

Guide
Once in Wonderfruit เทศกาลไลฟ์สไตล์ที่แรก และที่เดียวในประเทศไทย
By: unlockmen December 24, 2015 21673
เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทีมงาน UNLOCKMEN ได้มีโอกาสเดินทางไปร่วมงานเทศกาล Wonderfruit Festival 2015 ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่สอง โดยงานนี้หลายคนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าเป็นงานเทศกาลดนตรีอะไรหรือป่าว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เพราะมันคืองานเทศกาลไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ในประเทศไทย ที่จะให้เราได้ไปพบกับประสบการณ์ใหม่ๆ เป็นเวลาถึงสามวันสามคืน บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ ของ Siam Country Club พัทยา จังหวัด ชลบุรี เรียกว่าได้ภายในงานเราจะได้สัมผัสกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และเสพงาน Arts และใช้ชีวิตในสไตล์แบบ โบฮีเมียน ยิปซี กันอย่างจุใจ
ความพิเศษของงานนี้คือคุณจะไม่รู้สึกเหมือนไปงานเทศกาลทั่วๆไป แต่คุณจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในงานเหมือนเป็นการไปตั้งแคมป์เข้าค่าย อยู่กันอย่างเป็นชุมชน เพราะทางงานจะจัดพื้นที่สำหรับให้เราเอาเต็นท์ไปตั้งแคมป์ หรือถ้าใครขี้เกียจแบกเต็นท์มา ทางงานเขาก็จะจัดเตรียมเป็นหมู่บ้าน Boutique Camping ให้ ทั้งสะอาด และสะดวกสบาย แต่จุดขายของ Wonderfruit คือในงานเขาได้รวบรวมเอาศิลปะแขนงต่างๆ มาผนวกกันได้อย่างลงตัว และทุกรายละเอียดของงานถูกคิดออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน ตั้งแต่เวทีต่างๆ หรือแม้แต่จุดพักนั่งเล่น ที่ถูกดีไซน์ออกมาจากมันสมองของศิลปิน และสถาปนิกระดับโลก
ถ้าเรามาตั้งแต่ช่วงเช้าทางงานก็จะมีการจัดเตรียมกิจกรรมให้เราได้ทำตั้งแต่เช้าซึ่งเป็น Class ต่างๆ รวมถึงการ Workshop จากหลายผู้สนับสนุนของงานอย่างเช่น SC ASSET ที่จัดโซนเป็น Pavillion มีกิจกรรมให้กับผู้ร่วมงานได้มีส่วนร่วม ที่นอกจากจะได้ความสนุก แล้วเรายังได้ความรู้กลับไปด้วย อีกทั้งเรายังมีโอกาสได้ผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ แลกเปลี่ยนทัศนคติความคิดใหม่ๆกัน เพราะจริงๆ แล้วในงานนี้คนที่มาร่วมงานครึ่งหนึ่งเป็นชาวต่างชาติที่ลงทุนบินข้ามน้ำมาเพื่อร่วมเทศกาลนี้
พอเราทำกิจกรรม Workshop ช่วงเช้าเสร็จแล้ว ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ เป็นต้นไป ก็จะมีศิลปินทั้งไทย และเทศ ที่ทยอยมามอบบทเพลงขับกล่อมตลอดทั้งวันทั้งคืน ซึ่งก็มีให้เลือกชมหลากหลายแนว เพราะเขาได้แบ่งเวทีเป็นทั้งหมด 6 เวที ได้แก่ Living Stage ซึ่งเป็นเวทีใหญ่ที่เราเห็นตั้งแต่เข้ามาในงานที่จะมีคอนเสิรต์จาก Ryme , Blonde Redhead , ปู พงสิทธ์ คำภีร , Greasy Cafe, Jon Hopkin x Chris Levine พอเดินเลาะถัดมาก็เป็นเวที Solar Stage , Theatre of Fest ที่เหมาะจะพาคู่รักมานั่งดินเนอร์ฟังเพลงนุ่มๆ แล้วก็ Sol Stage ที่ออกแบบให้เหมือนโรงลิเก มีศิลปินดีๆมากมาย แล้วก็มี Molam bus ที่ออกแบบให้เป็นเวทีหมอลำลูกทุ่ง แต่ไฮไลท์ไอเดียคงต้องเป็นเวที The Quarry ที่เราต้องเดินเลาะป่าตามแสงไฟไปข้างในป่า จะเป็นเวทีที่เปิดดึกสุดเพราะเริ่มโชว์แรกตอนเที่ยงคืนไปยันถึงสว่าง เรียกได้ว่าเอาใจคอดนตรีตั้งแต่ Electronic จนถึง ลูกทุ่งหมอลำ กันเลยทีเดียว
ยังไม่พอเพราะ Wonderfruit ได้ขนการแสดง Arts Performance แปลกๆ ที่เราไม่สามารถหาดูได้ที่ไหนง่ายๆ เพราะเขาได้อิมพอรต์การแสดงเหล่านี้มาจากต่างประเทศ อาทิ Fractals by Lordfai Navinda , Lucy by Valerie Berger , Molam Bus , Are we our own และ 7 sins by Edge Playmaker
สำหรับคนชอบลุยๆ ในงานก็ยังมีพื้นที่ๆ เอาใจคอ Adventure เพราะเขาได้เนรมิต Natural Adventure ขึ้นมาเพื่อให้เราได้สนุกแบบลุยๆ และได้เข้าถึงธรรมชาติไปพร้อมๆกัน อาทิ การวิ่งออกกำลังกาย ขี่จักรยาน ว่ายน้ำในทะเลสาป หรือแม้แต่จะขึ้นไปโลดแล่นบนฟ้ากับ Microlight Plane เอาใจคนทุกสไตล์
และอีกหนึ่งสีสันของงานที่ขาดไม่ได้ คือบรรดาร้านค้า อาหาร ต่างๆ ภายในงาน เพราะ Wonderfruit ได้รวบรวมความวาไรตี้ของร้านอาหารดังๆ ที่เราคุ้นเคย นำมาแปลงโฉมให้เป็นในรูปแบบของ Street Food หรือ Truck แบบที่ฮิตๆ ในบ้านเราขณะนี้ เราจะได้ฟิวแบบ Barefoot Luxury แต่ที่น่าสนใจกว่าคือเหล่าบรรดาร้านค้าจะไปคัดสรรส่วนผสมสดๆ จาก Wonder feasts ในงาน มาปรุงให้เรา เรียกว่าสดๆ จากไร่ ปลอดสารพิษแน่นอน
สำหรับคนที่พลาดงานนี้ไป เราขอบอกว่าเป็นที่น่าเสียดายมากๆ เพราะถ้าคุณได้มีโอกาสมาร่วมงานนี้แล้ว คุณจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว และไม่อยากให้มันจบลงไปเลย ถึงแม้ว่าราคาข้าวของต่างๆ ในงานจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงไปสักนิด แต่ถ้าพูดถึงความคุ้มที่เราจะได้รับจากงาน ทั้งประสบการณ์แปลกใหม่ มิตรภาพ ความสุข แค่นี้ก็คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไปแล้ว เพราะสเกลงานระดับสากลในบ้านเราแบบนี้ไม่ได้หากันง่ายๆ หรือเรียกว่าแทบจะไม่มีเลย ซึ่งปีหน้าถ้าชาว UNLOCKMEN คนไหนมีโอกาส เราแนะนำว่าต้องไปลองสักครั้งในชีวิต และไม่แน่เราอาจจะได้ไปร่วมสนุกกันในงาน Wonderfruit 2016 ก็เป็นได้