

Entertainment
ของเก่าก็ส่วนของเก่า! 5 เหตุผลที่หนัง 7 สิงห์แดนเสือ “The Magnificent Seven” (2016) ก็ปังไม่แพ้เวอร์ชั่นไหนๆ
By: unlockmen October 11, 2016 44356
สำหรับคนที่มีภาพติดตาตั้งแต่เวอร์ชั่น Seven Samurai หรือ 1960 Seven แนะนำว่าให้ลืมภาพเวอร์ชั่นเดิมออกไปให้หมดก่อน การหยิบหนังเรื่องนี้มาทำใหม่ จะต้องแบกรับความกดดันมากมาย เพราะแต่ละเวอร์ชั่นทำได้ดีในแบบฉบับของตัวเอง แต่ในเมื่อยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ว่าจะด้านเทคโนโลยีภาพถ่ายหรือเอฟเฟค เราก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าลุ้นให้กับคนดูเหมือนกัน ว่าจะสร้างความแตกต่างและปังได้ขนาดไหน
หลังจากที่เราได้มีโอกาสไปลองดูหนังเรื่องนี้มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ขอยกจุดปังๆ แบบที่ไม่สปอย มาให้ดูกันว่ามีอะไรบ้างที่สร้างความน่าพอใจไม่แพ้เวอร์ชั่นเก่าๆ
1. ภาพและมุมกล้องเข้าขั้นเกินหนังคาวบอย
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกล้องที่ดีขึ้นและเทคโนโลยีที่ใหม่ขึ้นหรือเปล่า แต่ก็ต้องขอยอมรับว่าเวอร์ชั่นนี้ทำได้ดีพอสมควร ในเรื่องของมุมกล้อง ฉากที่ดูสวยสมจริงและสบายตามากขึ้น มีการตัดสลับภาพเล่าเรื่องได้ดี ซึ่งก็ไม่ได้สร้างความแปลกใจสักเท่าไหร่ เมื่อเวอร์ชั่นนี้ได้ผู้กำกับภาพชื่อดังอย่าง Mauro Fiore เป็น Cinematography ที่การันตีคุณภาพด้วยรางวัลออสการ์ในมือ
2. เรื่องใหม่แต่ใช้ชื่อเดิม
สลัดรูปแบบหนังคาวบอยสไตล์ตะวันตกแบบเก่าๆ ที่มีวิธีการเล่าเรื่องแบบเชยๆ ออกไปได้ซะที หรือแม้แต่คนที่คิดว่าเนื้อเรื่องหนังคงคล้ายแบบเวอร์ชั่นเก่าๆ จะบอกว่าคุณคิดผิด! เพราะว่าเรื่องราวเวอร์ชั่นนี้แทบจะไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเวอร์ชั่นเก่าๆ เลยด้วยซ้ำ ยกมาแต่ชื่อเรื่องก็ว่าได้ มีการใส่มุกกวนๆ ภายในเรื่องและเชื่อมต่อกับเนื้อหาได้ดี ไม่ได้มีความมึนงง และทุกบทก็มีความเข้าใจง่าย ความยาวของเรื่องใช้เวลา 2 ชั่วโมง 13 นาที ก็ถือว่าพอดีไม่นานไม่เร็วเกินไป
3. ยิงสนั่น บู๊กระจาย มาครบทุกรูปแบบ
เพียงแค่ทีเซอร์ที่ปล่อยออกมาก็จัดหนักจัดเต็มกับเอฟเฟคกระแทกหู เราไม่ได้พูดแบบเวอร์ๆ แนะนำให้ดูแค่ทีเซอร์ก็เพียงพอ และที่เราไปดูมา ไม่ใช่แบบอลังการงานสร้าง เสียงระดับ IMAX แต่อย่างใด เป็นแค่โรงปกติธรรมดา แต่ก็ให้เอฟเฟคแนบแน่น สร้างความลุ้นให้กับเราตลอดเวลา และเข้าถึงอารมณ์ได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะปืนคู่ ปีนไรเฟิล ระเบิด มีด ปืน ถือว่าเป็นหนังบู๊ที่ไม่ได้เวอร์ ไม่ได้ใช้อุปกรณ์ล้ำ แต่ก็สนุก เข้าถึงอารมณ์ได้แบบไม่น่าเบื่อ
4. นักแสดง (แม่เหล็ก) แต่บทเท่าเทียม
สำหรับเรื่องนี้ถึงแม้จะได้แม่เหล็กที่ดึงดูดอย่าง Chris Pratt ( พระเอกจาก Guardian Of The Galaxy ) มาล่อตา จนทำให้เราสนใจหนังเรื่องนี้ก็ตาม ทำให้ก็อดคิดไม่ได้ว่าแล้วคนอื่นจะเป็นแค่ตัวประกอบหรือเปล่านะ แต่หลังจากที่เราได้ดูแล้ว ก็ต้องบอกไว้เลยว่าเรื่องนี้ เด่นทุกคน ทุกบท รักใครชอบใครในเรื่อง เราก็ขอแนะนำเลยว่าควรจะไปดู ส่วนความแตกต่างของนักแสดงที่รับบทบาทในแต่ละเวอร์ชั่น อย่าเรียกว่าแตกต่างเลย เรียกว่าไม่เหมือนกันเลยจะดีกว่า
1960 Seven Vs 2016 Seven
Character: Chris Adams/Sam Chisolm
Actor: Yul Brynner/Denzel Washington
Character: Vin/Josh Farraday
Actor: Steve McQueen/Chris Pratt
Character: Chico/Vasquez
Actor: Horst Buchholz/Manuel Garcia-Rulfo
Character: Lee/”Goodnight” Robicheaux
Actor: Robert Vaughn/Ethan Hawke
Character: Britt/Billy Rocks
Actor: James Coburn/Lee Byung-hun
Character: Bernardo O’Reilly/Jack Horne
Actor: Charles Bronson/Vincent D’Onofrio
Character: Harry Luck/Red Harvest
Actor: Brad Dexter/Martin Sensmeier
Character: Calvera/Bartholomew Bogue
Actor: Eli Wallach/Peter Sarsgaard
5. ผูกความรู้สึกไปโดยไม่รู้ตัว
สำหรับคนที่คิดว่าจะมีแต่บู๊ล้างผลาญ ฆ่าเลือดสาด มีภาพคาวบอยเดิมๆ อยู่ในหัว ที่ต้องเอาปืนคาดเอว เดินหันหลังและหันมายิงกัน เรื่องนี้ก็ไม่ผิดสักทีเดียว แต่มันกลับมีอะไรที่มากกว่านั้นแฝงเข้ามาด้วย เนื้อเรื่องอาจไม่ได้พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละครแบบชัดเจน แต่ก็สามารถผูกกันได้อย่างลงตัว และเข้าถึงในความรู้สึก แฝงไปด้วยดราม่าเล็กๆ เป็นตัวชักจูงเรื่อง ให้อินไปพร้อมๆ กัน และมีเรื่องของศาสนาและการเยียดสีผิวเข้ามาเกี่ยวข้องนิดๆ
สำหรับใครที่ยังลังเลว่าเรื่องนี้ควรจะดูหรือเปล่า มันจะดีหรือแย่กว่าเวอร์ชั่นเก่าไหม เราก็ฟันธงไม่ได้เต็มที่ เพราะทุกคนควรจะต้องไปพิสูจน์ความรู้สึกด้วยตัวเองจะดีกว่า ที่เราพูดมาทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของเราเท่านั้น สำหรับพี่ๆ น้องๆ ชาว UNLOCKMEN ที่ได้ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ก็อย่าลืมมาแบ่งปันความคิดกันนะครับ