

Life
ล้วงลับจับความจริงจากสิ่งที่อีกฝ่ายพูดแบบไม่เปลืองแรง ด้วย “การมองตา”คู่สนทนาของเรา
By: unlockmen November 12, 2018 127517
ฟังคำพูดมาเป็นร้อยเป็นพันคำ แต่ก็แยกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นจริงสักกี่เปอร์เซ็นต์ เลยต้องมาตกตะกอนกันว่าไอ้หมอนั่นพูดจริงสักแค่ไหน แต่การเอ่ยปากถามตรง ๆ ว่ามึงโม้ป่าววะ ? มันช่างดูไม่มีชั้นเชิงเอาเสียเลย UNLOCKMEN ขอเสนอเทคนิคเจ๋ง ๆ ที่เราไม่ต้องเป็นนักสืบมือดี FBI ตัวท็อป ไม่ต้องมีลูกไม้หลอกล่ออะไร ก็สามารถประเมินความจริงจากปากฝ่ายตรงข้ามได้ ด้วยการ “มองตา” นั่นเอง มาดูกันว่า นอกจากดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจแล้ว มันจะสามารถบอกความจริงในคำพูดได้ยังไงกันบ้าง
เราอาจจะคุ้นชินกับประโยค Cliché ที่ว่า “ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ” และตอนนี้ University of Tampere Conducted ก็ได้ยืนยันเรื่องนี้เช่นกัน จากการศึกษาเกี่ยวกับ Eye Contact ของคนเราโดยตรง แล้วพบว่านอกจากการสังเกตอาการต่าง ๆ ของดวงตาว่าอีกฝ่ายพูดจริงแค่ไหน เรายังสามารถบังคับอีกฝ่ายแบบทางอ้อมได้ด้วยการมองตา เท่ากับว่า นี่ไม่ใช่แค่การหาความจริงแต่สามารถบีบบังคับให้อีกฝ่ายพูดความจริงได้ด้วยสายตาอีกด้วย
การศึกษาที่ว่านี้ ทำการทดสอบด้วยกลุ่มทดลอง 51 คน อายุตั้งแต่วัยเลือดร้อน 19 ปีไปจนถึงวัยทำงาน 37 ปี มาเล่นเกมกัน ในเกมนี้พวกเขาได้รับอนุญาตให้สามารถโกหกได้ พวกเขาจะมานั่งตรงข้ามกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน พอเกมเริ่มดำเนินไป พบว่าคนที่กล้ามองตาอีกฝ่ายตรง ๆ แบบไม่หลบตาเลยสักนิด มีแนวโน้มอย่างมากที่จะเป็นคนที่พูดความจริงทุกคำ
“นี่เป็นการศึกษาแรกที่ยืนยันถึงผลลัพธ์ของการใช้ Eye Contact กับอีกคนที่เราสนทนาแบบที่น่าเชื่อถือขึ้นมาหน่อย เพราะมันเป็นการทดลองในสถานการณ์จริง” Jonne Hietanen นักศึกษาแพทย์ของ University of Tampere ได้พูดถึงเรื่องนี้เอาไว้ ซึ่งนั่นหมายถึงว่า พอมันเปลี่ยนเป็นการเล่นเกมแบบสนุก ๆ แล้วเนี่ย ฝ่ายที่ถือความจริงก็รู้สึกเหมือนถือไพ่เหนือกว่า เลยมีความมั่นใจในความถูกต้องของตัวเอง
หากเราเปิดฉากจ้องมองอีกฝ่ายแล้วล่ะก็ เขาก็รู้ตัวเหมือนกันว่าเขากำลังถูกตรวจสอบหาความจริง และเราเองก็จะได้รู้เหมือนกันว่าเขาโกหกหรือไม่ เว็บไซต์ Psychology Today ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่าคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าการจ้องมองกันแบบโกรธ ตาแข็ง อันนี้หมายถึงการโกหก ส่วนการหลบตาอาจจะเกิดจากความเขิน ความอับอายก็ได้
แต่สำหรับคนที่โกหก ก็ใช่ว่าทุกคนจะหลบตากันเสียหมด บางคนรู้ทริกนี้ว่าการหลบตามันคือจุดอ่อน เลยพยายามมองตาอีกฝ่าย แล้วดันมองมากเกินไปอีกต่างหาก สังเกตง่าย ๆ คือตั้งใจกับการมองจนลืมกระพริบตา ร่างกายช่วงบนไม่ขยับ แถมยังมีรอยยิ้มแห้ง ๆ ที่ดูยังไงก็ไม่จริงใจเอาเสียเลย
แม้ว่าวิธีเหล่านี้ อาจจะไม่ได้บอกเราได้แบบคำต่อคำว่าคำนี้โกหก คำนี้พูดจริง แต่เราจะประเมินอาการของเขาได้คร่าว ๆ ว่าเขากำลังโกหกหรือไม่ จากอาการที่เราบอกไปอย่างการหลบตา กระพริบตาถี่เกินไป หรือการพยายามกลบเกลื่อนอาการเหล่านี้ ด้วยการมองตาแบบแข็งทื่อ จนลืมกระพริบ ง่าย ๆ ก็คืออาการที่มันไม่เป็นธรรมชาตินั่นอง และการมองตาอีกฝ่ายโดยที่ทั้งคู่มี Eye Contact จะช่วยให้เขาเผยความจริงออกมาได้ง่ายมากขึ้น เพราะถ้าหากเรามั่นใจในความจริงจนอีกฝ่ายไม่มีหนทางชนะแล้วล่ะก็ เขาอาจจะยอมยกธงขาวไวขึ้นนั่นเอง
ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายแง้มความลับออกไป หรือเป็นฝ่ายตามล่าหาความจริงก็ตาม การโกหกอาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกเรื่อง เพราะทุกครั้งที่เราโกหก เราก็ต้องจำเรื่องเหล่านั้นให้แม่นยำ เพื่อที่พูดครั้งต่อไปจะได้พูดให้ตรงกันทุกครั้ง หากพลาดขึ้นมาแล้วมันกระทบถึงความน่าเชื่อถือของเราอย่างมากเช่นกัน