

Life
เปลี่ยนจากมดเป็นราชสีห์! ด้วย 5 วิธีปลดล็อคความมั่นใจในตัวคุณ
By: unlockmen October 1, 2020 189202
เป็นเรื่องปกติที่เราจะรู้สึกไม่มั่นใจเวลาเจอกับสถานการณ์ที่เราไม่คุ้นชิน หรือว่าคนใหม่ๆ เพราะเรายังไม่แน่ใจว่าจะรับมืออย่างไรกับสิ่งเหล่านั้น จึงรู้สึกประหม่าเป็นธรรมดา แต่พอเวลาผ่านไป ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น เราก็จะรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ดีขึ้น และมีความมั่นใจมากขึ้นตามมาเอง แต่สิ่งที่เรามองว่าไม่ปกติ คือ ความไม่มั่นใจที่มากเกินไป หรือ ความรู้สึกไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา เพราะภาวะแบบนี้ขัดขวางการใช้ชีวิตและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของเรา
UNLOCKMEN มองเห็นถึงผลเสียที่เกิดจากการไม่มีความมั่นใจ และอยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอยากมีความสุข เลยอยากพูดถึงเรื่องพิษภัยของความไม่มั่นใจ พร้อมแนะนำ 5 วิธีที่ได้รับการรับรองจากวิทยาศาสตร์แล้วว่าช่วยให้ทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้นได้
ความมั่นใจในตัวเองต่ำ หรือ ความเคารพตัวเองต่ำ (low self-esteem) ทำให้เราคิดแย่ๆ กับตัวเอง โดยคนที่มีภาวะ low self-esteem มักต้องต่อสู้กับความรู้สึกด้านลบที่มีต่อพวกเขาเอง ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกไร้ค่าไร้ความหมาย ไม่เป็นที่ต้องการ ไม่มีใครรัก และไร้ความสามารถ แถม พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะอ่อนไหวมากเกินไป (hypersensitive) ต่อโลกที่อยู่รอบตัวพวกเขาด้วย (อ้างอิงจากงานวิจัยของ Morris Rosenberg และ Timothy J. Owens) ซึ่งภาวะอ่อนไหวมากเกินไปนี้เองที่ส่งผลให้พวกเขาเป็นภาวะซึมเศร้าได้ง่าย เพราะเมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่คนอื่นมองว่าไม่มีอะไร พวกเขาอาจได้รับผลกระทบทางจิตใจมากกว่าคนอื่น พวกเขายังไวต่อการพัฒนาความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า และวิตกกังวล และนอกจากนี้ พฤติกรรมมการกินที่ผิดปกติ (โดยเฉพาะ โรคกินมากเกินไป (binge-eating disorder) ) ยังเป็นพบเจอได้ทั่วไปในกลุ่มคนที่มีภาวะ low self-esteem อีกด้วย
งานวิจัยหลายชิ้นยังบอกเราอีกว่า ภาวะ low self-esteem ส่งผลเสียต่อเราในแง่อื่นๆ อีก เช่น การอยู่เย็นเป็นสุขในสังคม พร้อมชี้ให้เห็นว่า ความเคารพตัวเอง หรือ self-esteem มีบทบาทสำคัญต่อการทำนายความก้าวหน้าของคนในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การศึกษา หน้าที่การงาน การใช้ชีวิต และสุขภาพโดยรวม งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ SAGE Journals (2005) พบว่า low self-esteem มีความเกี่ยวข้องกับ ความก้าวร้าวและพฤติกรรมต่อต้านสังคม รวมถึงการกระทำผิดกฎหมายด้วย (โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ) หรือ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน (2006) ได้เชื่อมโยงภาวะ low self-esteem ในช่วงวัยรุ่น กับ ภาวะสุขภาพที่ย่ำแย่ การก่ออาชญากรรม และโอกาสทางเศรษฐกิจที่จำกัดในช่วงที่เป็นผู้ใหญ่ เป็นต้น
เมื่อผลเสียของการไม่มีความมั่นใจมากมายขนาดนี้แล้ว เราเลยควรเช็กว่าตัวเองหรือคนรอบข้างมีอาการเหล่านี้หรือไม่ ได้แก่ ไม่เชื่อในความคิดของตัวเอง เห็นความคิดของคนอื่นดีกว่าของตัวเองเสมอ ไม่มั่นใจในความคิดเห็นของตัวเองและไม่กล้าแสดงออกมา คิดว่าตัวเองจะล้มเหลวถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ (ซึ่งบางครั้งสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง) กลัวความท้าทาย เข้มงวดกับตัวเอง แต่อ่อนโยนกับคนอื่น มีความวิตกกังวลสูง ทำอะไรสุดทาง (ต้องการอะไรก็พยายามจะเอาให้ได้ จะเทอะไรก็เททิ้งแบบไม่เสียดาย) โฟกัสกับงานเพื่อหลีกหนีความเครียดและความกลัวที่เกิดขึ้นจากการมีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่นในสังคม หากพบว่าตัวเองเข้าข่ายก็อาจต้องมีการเพิ่มความมั่นใจกันหน่อย ซึ่งจะทำได้อย่างไรบ้าง ? เดี๋ยวเราขออธิบายต่อไป
เมื่อความไม่มั่นใจมากเกินไปเป็นพิษต่อการดำรงชีวิตของเรา เราเลยต้องถอนพิษกันหน่อย ในบทความนี้เราเลยได้นำวิธีเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง 5 วิธี มาแชร์ให้กับทุกคน ซึ่งแต่ละวิธีได้รับการรับรองจากงานวิจัยแล้วว่าได้ผล แถมยังทำตามได้ง่ายอีกด้วย! จะมีวิธีอะไรบ้าง ไปดูกัน
เวลาอยากเพิ่มความมั่นใจในตัวเองจากภายใน หนึ่งใน Life Hack ที่เราสามารถทำได้ คือ การพูดให้กำลังใจตัวเอง แต่ไม่ใช่การพูดให้กำลังตัวเองแบบธรรมดา ต้องเรียกตัวเองด้วยสรรพนามบุรุษที่ 2 ด้วย เช่น คุณ (เรา) ทำได้! คุณ (เรา) มาถูกทางแล้ว! เป็นต้น งานวิจัยชิ้นหนึ่ง (2014) ได้แบ่งผู้เข้าร่วมการทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่พูดสิ่งดีๆ กับตัวเองในมุมมองบุคคลที่ 1 และกลุ่มที่พูดสิ่งดีๆ กับตัวเองในมุมมองบุคคลที่ 2 (เรียกตัวเองว่า “you”) ผลการทดลองพบว่า คนที่พูดกับตัวเองในมุมองบุคคลที่ 2 จะมีแรงจูงใจและความมั่นใจในตัวเองสูงกว่าอีกกลุ่ม ซึ่งทีมวิจัยได้อธิบายว่า เป็นเพราะคำว่า “you” ให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังรับคำแนะนำ คำชม และคำให้กำลังใจจากคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเรา กล่าวคือ เราพึงพอใจที่คนอื่นชมเรา มากกว่าที่เราชมตัวเอง
นอกจากวิธีการสร้างความมั่นใจจากภายในแล้ว ก็มีวิธีการสร้างความมั่นใจจากภายนอกเหมือนกัน เช่น การใส่ชุดสีดำ ที่ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยแล้วว่า ช่วยให้เรารู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้น งานวิจัยชิ้นหนึ่ง (2015) พบว่า สีดำเป็นสีที่คนเห็นว่าสื่อถึงความมั่นใจได้มากที่สุด และทำให้พวกเขาคิดถึง ความมีเสน่ห์ (attractiveness) สติปัญญา (intelligence) และความมั่นใจ (confidence) ส่วนงานวิจัยอีกชิ้น (2014) พบว่า ผู้เข้าร่วมการทดลองที่ใส่สูทมีคะแนนสูงในด้านอิทธิพล (dominance), การทำงาน ( job performance) และความมั่นใจ ส่งผลให้พวกเขาเจรจาได้เก่งกว่าคนอื่นในสถานการณ์ทดลอง
ว่ากันว่า ดนตรีมีความสำคัญต่อชีวิตของเรามาก เพราะ “ถ้าไม่มีดนตรี เราก็ไม่มีชีวิต” (NO MUSIC, NO LIFE) ซึ่งส่วนตัวก็แอบเห็นด้วย เพราะดนตรีส่งผลการใช้ชีวิตของเราจริง โดยเฉพาะในเรื่องของอารมณ์ และสำหรับใครที่ชอบฟังเพลง ลองหาเพลงเบสหนักๆ ฟังดู จะช่วยให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้น! งานวิจัยชิ้นหนึ่งจากมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์นพบว่า การฟังดนตรีที่มีเบสหนักๆ จะช่วยให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีพลัง มีอำนาจ และมีความหนักแน่น ส่งผลให้เรามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
การฝึกสติ (practicing mindfulness) ช่วยให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นได้เหมือนกัน งานวิจัยหลายชิ้นได้ชี้ให้เห็นว่า การฝึกสติด้วยวิธีการนั่งสมาธิและโยคะมีผลต่อ self-esteem โดยตรง เช่น งานวิจัยชิ้นหนึ่ง (2017) พบว่า ท่าโยคะที่ต้องโฟกัสการหายใจและการทำสมาธิช่วยเพิ่ม self-esteem ได้ และงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง (2008) พบว่า การทำสมาธิเป็นประโยชน์ต่อความมั่นใจของคน เพราะมันช่วยให้เราควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น และโฟกัสกับอะไรต่างๆ ได้มากขึ้น
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียพบว่า การถ่ายรูปตัวเอง มองตัวในกระจก ให้ความสนใจกับรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง ส่งผลให้ความมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้นได้จริง โดยนักวิจัยได้ทดลองให้นักเรียน 41 คน ถ่ายภาพ 3 ประเภททุกวัน ได้แก่ ภาพที่พวกเขาคนใดคนหนึ่งยิ้ม ภาพของสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุขในแต่ละวัน และภาพที่พวกเขาเชื่อว่าจะทำให้คนอื่นมีความสุข ผลการทดลองพบว่า ภาพแต่ละชนิดส่งผลเชิงบวกต่อ self-esteem ของกลุ่มทดลอง โดยเฉพาะภาพที่พวกเขาถ่ายตัวเองเพิ่มความรู้สึกมั่นใจได้สูงสุด ดังนั้น ถ้าใครอยากมีความมั่นใจมากขึ้น อาจลองถ่ายภาพเซลฟี่ให้บ่อยขึ้น แต่ต้องระวังอย่าถ่ายบ่อยเกินไป จนกลายเป็น “selfitis” ไปละ! เพราะจะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตได้