

Life
Pharrell Williams อัจฉริยะที่ต้องใช้ความอดทนและพยายามร่วม 10 ปี
By: unlockmen July 26, 2016 38620
เรื่องของการที่คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิต อายุไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นในด้าน Art , Music, Film เพียงแต่คุณต้องไม่ย่อท้อ มุ่งมั่นทำงานหนักต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เช่นเดียวกับ Pharrell Williams ชายผู้ผ่านร้อนผ่านหนาว ล้มลุกคลุกคลานมาแบบนับไม่ถ้วน จนปัจจุบันได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการเพลงและแฟชั่นของโลก
Pharrell Williams ปัจจุบันอายุ 43 ปี หลายคนจดจำเขาได้ในฐานะศิลปิน นักร้อง โปรดิวเซอร์ และ ดีไซเนอร์ แต่ไม่ใช่ว่าจะอยู่เฉยๆ แล้วประสบความสำเร็จได้เหมือนในหนังละคร Pharrell เริ่มเล่นดนตรีตั้งจำความได้ ก่อนที่เขาจะได้พบกับ Chad Hugo ตอนเกรด 7 (มัธยม 1) ผู้ที่มีส่วนสำคัญในเส้นทางนักดนตรีของเขา ทั้งคู่ร่วมเล่นดนตรีด้วยกันจนอายุได้ 17 ปี ก่อนจะมาตั้งกลุ่ม The Neptunes ทำเพลงสไตล์ R&B และมีสมาชิกเพิ่มคือ Shay Haley และ Mike Etheridge จนได้เซ็นสัญญากับ Teddy Riley ในที่สุด แต่ยังไม่ได้ออกอัลบั้มในช่วงนี้แต่อย่างใด
Pharrell Williams, Chad Hugo
ระหว่างที่ทำงานกับ Riley ตัว Pharrell ก็ไม่เคยทำตัวเรื่อยเปื่อย แต่คอยพัฒนาความสามารถของตัวเองอยู่เสมอ โดยการเขียนเพลง และช่วยโปรดิวซ์ให้กับ Wreckx-N-Effect และยังไปร่วม Rap Solo ให้กับวง SWV จนทำให้ทั้งคู่ไปเจอกับศิลปินดูโอ้ Clipse และได้ชักชวน Pharrell Williams และ Chad Hugo ไปเซ็นสัญญาทำงานเบื้องหลังกับ Arista Records ในปี 1994 ภายใต้ชื่อ The Neptunes โปรดิวซ์เพลง และทำซาว์ดให้กับศิลปินชื่อดังหลายคนเช่น Blackstreet, Mase’s, N.O.R.E และ Kelis เป็นต้น
จากจุดนั้นเองที่ทำให้ The Neptunes เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น และก้าวขึ้นมาโปรดิวซ์เพลงให้กับศิลปินเบอร์ใหญ่ๆ อย่าง Britney Spears ในเพลง I’m A Slave 4 U ซึ่งฮิตกระจายไปทั่วโลก ซึ่งในปีเดียวกันนี้เอง ที่ Pharrell ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่พวกเขาจะออกมาสร้างผลงานเบื้องหน้ากันบ้าง โดยใช้ชื่อกลุ่มว่า N*E*R*D ที่ประกอบไปด้วย William, Hugo และ Haley อีกครั้ง เพื่อออกอัลบัมชื่อ In Search of….. ที่วางขายเฉพาะในยุโรป ซึ่งมันถูกวิจารณ์ว่าเหมือนกับผลงานที่เคย produce ให้กับศิลปินคนอื่นจนแยกไม่ออก ในปีต่อมาพวกเขาจึงหันมาใช้เครื่องดนตรีแบนด์อัดเสียงและวางจำหน่ายทั่วโลก แม้จะเปิดตัวอยู่ที่อันดับ 56 ของ Billboard chart แต่ถ้าเทียบกับความสำเร็จ และความคาดหวังจากสมัยที่ทำงานเบื้องหลังในฐานะ The Neptunes ก็ถือว่าน่าผิดหวังอย่างมาก
ก่อนพวกเขาจะกลับไปทำงานเบื้องหลัง โดยการนำเพลงที่ตัวเองเคยโปรดิวซ์ทั้งหมดมามิกซ์ใหม่ และวางขายในปี 2003 ใช้ชื่ออัลบั้มว่า The Neptunes Present…Clones ซึ่งครั้งนี้ผลงานสามารถพุ่งขึ้นอันดับหนึ่งของ Billboard Chart ได้สำเร็จ ทำให้ Pharrell Williams ถูกจับตามอง และยกย่องในฐานะ Producer มือฉมัง จนศิลปินอีกหลายคนอยากดึงตัวไปร่วมงาน ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง อย่างเช่นอัลบั้ม Black Album ของ Jay-Z ก็ประสบความสำเร็จอีกเช่นเคย
N*E*R*D
และก็ได้คิวกลับมาออกอัลบั้มสองของโปรเจค N*E*R*D ซึ่งมีการเปลี่ยนแนวมาเป็น Funk-Rock ในชื่อ Fly or Die สามารถทำยอดขายได้ถึง 412,000 ก็อปปี้ในสหรัฐ ถือว่าไม่ได้เลวร้าย แม้จะยังไม่ได้ถึงระดับ Masterpieace แต่ชื่อของ Pharrell ก็ล้ำหน้าเพื่อนๆ ในกลุ่มไปไกลแล้ว เพราะเขาได้ไปร่วมแสดงในงาน 2004 Grammy Awards กับ Sting, Dave Matthews และ Vince Gill รวมถึงได้รับรางวัล Producer of the year และ Best Pop Vocal Album ในเวทีเดียวกันนี้
ระหว่างนี้เองเขาก็เริ่มเปิดไลน์แฟชั่นที่ทำร่วมกับ Fashion Icon ของญี่ปุ่นอย่าง Nigo ในการสร้างแบรนด์สตรีทแวร์ที่ชื่อ Billionaire Boys Club และ Ice Cream Footwear ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ ทั้งในญี่ปุ่น และอเมริกาจนลามไปทั่วโลก จุดเด่นของแบรนด์นี้ คือการคัดสรรวัสดุคุณภาพสูง และดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งผลิตออกมาในจำนวนจำกัด นั่นยิ่งทำให้สินค้าแต่ละชิ้นมีความพิเศษ และต่างเป็นที่ต้องการของเหล่านักแต่งตัวแนวสตรีททั้งหลาย
กลับมาที่งานดนตรี หลังจากสะสมประสบการณ์มานับสิบปี Pharrell Williams คิดว่าถึงเวลาที่จะฉายเดี่ยวแล้ว เขาจึงปล่อยซิงเกิลแรกที่ชื่อ Can I Have It Like That Ft. Gwen Stefani ที่แม้จะล้มเหลวอย่างมากในตลาดสหรัฐ แต่น่าแปลกใจที่ซิงเกิลเดียวกันนี้กลับประสบความสำเร็จอย่างสวยงามในตลาดยุโรป เขาจึงตัดสินใจปล่อยอัลบั้มเต็ม In My Mind เฉพาะแค่ในยุโรปเท่านั้น
เหมือนกราฟชีวิตของ Pharrell กับการเป็นศิลปินเดี่ยวจะยังไม่ถูกจังหวะ ทำให้เขายังคงวนเวียนกลับไปทำงานโปรดิวซ์อยู่เป็นระยะๆ คราวนี้โปรไฟล์ของเขาก็แน่นขึ้นเมื่อได้ทำเพลงให้กับศิลปินระดับ Platinum อย่าง Madonna, The Strokes, Maroon 5, Beyonce อีกมากมาย และเขาก็ยังคงทำงานหนักเพื่อสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ออกมาเป็นระยะๆ
จุดพีคของ Pharrell จริงๆ คือในปี 2013 ที่เขาได้เป็นหนึ่งในทีมงานอัลบั้มแห่งปีอย่าง Random Access Mermories ของ Daft Punk และเพลงที่แจ้งเกิดให้เขาเลยก็คือเพลง Get Lucky ที่กวาดรางวัลมากมายไปตั้งที่บ้านได้เพียบ และในปีเดียวกันเพลง Blurred Lines ของ Robin Thicke ที่ Pharrell เป็นคนโปรดิวซ์ ก็พุ่งทะยานไปขึ้นอันดับ 1 ของ Billboad chart ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เขาเป็นหนึ่งใน 12 ศิลปินของโลกที่มีเพลงของตัวเองอยู่ในชารต์อันดับ 1 และ 2 ในเวลาเดียวกัน
ตีเหล็ต้องตีตอนร้อน ความสำเร็จของ Pharrell ยังคงลากยาวไปยังอัลบั้มชุดที่สองในชื่อ Girl ที่ได้เพลงฮิตติดหูอย่าง Happy เพลงประกอบภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Despicable Me 2 ซึ่งแนวดนตรีแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ลบความเป็น Rapper ออกไป ใส่กลิ่นอายของโซล Funk เข้าไปแทน
คนมันจะรุ่งจะอะไรก็ฉุดไม่อยู่ ภาพของเขาก่อนหน้านี้อาจจะเป็นที่รู้จักเพียงในอเมริกา แต่หลังจากความสำเร็จดังกล่าว Spotlight ทุกดวงเลยหันไปที่ Pharrell รายการ The Voice ซึ่งต้องหาโค้ชมานั่งเก้าอี้แทน C Lo Green ที่ขอออกไปทุ่มเทกับงานอัลบั้มของตัวเอง Pharrell Williams ก็เลยได้มาเสียบ และเพียงปีที่สองที่มาร่วมรายการ เขาก็พาเด็กหนุ่มอายุ 16 Sawyer Fredericks คว้าแชมป์ในซีซั่นที่ 8 ไปครอง
นอกจากจะดังด้านดนตรีถึงขีดสุดแล้ว Pharrell ก็ยังมีสไตล์การแต่งตัวที่ถือว่าดีมาก ถึงขั้น Adidas ต้องจับ Pharrell มาเซ็นสัญญายาวเพื่อทำ Collaboration ร่วมกันมาแล้วหลาย collection ซึ่งปัจจุบันก็มี Pharrell Williams x Adidas Consortium “Solid Pack” Collection, Pharrell Williams x Adidas Originals “Polka Dot” Pack, Pharrell Williams x Adidas Originals Superstar “Supercolor” และล่าสุดอย่าง NMD Human Race
ในปัจจุบัน Pharrell Williams ถือว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง และก็ไม่ได้หยุดนั่งนับเงินสบายๆ อยู่แค่นั้น ปัจจุบันยังก่อตั้ง i Am Other เป็นกิจการเกี่ยวกับ Entertainment Multimedia ครอบคลุมทั้งดนตรี แฟชั่น ศิลปะ รวมถึงเป็นค่ายเพลง ที่รองรับผลงานของตัวเขาเอง และไลน์แฟชั่นอย่าง Billionaire Boys Club, Ice Cream รวมถึงรายการทีวี ทำให้ Pharrell เป็นศิลปินที่มี Net Worth อยู่ที่ $120 ล้านเหรียญในปีที่ผ่านมา
ชีวิตของ Pharrell Williams ก็ทำให้เราได้ข้อคิดว่า ฝีมือนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากปราศจากความอดทนก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้ อย่าง Pharrell ที่แม้จะเป็นคนมากความสามารถ แต่ก็ยังต้องอาศัยความอดทนเป็นเวลาร่วม 10 ปี กว่าจะสามารถสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้ ถ้าวันนั้นเกิดยอมแพ้หันไปทำอย่างอื่น โลกนี้ก็อาจจะไม่มีใครรู้จักผู้ชายที่ชื่อ Pharrell Williams