้จักมันจริงมากแค่ไหน และทำมันให้เต็มที่ที่สุดแล้วหรือยังต่างหาก นั่นคือข้อคิดที่ได้จากผู้ชายคนนี้ Burt Munro