

Music
Next Cover, Same Mood 11 : อ่านหนังสือเล่มไหนต่อดี เมื่ออินกับเพลงในอัลบั้ม SPACE SHUTTLE NO.8 ของ JEFF SATUR
By: GEESUCH June 24, 2024 231423
อ๋อ ที่เรียกว่า Space Shuttle มันคือแบบนี้นี่เอง เป็นประโยคแรกที่เราพูดกับตัวเองตอนฟังเพลงทั้งอัลบั้ม SPACE SHUTTLE NO.8 ของ JEFF SATUR จบลง
“นี่คือการเดินทางเพื่อขึ้นไปสำรวจดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่า ‘ตัวเอง’ สำรวจลึกถึงความรู้สึกซึ่งปนอยู่ในความสัมพันธ์ของใครสักคนที่ทั้งรักมากมายและเกลียดจนแทบบ้าอยู่ในนั้น”
เพลงทั้ง 18 ความยาวเกือบ 1 ชั่วโมง มันเหมือนเราได้เป็นนักบินอวกาศสวมชุดเทอะ ๆ ทะ ๆ แต่ต่างกับนักบินของ NASA ตรงที่ไม่ได้ผ่านการฝึกมาก่อน จึงไม่รู้เลยสักนิดว่ากระสวยอวกาศลำนี้จะพาไปสู่ความรู้สึกแบบไหนบ้าง (เป็นเหมือนมือใหม่ในความสัมพันธ์) และต่างคนก็คงกลับไปที่โลกด้วยความรู้สึกต่างกันไป (ในตอนที่ความสัมพันธ์จบลง)
ไม่แน่ใจว่า Jeff เลือกคอนเซปต์อวกาศด้วยเหตุผลอะไร แต่เราเห็นเพลงของความสัมพันธ์ที่จบไม่สวยเกือบทั้งอัลบั้ม และแน่นอน มันมีเหล่า Loser Guy ถูกทิ้งให้ลอยเคว้งคว้างอยู่อย่างนั้น นี่เลยเป็นเหตุผลว่าทำไม Next Cover, Same Mood ตอนล่าสุด จึงเป็นการเอาตัวละครขี้แพ้จากหนังสือ หนัง และซีรีส์โปรดของเราเพื่อเป็นตัวแทนแต่ละเพลงของ SPACE SHUTTLE NO.8
นี่มันคนสกิลทำเพลงระดับปีศาจแล้ว ในดนตรี Rock ที่มีความเป็น Global มาก ๆ ช่วงต้นเลือกใส่ไลน์กีตาร์ที่ดีดเหมือนพิณแบบนั้นเข้ามาได้ไง ? แล้วคือเพลงดีไซน์ Space ของเครื่องดนตรีพอเหมาะเกินไปอะ มีที่ให้ซาวด์ Ambient ทำงานเต็มที่ ในขณะก็เติมความ Groove ด้วยเบสเด่น ๆ (ไลน์สวยจัด) ให้เพลงดูมีอะไรตลอดเวลาไปเลย
ไม่รู้ว่าคิดไปเองมั้ย แต่เราเดาว่าแฟนคลับ Jeff รักเขาจากการเป็นคนเขียนเพลงที่คาแรคเตอร์คนเล่าชัดเจนมาก เพลงนี้อะรู้เลยว่าแม่งประชดทุกวรรค ก็ใช้คำว่ารักปั่นหัวกันตลอดจนชินแล้วจะทำอะไรก็ทำเหอะ แล้วตอนที่เรายังไม่ได้ดูเอ็มวีเพลงนี้น้ำเสียงมันส่ง Sex Appeal ออกมาแบบ 100% เลยอะ พอดูเอ็มวีก็คูณเข้าไปอีก 100%
มันมีมังงะนอกกระแสเรื่องหนึ่งชื่อ Shiga Hime พูดถึงเหล่าทาสรับใช้ของแวมไพร์ที่ถูกหลอกให้ฆ่าทาสด้วยกันเพื่อจุดประสงค์บางอย่างของแวมไพร์ผู้เป็นนาย เรื่องนี้ตัวเอกเป็นเด็กมัธยมปลายชื่อ Osamu Hirota บังเอิญซวยไปเจอกับ Miwako แวมไพร์พราวเสน่ห์ โดนยัดเยียดความเป็นปีศาจให้ แต่สุดท้ายพอรู้ว่าถูกปั่นหัวให้ไม่เหลือชีวิตให้ใช้ต่อไปแล้ว ตอนจบก็เป็นอะไรที่ขึ้นซาวด์แทร็คของ DUM DUM ได้เลย
เมโลดี้เพลงนี้เด็ดขาดมากกก ท่อน High Note โคตรเพราะ ! เพลงเศร้าจังหวะเนิบ ๆ ชวนโยกเบา ๆ ภายใต้ดนตรี R&B เท่ ๆ และที่สำคัญคือเนื้อเพลงโคตร Loser แต่พอ Jeff ร้องทำไมมันเท่จังวะ เช่นประโยคนี้ …
“เธอไม่เคยรำคาญฉันเลยด้วยซ้ำไป เพราะยังไงก็เป็นได้เเค่เงาที่ไม่สำคัญ”
เดือนที่แล้วบังเอิญได้ดูหนังคลาสสิกระดับออสการ์ปี 60s ชื่อ The Apartment เล่าเรื่องของ C.C. Baxter พนักงานดีเด่นแห่งบริษัทประกันภัย ที่ไม่ได้แค่ทำงานเก่งนะ แต่เขาเก็บความลับเรื่องชู้ของพนักงานระดับสูงในบริษัทเก่งด้วย แถมใจดีเปิดอพาร์ทเมนต์ของตัวเองเป็นที่ให้คนเหล่านี้มาสวีทกับชู้อีก จนกระทั่งเขาพบว่า Fran Kubelik พนักงานกดลิฟต์ที่ตัวเองตกหลุมรักมาตลอดเป็นชู้กับเจ้านายตัวเอง สิ่งที่ Baxter ทำไม่ใช่การโน้มน้าว แต่เป็นการอำนวยความสะดวกทุกอย่างให้ทั้งคู่เพราะเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอ แม้ว่าตัวเองจะเป็นได้แค่เงาที่เธอไม่ได้สนใจก็ตาม เป็นตัวละครขี้แพ้ที่น่ารักเหลือเกิน
“Minimal Music Is Everything!”
ไม่รู้ว่าต้องใช้คำว่าเก่งไปอีกกี่เพลง แต่ประทับใจมากเลยอะที่เขาอะเรนจ์พลงที่ฟังแล้วรู้สึกน้อยให้ออกมาเต็มอิ่มพองโตในใจคนฟังได้แบบเอ่อล้น เป็นเพลงช้าที่เพราะเหลือเกิน แล้วเพลงนี้ก็มี Image Setting ที่ชัดมากว่าเป็นฝันฟุ้ง ๆ ทุกอย่างจับต้องไม่ได้เลย และเหมือนว่าทุกอย่างจะหายไปตลอดเวลา ซัพพอร์ตกับสตอรี่ของเนื้อเพลงแบบสุด ๆ
พอลองนึกถึงตัวละคร Loser Guy ที่จะเป็นคนของเพลง ‘ก่อนที่เธอจะลืมฝัน’ ก็เลยนึกไปถึงสตูดิโออนิเมชั่นแห่งความฝัน Ghibli Studio เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นขี้แพ้ไม่น้อยหน้าใครคนนั้นชื่อ Haku ใช่ครับ มังกรสุดสง่าใน Spirited Away ประจำโรงอาบน้ำของเหล่าภูตนั่นล่ะ ถึง Haku จะเป็นตัวละครที่โคตรเท่โคตรอันตราย แต่เอาจริง ๆ มีความอ่อนแอสูงมากนะ คนที่ดูแล้วจำได้มั้ยว่าสิ่งที่ Haku กลัวที่สุดไม่ใช่การเสียทักษะเวทจาก Yubaba ที่ทำให้ตัวเองเก่งเลย แต่มันคือการกลัวว่า Jihiro จะลืมชื่อและลืมว่าสุดท้ายเธอเคยได้รู้จักเขาต่างหากล่ะ
สำหรับเราสิ่งนี้ถูกเรียกว่า “Will-they-won’t-they Song” คำว่า Will-they-won’t-they เป็นคำที่ใช้อธิบายคู่ตัวละครที่เหมือนจะสมหวังแต่ก็ไม่สมหวังสักทีจากซีรีส์ Sit-Com และในฐานะแฟนคลับของซีรีส์ The Office การที่ Jim Halpert พนักงานเซลล์ขายกระดาษยอดเยี่ยมแห่ง Dunder Mifflin Stamford รอคอย Pam อยู่หลายปีอย่างไม่ลดละแม้ว่าเธอจะหมั้นกับแฟนของตัวเองมาตั้งนาน มันคอมพลีทความเป็น Loser Guy ในเพลงของ Jeff แบบเช็คลิสต์ทุกข้อจริง ๆ
ชอบการเล่นคำของชื่อเพลง ‘วันนี้คือพรุ่งนี้ของเมื่อวาน’ เนื้อเพลงแอบรักข้างเดียวที่อึดอัดรอที่จะบอกรักไม่ไหวละ ก็เลยใช้คำแอบกวนหน่อย ๆ ว่าบอกรักเลยได้ปะ ไม่รู้จะต้องรอพรุ่งนี้ไปทำไม ยังไงวันนี้มันก็คือพรุ่งนี้ของเมื่อวานไงเธอ
ความเป็น Acoustic ของเพลงนี้กลมกล่อมดีจังเลย เสียงกีตาร์ใส ๆ จับคู่กับสแนร์เสียงอั้น ๆ ที่เหมือนเอาผ้ารองแล้วลงน้ำหนักด้วยด้ามของไม้ แล้วปล่อยให้เมโลดี้จากสัดส่วนร้องลูกเล่นแพรวพราวกับเมโลดี้โน้ตสูงของ Jeff โดดเด่น
โหหห วิธีเล่าเรื่องในเพลงนี้วาง Sequence อย่างเก่ง ขึ้นประโยคด้วย “เพิ่งจะรู้ความทรงจำที่มี มันโคตรจะดีเมื่อได้พบเธอ” ก่อนจะเฉลยในท่อนฮุกที่ตามมาไม่นานว่าเธอจากไปแล้ว “และหากขอพรได้สักข้อนึง ฉันก็จะไม่ขอให้รักของเรานั้นย้อนคืน” แล้วทั้งเพลงคือมีความย้อนแย้งของตัวคนเล่าตีกับตัวเองไปหมด เออ ความทรงจำตอนนั้นมันดีแฮะ ขอคิดถึงมันหน่อย แต่ไม่ย้อนเธอกลับมาล่ะดีแล้ว Remove สักทีเถอะ แล้วดนตรีที่มีความอิเล็อทรอนิกส์แบบ Jack Garratt ดุ ๆ ซิ่ง ๆ มันโคตรทำถึงของจริง (เพลงนี้แท็คทีมโหดมาก ได้คุณ Ben วง Luss โปรดิวซ์ แล้วคุณ PUN ช่วยเขียนเนื้อร้อง)
Eric Forman เด็กหนุ่มไม่เอาอ่าว ใช้ชีวิตแบบที่พ่อของเขาทำคิ้วขมวดด้วยความปวดหัวทุกวัน หนุ่ม Loser ที่สุดแห่งความกากที่โชคดีมีสาวข้างบ้านเพื่อนตั้งแต่เด็กอย่าง Donna รักในแบบที่เขาเป็น
เนื้อเพลงที่พูดถึง Highway ทำให้เรานึกถึงซีนสุดท้ายในซีซั่นที่ 8 ของซีรีส์ That ’70s Show วันที่ Eric ตัดสินใจจากบ้านเกิดไปด้วยเหตุผลของตัวเองเป็นระยะเวลานาน รถ 1969 Vista Cruiser ที่เคยบันทึกเรื่องราวตลอดหลายปีระหว่าง Eric กับ Donna ก็เป็นสิ่งที่แทนทุกภาพที่มีกัน มือของเธอที่สัมผัสรถคันนั้นทำให้รู้ว่าหนุ่มกากคนนี้ก็สร้างสิ่งดี ๆ ไว้ให้เธอมากมายเหลือเกิน
“ของตั้งเอาไว้มุมเดิม
เก็บตรงไหนฉันยังไว้ตรงนั้น
และฉันรู้ว่าเธอยังเก็บมันเหมือนกัน
ความผูกพัน และเรื่องราวมากมาย”
เวลาที่มีของมีค่าในอดีตอยู่บนมือแล้วต้องตัดสินใจระหว่างคำว่า ‘เก็บ’ หรือ ‘ทิ้ง’ ทุกครั้งเราจะคิดถึงตัวละคร Pat Solitano ใน Silver Linings Playbook ตลอด Pat เป็นอาจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เขาตับได้ว่าภรรยาของตัวเองมีชู้กับเพื่อนร่วมงาน ภาพทุกอย่างถูกตัดให้ดำสนิท Pat ใช้เวลา 8 เดือนเข้ารักษาอาการไบโพล่าขั้นรุนแรง
หลังจากถูกปล่อยตัวออกมา Pat ไม่สามารถฟังเพลงที่เคยเปิดในงานแต่งงานของเขากับภรรยาได้ และถึงจะโมโหจนแทบบ้า เขาก็ยังเก็บวรรณกรรมเล่มโปรดที่เคยแชร์กันอ่านกับภรรยา และหากมันหายไปเขาจะกรีดร้องและทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา
สำหรับ Pat สิ่งของมีค่าในการประกอบร่างความทรงจำและความรู้สึกของคนที่รัก เราว่าตัวเองและ Jeff ในเพลงนี้ก็คงไม่ต่างกัน การที่เราเลือกเก็บของสักชิ้นมันหมายถึงเราต้องการเก็บใครสักคนเอาไว้ใกล้ ๆ ใจตลอดเวลาด้วย ถึงแม้จะเป็นการโอบรับบาดแผลและรอยน้ำตาก็ตาม
ไปเถอะ เดี๋ยวหลับตาเล่นซ่อนหากันเป็นครั้งสุดท้าย แต่คราวนี้ฉันจะไม่ตามหาเชิญไปซ่อนได้ตามใจ
พอฟังถึง ‘ซ่อน (ไม่) หา’ เริ่มจับทางตัวเองได้ว่าเราหลงเพลงแบบขี้ประชดของ Jeff อย่างที่เล่าไปในเพลงแรก DUM DUM แบบสุดตัว เพลงนี้ก็เอเนอร์จี้ไม่ต่างกันเลย เออความสัมพันธ์นี้เราแพ้เธอนะ เพราะเธอมีใจให้คนอื่นหรือหมดใจก็ตามแต่ เพราะงั้นไปเลยเหอะ ไม่ต้องมาแคร์ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่หรอก ในความเอาจริงมันมีความโกรธแบบล้น ๆ เลยอะ ชอบสิ่งนี้ !
และเพลงนี้ก็ควรจะเป็นของตัวละครแพ้ที่น่าสงสารอย่าง Ted Kramer ผู้ชายที่จู่ ๆ วันหนึ่ง Joanna ภรรยาของเขาก็มาบอกว่าเธอต้องการจากไป เพราะว่าเธอไม่มีความสุขกับชีวิตแต่งงานซึ่งสามีทำงานหนักจนลืมคนรอบข้างไป Joanna ไปทันทีโดยทิ้งให้ Ted ที่ไม่ทันตั้งตัวอยู่กับ Billy ลูกชายวัย 7 ขวบของทั้งคู่ หลังจากผ่านไป 15 เดือน ในวันที่ Ted เริ่มแข็งแรงพอจะรับมือกับชีวิตพ่อเลี้ยงเดี่ยวได้แล้ว Joanna ก็กลับมา “จะบ้าเหรอ !” เราว่า Ted ก็มีส่วนผิด แต่ Joanna ที่ทิ้งลูกและสามีปล่อยทุกอย่างไปเลยก็ทำไม่ถูกรึเปล่า ?
กีตาร์โปร่งเสียงใส + Low Tone Voice ของ Jeff + เนื้อเพลงแสนเศร้า = ไม่มีอะไรลงตัวกว่านี้แล้ว
โห น้ำตารื้นนะ เพลงของคนคลั่งรักที่มีความรักมากมายแบบที่บอกคน ๆ นั้นออกไปยังไงก็ไม่หมด ถึงขนาดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชั่วนิรันดร์จะพอให้บอกรักได้หมดมั้ย แล้วก็กลัวว่าเธอจะรอกันไม่ได้
เรามองเห็นความรักครั้งนี้เป็นแบบที่ ‘จะรออยู่ตรงนี้ตลอดไป’ แล้วไม่ใช่แค่ในมุมของคนรักเท่านั้น แต่มันยังเลยไปถึงมิตรภาพซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ถาวรที่สุดในโลกใบนี้ แล้วไม่รู้ทำไมตัวเองถึงนึกภาพของปลาวาฬ Laboon ที่คอยเอาหัวชนกับโขดหินทางเข้าแกรนด์ไลน์ เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งเพื่อน ๆ โจรสลัดรุมบาร์ที่ผจญภัยด้วยกันจะกลับมารับ เป็นการรอคอยที่เกินกว่า 50 ปีมาแล้ว : (
หาาา ใส่เครื่องสายเข้ามาในท่อน Chorus แบบนี้ก็ตายไปเลยสิ เข้าใจเลยว่าทำไมเพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงฮิตสุดของ Jeff แล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องของเนื้อร้องติดหูแน่นอน ดีเทลในเพลงอะเรนจ์แบบปีศาจ (อีกแล้ว) เพลงนี้ ‘แม็ค ศรันย์’ เป็นโปรดิวซ์ให้ โอเค จบ
แฟนหนังสือของ Haruki Murakami ที่หลงใหลในนิยายซึ่งเต็มไปด้วยตัวละครผู้ชายที่แพ้พ่ายกับชีวิต ไม่มีทางลืม Toru Watanabe เด็กหนุ่มที่เฝ้าฝันถึงแต่ Naoko ผู้หญิงที่คนเดียวที่ติดอยู่ในใจและความทรงจำของเขาในแบบที่ไม่มีใครเหมือน ถึงแม้ว่าเธอจะมีอายุ 17 ตลอดไปก็ตาม เพราะว่าอ่าน Norwegian Wood หรือชื่อไทย ‘ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย’ อยู่ 2 ครั้ง เราจึงค่อนข้างมั่นใจว่า Toru ไม่รู้จักวิธีการลืมสำหรับ Naoko หรอก
มืดมนที่สุดในอัลบั้ม เหมือนผูกไทสีดำแล้วเดินเข้าสู่ขบวนงานศพของอะไรสักอย่างไปกับ Jeff เพลงมีความมหากาพย์และมโหรีต่อความรู้สึกขนาดนั้น ถึงแม้ว่าองค์ประกอบจะยังให้ความเป็น Minimal Music อย่างเพลงก่อน ๆ ก็ตาม
“ตอนนี้ผมไม่มีทั้งสุขและทุกข์ ทุกสิ่งล้วนผ่านพ้นไป”
ในหน้าสุดท้ายของ ‘สูญสิ้นความเป็นคน’ ฉบับมังงะของ Junji Ito หลังจากที่ตัวละคร Ōba Yōzō ได้ผ่านความโสมมทั้งที่ทุกยัดเยียดและกระโจนเข้าไปด้วยตัวเอง บทสรุปนี้ล่ะที่เราว่าอธิบายคำว่า ‘หลุมดำ’ ได้ดีที่สุดแล้ว ถึงแม้มังงะจะเป็นภาพขาว-ดำทั้งเล่ม แต่ในหน้านั้นให้ความรู้สึกถึงสีดำมากที่สุดแล้ว
ลืมเขียนชมในเพลงก่อน เพลงภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยของ Jeff เมโลดี้เป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก ๆ มัน Global เกินกว่าที่เราจะพูดคำว่าโกงโน้ตหรือโน้ตเพี้ยนไปแล้ว เพราะเขาอะเรนจ์มันแบบที่ออกมาดีมาก แล้วร้องเข้าปากทุกคำไม่มีฝืนเลยสักนิดเดียว
“And all my friends say all that you need is time
And I hope they’re right”
ช่วยประโยคข้างบนมาก ๆ จนต้องขอยกมาคู่กับ Loser Guy ที่ชีวิตพลิกผันเพราะคำว่า “I Like The Smith” คุณ Tom Hansen ที่ใช้เวลา 500 วันในการลืม Summer นั่นเอง พอเนื้อเพลงมันมีความก้ำกึ่งแบบว่าจะลืมได้แล้วเว้ย เอ้ยยังเลยว่ะ มันก็เลยไม่มีสตอรี่เกี่ยวกับรักเรื่องไหนจะเห็นภาพได้ดีเท่า 500 Days Of Summer อีกแล้วอะ ฟัง Almost Over You จบ ดูหนังต่อคืออินแน่นอน
“And I know it’s too late to take
A flight to fly to your side
Tonight but baby I’ll drive to you
Cuz I know it’s too late to say
Goodbye but only just one
More night can I lay by your
Side”
Bonus Track แรกของอัลบั้ม เพลงนี้เอาใจคนรัก Acousticห Song ของ Jeff ไปเลย เจออะเรนจ์ที่ทอนให้เหลือแค่ร้อง กีตาร์โปร่ง เปียโนก็คือน้อยที่สุดสักหน่อย บอกเลยว่าเพราะไม่ไหวครับ
ตอนต้นเราพูดถึงความเป็น Space Vibe ของอัลบั้ม SPACE SHUTTLE NO.8 ไปใช่มั้ย เพลงนี้เป็นอีกเพลงที่เล่าอารมณ์นั้นได้ชัดมากนะ เพลงชื่อ Stranger แล้วมันเหมือนเรากับเพลงมีความแปลกหน้าต่อกันจนคว้าอะไรไว้ไม่ได้ ทีนี้เราก็เลยคิดถึงหนังจากปี 2014 เรื่อง Comet ที่เล่าเรื่อง 3 ช่วงเวลาของคู่รักคู่หนึ่งที่ดูเหมือนจะปะติดปะต่อกันแต่ก็ไม่ ดูเหมือนฝันแต่ก็คล้ายความจริง
แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือตัวเอกอย่าง Dell นั้น พยายามจะทำให้ Kimberly ตกหลุมรักเขาให้ได้อีกครั้ง เหมือนเป็นการขอโอกาสครั้งสุดท้ายก่อนทุกอย่างจะหายไป แม้จะเพิ่งดูเรื่องนี้ใน Netflix ไปเมื่อเดือนก่อน เราก็ยังรู้สึกว่า Comet เป็นอะไรที่ Stranger สำหรับตัวเองมาก ๆ อยู่ดี
Bonus Track เพลงสุดท้าย อ๋าาา เพลงแฮปปี้ที่สุดของอัลบั้มก็เลยต้องเปลี่ยนจาก Loser Guy เป็น Happy Guy แทนอะเนาะ แล้วเป็นเพลงแบบ Holiday Vibe ที่มีแค่เธอและฉันบนโลกใบนี้ ขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับซีรีส์โปรดของเราเรื่อง Master Of None ที่เล่าเรื่อง Slice Of Lofe ของ Dev Shah หนุ่มอินเดียเติบโตในนิวยอร์กและพยายามเลี้ยงชีพตัวเองด้วยการเป็นนักแสดงประกอบ
เรื่องย่อก็มีเท่านั้นล่ะ ดูธรรมดาใช่ปะ แต่ซีรีส์สนุกมาก สำหรับเพลง Saturdayss ควรเป็นเพลงประกอบอีกเพลงของตอนที่ 6 ของซีซั่น 1 ที่ชื่อ Nashville มันเป็นตอนที่ Dev ชวน Rachel หญิงสาวที่เขาเจอในแอพหาคู่ ด้วยความเคมีคลิกก็เลยจองตั๋วไปเที่ยวในสถานที่ที่ไม่รู้จักด้วยกัน 2 คน ซึ่งเหตุการณ์มันเรียบง่ายมาก กินข้าวด้วยกัน เข้าบาร์คาวบอยไปเต้น นอนอยู่โรงแรมยาว ๆ แค่นั้น แต่มันทำให้เรารู้สึกเหมือนได้มี Saturday เป็นของตัวเองแม้จะดูในวันที่งานยุ่ง ๆ ก็ตาม